ปัก ปัก ปัก
เสียงที่น่าอายดังเป็นจังหวะต่อเนื่องสักพัก จากนั้นก็เร็วขึ้นเป็น ‘ปักปักปักปัก’ รัวๆ จนบุรุษสตรีบนเตียงต่างส่งเสียงครางอย่างไม่อาย
ไม่นานนักร่างบางก็เกร็งกระตุกพร้อมกับร่างหนาที่ขยับสะโพกเข้าร่องรักจนสุด ปลายแท่งหยกฉีดพ่นน้ำสีขาวขุ่นจนเต็มร่องหวาน
ใบหน้างามของจ้าวหลินอ้ายมองใบหน้าสุขสมของชายหนุ่ม รวมถึงอาวุธคู่กายที่ออกจากกลางกายตนก็ใจสั่นจนควบคุมไม่อยู่
‘เสร็จพร้อมกันคือแบบนี้สินะ’
นางแกล้งล้มตัวนอนรอดูท่าทีของเฉินซีหมิง
“เหนื่อยแล้วหรือพะย่ะค่ะ”
เฉินซีหมิงล้มลงนอนข้างกายสตรี มือหนาลูบผมของนางอย่างแผ่วเบา
“เหนื่อยแล้วอย่างไร ไม่เหนื่อยแล้วอย่างไร”
สตรีพูดพลางอมยิ้มไม่ให้บุรุษสังเกตเห็น
“ฝ่าบาทนี่นะ”
เฉินซีหมิงทำหน้าหมั่นเขี้ยว เขาขยับกายแกร่งให้อยู่บนร่างอวบอัด ริมฝีปากก้มลงหยอกเย้าหน้าอกทั้งสองข้างอีกครั้ง
“พรุ่งนี้พระองค์อาจจะเสด็จออกท้องพระโรงไม่ไหว”
เขาหยุดพูดสักพักก่อนจะเริ่มปรนเปรอนางอีกครั้ง
“หากพรุ่งนี้ข้าออกท้องพระโรงเป็นปกติแสดงว่าคืนนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกขุนนางคงหาว่าเจ้าไม่ได้เรื่อง”
“ได้ กระหม่อมจะทำให้เต็มที่พะย่ะค่ะ”
เฉินซีหมิงจับขาขาวพาดไหล่ของตน แล้วขยับให้แท่งหยกที่ผงาดมุดเข้าไปในโพรงหวานของสตรีจนมิดด้าม
“แน่นดีเสียจริง”
เขาพูดเบาๆ ก่อนเริ่มสาวเอวสอบเข้าออกเนิบนาบ
นัยน์ตาดอกท้อมองสตรีทั่วทั้งร่าง ใบหน้าหวานยั่วยวน เรือนร่างอวบอัด เต้านมทั้งสองกระเพื่อมตามแรงกระแทก กลีบดอกไม้งามที่ผลุบเข้าออกจากการมุดโพรงหวานของแก่นกายตน
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนน่ามองยิ่งนัก
ทั้งยังมีเสียงหวานที่เพราะกว่าเสียงดนตรีของนักสังคีตในวังหลวงดังคลออยู่แทบตลอดเวลา
เฉินซีหมิงตัดสินใจละลาบละล้วง ก้มหน้าให้ริมฝีปากบางประกบริมฝีปากอวบอิ่มของจ้าวหลินอ้าย เมื่อสตรีเผยอปากรับด้วยความเต็มใจ เขาจึงบรรจงจุมพิตด้วยความละเมียดละไม
เริ่มต้นนุ่มนวล แต่เมื่อส่วนล่างกระแทกหนักและเร็วขึ้น เขาก็จุมพิตร้อนแรงมากขึ้น
จ้าวหลินอ้ายถึงจะเพิ่งเคยจูบครั้งแรก แต่เมื่อจับทางได้ นางก็ขยับลิ้นพันเกี่ยวกับลิ้นร้อนของชายหนุ่ม แล้วสลับดูดเม้มจนลืมหายใจ
สตรีขยับสะโพกให้เป็นจังหวะกระแทกพร้อมกับเอวสอบของบุรุษ ความเสียวซ่านและคับแน่นทำให้คนทั้งสองลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเสพสมจนอิ่มหนำสำราญ
เมื่อถึงฝั่งฝันอีกสองรอบ หนุ่มสาวก็หลับภายในอ้อมกอดของกันและกันจนกระทั่งเช้า
.........
หน้าตำหนักเยว่กวง
จ้าวม่านอวิ๋นเดินวนไปมาหน้าตำหนัก สายตาพลางมองเข้าไปในตำหนักเป็นระยะ
“เสด็จพี่ยังไม่ตื่นบรรทมอีกหรือ”
“คารวะองค์หญิงสาม”
เสียงเข้มของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นจนสตรีชะงักฝีเท้า
“รองผู้บังคับบัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหลิวกวน ทำไมท่านมาแต่เช้า”
สตรีปรายสายตามองบุรุษตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แต่องค์หญิงมาเช้ากว่ากระหม่อมอีก”
หลิวกวนตอบดวงตาเจ้าเล่ห์
“ข้าเป็นห่วงฝ่าบาท กลัวว่าใครบางคนจะมาแย่งตัวบุรุษถึงตำหนักเยว่กวง”
จ้าวม่านอวิ๋นพูดพลางขยับร่างบางยืนขวางหน้าเขา
“ฝ่าบาทเรียกองค์หญิงสามและใต้เท้าหลิวเข้าเฝ้า”
หยางกงกงออกมาเรียกคนทั้งสอง
........
