“หน่วยวิถีเรียกวิหคเพลิง”
“วิหคเพลิงรับทราบ”
“วิหคเพลิง ขณะนี้มีไฟป่าบนภูเขา มีชาวบ้านติดอยูเราต้องการเฮลิคอปเตอร์ด่วน”
“รับทราบหน่วยวิถี หน่วยวิหคเพลิงแสตนด์บายๆ”
หวังอันหัวหน้าหน่วยวิถีรับทราบถึงไฟป่าที่กำลังลุกไหม้อยู่ในขณะนี้ และมีชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ของโครงการวิจัยติดอยู่ที่นั่นหลายสิบชีวิต
“กัวชาง..เอาฮอขึ้นเราต้องไปขนย้ายชาวบ้านที่ติดอยู่บนเขาก่อนที่ไฟจะลามไปถึงพวกเขา”
“หัวหน้าครับ..ฮอไปปฏิบัติงานหมดแล้วเพลือเพียงลำเดียว ที่สำคัญไม่มีใครขับลำนี้ได้เลยครับนอกจากเจินเจิน”
“วิทยุไปเรียกเจินเจินมา ด่วนเลยนะเจชราต้องอพยพก่อนที่ทิศทางลงจะเปลี่ยน”
“วันนี้อาเจินหยุดครับ”
“หยุดนานก็โทรตามสิ ไวไวด้วย บ้านพักอาเจินนอยู่ไม่ไกลไม่ใชหรือ”
“ครับๆๆ”
กัวชางหรือหมูน้อยที่ไป๋เจินเจินตั้งให้รีบกดมือถือโทรหาเธอทันที เฮลิคอปเตอร์ลำที่เหลืออยู่มีเพียงไป๋เจินเจินเท่านั้นที่สามารถเอามันขึ้นฟ้าได้
Rrrrrr. Rrrrr. Rrrrr.
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไป๋เจินเจินงัวเงียๆรีบสาย นี่มันตีสองนะใครโทรมา อีกอย่างคืนนี้เธอไม่ได้เข้าเวรนี่นา ก่อนจะหยิบมาดูก็เห็นเบอร์ของหมูน้อยโชว์หน้าจอ ไป๋เจินเจินกดรับสายทันที
“อืม..ว่าไงฉันง่วงนะ”
“อาเจิน..มีไฟป่าบนเขาไกลออกไป300กิโลหัวหน้าต้องการเฮลิคอปเตอร์ไปรับคนที่ติดอยู่บนเขา มีทั้งชาวบ้านในพื้นที่ นักวิจัย ศาสตราจารย์หลายคนเลย”
“หา..อืมๆๆจะไปเดี๋ยวนี้ แล้วฮอออกไปแล้วกี่ลำ”
“ออกไปหมดแล้ว ทุกลำไปทำหน้าที่ดับไฟป่า มีแต่เธอที่ต้องไปลำเลียงผู้คนลงมา อาเจินฮอลำที่เหลืออยู่คือลูกรักเธอ นอกจากเธอคนอื่นขับไม่ได้”
“ได้ๆ ฉันวางสายแล้วจะรีบไป”
ไป๋เจินเจินอยู่กับคุณพ่อแค่สองคน แม่จากไปตอนเธออายุ14 ตอนนี้อายุ28แล้วเธอไม่แต่งงานไม่มีครอบครัว ตอนที่อายุ20เธอกำลังกลับจากมหาลัยก้ได้รับข่าวร่ายว่าพ่อของเธอเสียวชีวิตจากแก๊สระเบิด ไฟลุกลามไปทั่วโรงงงาน พ่อเธอเป็นวิศวกร เพื่อช่วยพนักงานออกมาจนหมดแต่สุดท้ายตัวเองกลับออกมาไม่ได้ ติดอยู่ในนั้นจนกระทั่งไฟลุกลาม เจ้าหน้าที่รีบมาทันทีแต่กลับควบคุมเพลิงไม่ได้เนื่องจากเป็นโรงงานที่ผลิตเกี่ยวกับเคมี เธอเสียงคุณพ่อไปจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น
จากนั้นหลังจากเรียนจบเธอก็ได้ไปเรียนการบินอีกสามปีและมาสอบเป็นนักผจญเพลิง เพราะไม่อยากให้อีกหลายๆคนสูญเสียเหมือนที่เธอเคยได้รับ
ไป๋เจินเจินรีบขับรถมาถึงหน่วยงาน ก่อนจะเช็คความพร้อมของเครื่องบิน รันเวย์เคลียร์พร้อมแล้ว ไป๋เจินเจินนั่งประจำตำแหน่ง เครื่องบินค่อยๆวิ่งจนเกือบสุดรันเวย์ก่อนจะเชิดหัวขึ้นแล้วตรงไปยังสถานที่ๆเกิดไฟป่า
มองจากด้านบนไฟป่าแรงมากเธอต้องหาจุดจอดที่ปลอดภัย ไป๋เจินเจินเห็นที่จอดจึงวิทยุกลับไปให้คนภาคพื้นมารอ ไม่นานก็มีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่โครงการวิจัยกว่าสามสิบชีวิตมายืนรอ ไป๋เจินเจินต้องรับส่งสองรอบจึงจะหมด
“เจินเจิน พวกเขาบอกว่ามีเครืองมือและไดรฟ์ติดอยู่ที่นั่น เป็นไฟล์ดิบไม่ได้เอามา และมันสำคัญ “
“ หัวหน้าหวัง..มันสำคัญมากนะครับเพราะว่าเราใช้เวลาทุ่มเทไปมากกว่าจะได้ข้อมูลนี้มา”
หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอ่ยขึ้น แต่หวังอันไม่ยอม เขาถึงกับโมโหทันที
“พวกคุณห่วงแต่งานตนเอง แล้วลูกน้องผมล่ะ เครื่องบินไปกลับสี่รอบแล้ว หากขึ้นบินอีกผมก็ไม่มั่นใจ ผมต้องเอาชีวิตลูกน้องไปเสี่ยงเพียงเพื่อข้อมูลเฮงซวยที่พวกคุณกล่าวอ้างหรือ”
“นี่คุณหวัง งานวิจัยนี้มีรัฐบาลสนับสนุน คุณจะพูดอะไรก็ระวังปากคุณด้วย”
ไป๋เจินเจินที่เห็นว่าหัวหน้าอาจถูกพวกเขาเล่นงานได้จึงบอกไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรค่ะหัวหน้าหวัง เดี๋ยวฉันบินไปอีกรอบก้ได้ เครื่องน่าจะไหวอยู่”
“อาเจิน จุดที่ลงจอดรับพวกเขามันใกล้จุดที่เพลิงโหมกระหน่ำมาก ฉันกลัวว่าเครื่องจะขัดข้องหากขึ้นบินอีก”
“ฉันจะระมัดระวังค่ะ หากมีเรื่องขัดข้องฉันจะดีดตัวออกมา หัวหน้าเก็ยอารมณ์เถอะค่ะ ฉันรู้วส่าคุณเป็นห่วงแต่ว่ามีเรื่องกับพวกเขาคุณจะเสียเปรียบเอาได้”
หวังอันมองหน้าบุคลากรของโครงการวิจัยนี้ ไฟป่าเกิดจากพวกเขาหรือเปล่านะ หากหาหลักฐานมาได้จะให้ติดคุกให้หมดเลย ไป๋เจินเจินเอาเฮลิคอปเตอร์ขึ้ขนอีกรอบ เธอบินไปยังจุดที่พวกเขาลืมกระเป๋าเครื่องมือ ที่จริงเธอเห็นแล้วตอนที่พวกเขาถือเอาไว้ ความจริงวัสดุนั่นทนไปมากนักทำไม่ไม่รอให้ไฟสงบก่อน หรือในกระเป๋ามีอะไรมากกว่าข้อมูลวิจัยหรือเปล่า
ไป๋เจินที่ตอนนี้ลงจอดเรียบร้อยก้รีบคว้ากระเป๋ยอุปกรณืทันทีก่อนจะเอาเครื่องขึ้นฟ้า เธอบินสูงไม่ถึงหนึ่งพันฟุต อยู่ๆเครื่องก็ขัดข้อง ไป๋เจินเจินคว้ากระเป๋าก่อนจะพยายามดีดตัวออกจากเครื่องบินแต่กลับติดขัด เครื่องถูกความร้อนมากเกินไป กระแสลมเปลี่ยนทิศ ไปโหมกลับมายังฝั่งเธอ
ไป๋เจินเจินพยายามเชิดหัวขึ้นแต่กลับไม่สามารถทำได้ สุดท้ายเครื่องก็สั่น ปลายหางเริ่มมีไฟลุก ห้องเครื่องควันขึ้น ไม่ทันได้คิดร่ำลาใครในใจเครื่องก็ดิ่งลงกลางกองเพลิงทันที ระเบิดตูมใหญ่ที่บนเขาทำให้หวังอันและคนอื่นๆที่มารวมตัวกันแล้วต่างก็รีบมาดู ควันสีดำพวยพุ่งสูงเสียดฟ้า พวกเขาภาวนาให้ไป๋เจินเจินดีดตัวออกมาได้ทัน