“พวกเจ้าสองคนมาเข้าเฝ้าแต่เช้ามีเรื่องอะไรกัน”
จ้าวหลินอ้ายพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
เฉินซีหมิงนั่งอยู่ด้านข้างนาง เขาเม้มปากเงียบไม่กล่าวสิ่งใด
“หม่อมฉันกลัวว่าจะมีคนบุกเข้าตำหนักมาชิงตัวคนรักน่ะสิเพคะ”
จ้าวม่านอวิ๋นเอ่ยทันทีที่พี่สาวตนเองพูดจบ สายตาพลางเหลือบมองบุรุษที่ยืนน้อมตัวอยู่ด้านข้าง
“ชิงตัวคนรัก” จ้าวหลินอ้ายทวนคำ
“ใต้เท้าหลิวจะมาชิงตัวคนรักจากข้าหรือ”
เฉินซีหมิงที่กำลังยกจอกชามาดื่มสำลักน้ำทันใด เขากระแอมเบาๆ
“ไม่ใช่พะย่ะค่ะ”
จ้าวหลินอ้ายแสร้งทำไม่สนใจบุรุษที่นั่งด้านข้าง นางมองหน้าหลิวกวน
“ใช่หรือไม่”
หลิวกวนหน้าเสียทันทีแต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่พะย่ะค่ะ องค์หญิงสามคงชอบฟังข่าวโคมลอย ไร้ความจริงโดยสิ้นเชิง”
“เช่นนั้นเจ้ามาทำไม”
จ้าวม่านอวิ๋นหันไปขึ้นเสียงใส่เขา
“มารายงานข่าวพะย่ะค่ะ”
หลิวกวนประสานมือทั้งสองข้างพร้อมกับน้อมกายกราบทูล
“ทางองครักษ์เสื้อแพรจับโจรภูเขาสำเร็จแล้ว ตำหนักฮัวซานสามารถเสด็จไปพำนักได้แล้วพะย่ะค่ะ”
“แล้วตำหนักชิงเฉิงล่ะ”
จ้าวม่านอวิ๋นถามโดยไม่รอให้จ้าวหลินอ้ายเอ่ยสิ่งใด
“ตำหนักชิงเฉิงก็เรียบร้อยดีแล้วพะย่ะค่ะ สามารถเสด็จไปได้”
จ้าวหลินอ้ายมองน้องสาวของตนเองสลับกับใต้เท้าหนุ่ม นางเริ่มมีความคิดอะไรบางอย่าง
“องครักษ์เสื้อแพรทำงานได้รวดเร็วอย่างมาก ประทานรางวัลให้ทุกคน”
นางยกมือให้สัญลักษณ์แก่หยางกงกงเพื่อไปเตรียมรางวัล จากนั้นก็พูดต่อ
“ส่วนองค์หญิงสามข้าอนุญาตให้ไปเที่ยวพักผ่อนที่ตำหนักชิงเฉิงสักหนึ่งเดือน ใต้เท้าหลิวก็ตามไปเป็นองครักษ์ดูแลความปลอดภัยของนางด้วยละกัน”
“หา ไม่นะเพคะ”
จ้าวม่านอวิ๋นรีบปฏิเสธ นางส่งสายตาไม่พอใจให้บุรุษร่างสูง
“เจ้าอย่าปฏิเสธเพียงเพราะเชื่อในข่าวลือเลย ไปพักผ่อนหย่อนใจสักพัก มีใต้เท้าหลิวอยู่ใกล้ อารมณ์และความคิดของเจ้าคงเปลี่ยนเอง”
“ตำหนักชิงเฉิงอยู่บนเขา ฮวงจุ้ยดีมาก ได้รับพลังจากฟ้าดินเต็มที่ กระหม่อมรับรองว่าองค์หญิงจะมีพระพลานามัยแข็งแรงขึ้นและใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด”
เฉินซีหมิงพยักหน้ากล่าวสนับสนุนคำพูดของจ้าวหลินอ้าย
“ท่านราชครูเฉิน หากที่นั่นดีดั่งคำท่านกล่าว ทำไมท่านไม่พาเสด็จพี่ไปล่ะ”
จ้าวม่านอวิ๋นยังคงแสดงความไม่เห็นด้วย
“เพราะว่ากระหม่อมจะพาฝ่าบาทไปที่ตำหนักฮัวซานพะย่ะค่ะ ที่นั่นเหมาะกับการปั้นโอรสมังกรมากกว่า”
ราชครูหนุ่มตอบ สายตาพลางมองไปยังจักรพรรดินีที่งามล่มเมือง
“ดีสิ ข้าไป นอกสถานที่บ้างน่าจะสนุก”
จ้าวหลินอ้ายรับคำทันที
........