หยางมู่เฉินกับหยางเทียนกลับไปแล้ว ไป๋จิ้งหยวนคอยดูแลความสงบของวังหลวงจึงต้องกลับไป ก่อนหน้าเขาไม่ปรากฏตัวเพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ยามนี้องค์ชายห้าผู้สันโดษก็เปิดหน้าออกมาแล้ว ถ้าหากมิใช่เพราะบุตรสาวเขาเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายและพระชายาองค์รัชทายาท และทั้งสองพระองค์เกิดเป็นอะไรขึ้นมารัชทายาทจะต้องจมอยู่กับความเศร้าโศก เช่นนั้นก็อาจเข้าทางพวกเขา คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งก็เหลือเพียงองค์ชายห้ากับองค์ชายสี่และองค์ชายหก ได้ยินว่าเมื่อเจ็ดวันนก่อนองค์ชายสิบสองทรงพลัดตกจากหลังม้าที่ทรงขี่ประจำ ดูเหมือนว่าการตกจากหลังม้าครั้งนี้น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุเสียแล้ว ขนาดสายเลือดเดียวกันยังลงมือ หยางตงชิงนั้นล้ำลึกเสียจริงๆ จ้าวหย่งเฉิงไม่อยากให้ไป๋เจินเจินต้องมาพัวพันเขามองหน้าว่าที่พ่อตา ไป๋จิงหยวนรู้ดีจึงพยักหน้าก่อนจะเอ่ย"อาเจิน ลูกดูแลท่านราชครูให้ดี พ่อต้องกลับวังหลวงก่อน ต้องดูแลความสงบในวัง ทางนี้ก็ฝากลูกแล้ว""ท่านพ่ออย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสั่งรถม้าแล้วพวกเราจะกลับบ้านท่านอาที่ป่าไผ่วันรุ่งขึ้น ที่นั่นมีน้ำพุร้อนสามารถช่วยรักษาแผลได้เจ้าค่ะ"ไป๋จิ้งหยวนพยั
จ้าวหย่งเฉิงเดินมาหาร่างบางที่กำลังมองไปยังคุณหนูสกุลหนานและสกุลหยุนด้วยสายตาอำมหิต นางโกรธเกลียดเด็กสาวสองคนนี้เพียงใดกันนะ เขารู้มาว่าวันที่เจอกับนางครั้งแรกตอนที่ถูกบังคับให้แช่น้ำในสระเด็กสองคนนี้มีส่วนร่วมด้วยเท่านั้น แต่จากสายตาของนางเหมือนกับว่าหนานซวงซวงกับหยุนเสี่ยวหว่านนั้นไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ร่างสูงเดินไปหานางมือหนาโอบรอบเอวรั้งนางเข้ามาหาไม่สนใจสายตาของอาจารย์และลูกศิษย์รวมถึงคนที่ยืนอยู่ก่อนจะเอ่ยถามไถ่"ฮูหยิน มีเรื่องอันใดหรือ"ไป๋เจินเจินที่เห็นหน้าเขาก็ร้องไห้ออกมาก่อนจะกอดเขาแน่นไม่สนใจสายตาของใคร"ท่านอา..ท่านมาทำไมท่านยังบาดเจ็บอยู่เลยฮือๆๆ""อาไม่เป็นไร เด็กดีไม่ร้องนะอาอยู่ตรงนี้แล้ว"ฮูหยินหรือ งั้นข่าวลือที่ว่าราชครูจ้าจะแต่งงานกับไป๋เจินเจินก็เป็นยเรื่องจริงน่ะสิ สายตาทุกคู่มองมายังทั้งสองคนพร้อมกับอ้าปากค้าง จ้าวหย่งเฉิงค่อยๆประคองร่างบางที่กำลังร้องไห้เอาไว้ เขาได้รับบาดเจ็บที่หลัง เมื่อสามวันก่อนเกิดไปไหม้อารามที่พระชายารัชทายาททรงไปพักผ่อนกับองค์ชาย นางเข้าช่วยสุดท้ายกลับติดอยู่ในนั้น จ้าวหย่งเฉิงเข้าไปพานางกับองค์ชายออกมาก่อนที่จะถูกคา
ทันทีที่ไป๋เจินเจินเอ่ยจบ หนานเฉาเหว่ยก็หน้าซีด นางเด็กนี้รู้อะไรมาหรือ เขาจึงเอ่ยกลับไปไม่ยอมรับ"เงินทองจวนข้ามีมากพอ อาหารเหล่านั้นไม่ได้แพงมากมาย เจ้าจะไปรู้อะไร"ไป๋จิ้งหยวนมองหน้าหนานเฉาเหว่ยทันที ดูเหมือนบุตรสาวของตนจะรู้อะไรมา ไม่นานชายที่สวมชุดสีม่วงใช้พัดปิดบังใบหน้าที่เพิ่งเดินมาถึงก็เอ่ยขึ้นมา"เงินเดือนเจ้ากรมหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง มีเมียรองสองคน อนุสี่คน ไปร่ำรวยมาจากไหนกัน"หนานเฉวเหว่ยหันไปทางเสียงที่เอ่ยมาก่อนจะชี้หน้า"เจ้า ไอ้บัณฑิตกระจอก เรื่องของบ้านข้าเจ้าจะไปรู้อะไร"ไป่เจินเจินปรบมือให้กับหนานเฉาเหว่ยก่อนที่นางจะเอ่ย" เมียรองก็มีสินเดิม อนุก็มีสินเดิม อาหารมื้อละสองร้อยตำลึง ใต้เท้าหนานเจ้าแต่งภรรยากับอนุมาเลี้ยงดูตนเองเช่นนั้นหรือ"ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆเสียงหัวเราะดังลั่นสำนักศึกษา หนานเฉาเหว่ยโบกมือเพื่อให้คนของตนสั่งสอนไป๋เจินเจิน แต่ไป๋จิ้งหยวนกดเขาลงกับพื้นนก่อนจะเอ่ย"อยากแตะต้องบุตรสาวข้า ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน"หนานเฉาเหว่ยพยายาที่จะลุกไม่นานองครักษ์หลวงก็มาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ วั่นกงกงถือม้วนผ้าสีทองมาด้วยก่อนจะเอื้อนเอ่
ไป๋เจินเจินกลับมาจากบ้านป่าไผ่ได้สิบวันแล้ว ที่ยามนี้นั่งเรียนอยู่กับอาจารย์เฟิ่งที่ศาลารับลม พวกนางไม่ต้องเข้าเรียนในชั้น จ้าวลู่ซินเองก็ตั้งใจเรียน ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องพวกนางอีก โดยเฉพาะไป๋เจินเจินนางคือภรรยาที่ยังไม่แต่งของท่านราชครูเจ้าของสำนักศึกษาเชียวนะยามนี้อาจารย์เฟิ่งไม่อยู่ พวกนางจึงนั่งทบทวนตำรา ไป๋เจินเจินนั่งอ่านตำราเป็นเพื่อนจ้าวลู่ซิน เดิมก็เรียนจนจบปริญญาโทรจากนั้นก็มาเป็นอาสากู้ภัยของหน่วยดับเพลิง เรื่องเรียนไม่ใช่ว่านางขี้เกียจแต่ชาติที่แล้วเรียนมาหลายปีเบื่อแล้ว ส่วนที่นี่สอนแต่หลักสูตรพื้นฐานอะไรก็ไม่รู้ เหมือนเรียนอนุบาลอีกครั้งเลยมันน่าเบื่อ จ้าวลู่ซินเกาศีรษะเพราะที่ไป๋เจินเจินเขียนโจทย์ให้นางนั้นยากเกินไป ก่อนจะวางพู่กันแล้วเอ่ยกับนาง"อาสะใภ้...วิชาคำนวนนั้นยากไปแล้ว ข้าเรียนไม่ไหวหรอก""คุณธรรมอะไรนั่นเรียนไม่ยากที่ยากคือปฏิบัติให้ได้ คุณหนูจ้าวท่านพยายามสักหน่อยเถอะนะ เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจแต่อาเจินอธิบายจนในที่สุดข้าก็เรียนรู้จนได้"จินเสียวฟงเอ่ยกับนาง จ้าวลู่ซินทำหน้าหงอยๆก่อนจะพยักหน้าให้เขา ไป๋เจินเจินที่เห็นนางหน้าเศร้าก็เ
ไป่เจินเจินมองหน้าบิดาทันที ทำไมต้องให้ฮ่องเต้ด้วย นางจับมาลำบากแทบตายอีกอย่างนางเอ่ยปากให้พี่ๆ ทั้งสามคนไปแล้วด้วย กระทั่งสวีข่ายเหยียนเอ่ยขึ้น"อาเจิน ถวายฝ่าบาทก่อนนั้นดีแล้ว จะได้ไม่นำภัยมาสู่ตนเอง""ถูกของข่ายเหยียนนะ อาเจินที่ท่านลุงไป๋ทำก็เพราะไม่อยากให้พวกเราถูกกล่าวหาน่ะ""พี่ข่ายเหยียนพี่เสียวฟงข้าไม่เข้าใจ พวกท่านหมายความว่าเช่นไร"ฝางอี้หลุนเดินมาหานางจับมือบางก่อนจะเอ่ย"เพียงพอนเป็นสัตว์มงคลของแคว้น ยากที่จะจับมาได้ หากแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่สามารถมีครอบครอง แต่เราที่เป็นเพียงบุตรขุนนางกับบุตรพ่อค้าวาณิชย์กลับมีครอบครองหมายความว่าเช่นไร นั่นไม่เท่ากับว่าพวกเราคิดกบฏหรอกหรือ""ห๊า..พี่อี้หลุนไม่มั้ง ท่านอาร้ายแรงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ"จ้าวหย่งเฉิงเดินมาหาพร้อมกับจับมือของฝางอี้หลุนออกจากมือบางแล้วเอามากุมไว้เองเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงจริงจัง"ฝ่าบาทมิใช่พระทัยคับแคบแต่ที่น่ากลัวคือคำกล่าวหา คำครหาเหล่านั้นสามารถทำให้ตระกูลล่มสลายได้ เอาเช่นนี้เด็กดีของอามีคู่ผัวเมียอยู่ ถึงเวลาก็ค่อยให้มันถือกำเนิดลูกออกมาใหม่ สหายของเจ้าพวกเขารอได้ ดีกว่าครอบครัวมีภัย อาเจินของอาว่าเช่นนี้ด
หลังจากที่จ้าวหย่งเฉิงพูดคุยกับไป๋เจินเจินเรียบร้อยแล้วก็อิดออดไม่ยอมไปง่ายๆ คนตัวเล็กพยายามให้เขาไปนอนที่ห้องของตนเอง ในที่สุดจ้าวก็เฉิงก็ยอมกลับ เขาออดอ้อนนางหวังว่าคนตัวเล็กจะใจอ่อน"อาเจินคนดี อาอยากนอนกอดเจ้าจริงๆนะ เราแต่งงานกันพรุ่งนี้เลยดีหรือไม่""ท่านอา ท่านใจร้อนอะไรกัน ข้าจะหนีท่านไปไหนได้อีก แก่แล้วทำตัวเหมือนเด็กขนเพิ่งขึ้น"จ้าวหย่งเฉิงสะอึกกับวาจาของคึู่หมั้นเด็ก คำว่าขนเพิ่งขึ้นนางกล้าพูดออกมาโต้งๆได้เช่นไร ที่สำคัญนางบอกว่าเขาแก่ แม่ตัวแสบรอก่อนเถอะ "ว่าอาแก่ รอเข้าหอเถอะจะได้รู้ว่าที่จริงอาแก่หรือไม่""หึ..ใครกลัวท่านกัน นี่ก็ดึกแล้วท่านอาเหตุใดท่านมิไปพักผ่อนดีๆเล่าเจ้าคะ ข้าง่วงแล้วนะ""ได้อาไปก็ได้ แต่ก่อนไปเจ้าจูบอาสักทีได้หรือไม่""ท่านนี่นะ เรียกร้องอะไรก็ไม่รู้"ไป๋เจินเจินมองค้อนเขา ก่อนจะหอมแก้มสากคนตัวโต จ้าวหย่งเฉิงรวบร่างบางมากอดแล้วจุมพิตนาง เมื่อสมใจก็ถอนริมฝีปากออกมาพร้อมกับเอ่ยกำชับเรื่องที่นางอยากรู้"อาเจินคนดี เรื่องบิดาเจ้าอย่าไปหาคำตอบ ใต้เท้าไป๋ทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าได้ปลอดภัย เขาอดทนเป็นเพียงตาแก่พิการมานานหลายปี