“เจ้าทำไมถึงตกลงจักรพรรดินีล่ะ ไหนว่าจะตั้งตนเป็นโสด”
หลิวกวนขมวดคิ้วถามสหายของตนเอง
เฉินซีหมิงหันหลังให้ผู้ถาม ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่แกล้งทำเป็นเสียงเข้ม
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะคัดเลือกบุตรขุนนาง พวกบุรุษหนุ่มวัยดรุณทั้งหลาย จึงพูดกับเจ้าเช่นนั้น แต่เมื่อพระองค์ทรงโปรดข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นโสดตัวคนเดียวนี่”
“นี่เจ้า แสดงว่าเจ้าหมายปองฝ่าบาทมาตั้งแต่แรกสินะ” หลิวกวนชี้นิ้วใส่เฉินซีหมิง
“แล้วมาทำเป็นชวนให้ข้าโสดไปกับเจ้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
บุรุษรูปร่างกำยำหยิบกระบี่ที่ห้อยติดกับตัวออกมาโดยไม่ชักออกจากฝัก จากนั้นก็ไล่ตีเฉินซีหมิงอย่างหมั่นไส้
จ้าวหลินอ้ายและจ้าวม่านอวิ๋นที่มองอยู่ไกลๆ ต่างมีปฏิกิริยาต่อภาพที่เห็นแตกต่างกัน
จ้าวหลินอ้ายเห็นว่าถ้ามีบุรุษรูปงามหลายคนอยู่ในรอบกาย คงทำให้วังหลวงมีชีวิตชีวาไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้ทั้งองครักษ์ ขันที กงกงและขุนนางที่ประจำอยู่ในวังล้วนหน้าตาดีแทบทุกคน แต่พอเพิ่มบุรุษของตนเองขึ้นมายิ่งทำให้ในวังน่าอยู่มากขึ้น
ส่วนจ้าวม่านอวิ๋นจ้องหลิวกวนตาเขม็ง นางคิดอยู่แล้วว่าบุรุษทั้งสองเป็นชายตัดแขนเสื้อ ดูท่าทางหยอกล้อของพวกเขาสิ ผิดจากที่นางคิดเสียที่ไหน หากอยู่นอกวังพวกเขาคงโอบกอดกันอย่างแนบแน่นไปแล้ว
“เสด็จพี่”
สตรีเอ่ยปากหมายจะฟ้องอีกครั้ง
“พอเถอะ ข้าไม่ถือ”
จ้าวหลินอ้ายพูดตัดบททันที เป็นประโยคที่ทำให้ผู้ฟังอึ้งและก็เงียบในพริบตา
ไม่ถือ แปลว่า แม้พวกเขาทั้งสองจะเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ แต่จ้าวหลินอ้ายก็รับได้
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันกลับตำหนักดีกว่า”
จ้าวม่านอวิ๋นตกใจกับความคิดของพี่สาว นางยอบกายคารวะแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไปทันที
เช้าวันถัดมา จ้าวหลินอ้ายตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในห้องบรรทมเพียงผู้เดียว ดวงตากลมมองไปรอบห้องไม่เห็นเฉินซีหมิงจึงเรียกนางกำนัลที่เฝ้าอยู่นอกห้องเข้ามาซักถาม“ราชครูเฉินไปไหน” “ไปดูเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมตำหนักเล็กทางด้านหน้าเพคะ”นางกำนัลตอบพลางช่วยกันทำความสะอาดเรือนร่างของจ้าวหลินอ้ายและเปลี่ยนชุดให้นางใหม่ หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวหลินอ้ายก็ออกมาเดินเล่นที่บ่อน้ำพุร้อน เมื่อวานมัวแต่เล่นสนุกกับเฉินซีหมิงจึงไม่ได้สนใจบรรยากาศโดยรอบเท่าใดนัก ตอนนี้มีเวลาว่างจึงต้องการชื่นชมทิวทัศน์ให้เต็มที่ “หืม ด้านนี้มีประตูเล็ก ไปไหนกันนะ”สตรีเอื้อมมือเรียวไปเปิดประตู จากนั้นจึงเดินออกไปโดยไม่ได้เรียกนางกำนัลหรือองครักษ์ให้ติดตามทางเดินนี้แม้จะค่อนข้างแคบแต่สะอาดสะอ้าน สองข้างทางปลูกต้นกุ้ยฮัวที่ส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณสตรีเดินตามทางไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลินจนลืมดูพื้นผิวถนนเบื้องหน้า เท้าเรียวก้าวไม่ทันระวังจึงข้อเท้าพลิกล้มลงบนพื้น“โอ้ย”จ้าวหลินอ้ายร้องพร้อมกับยกมือกุมข้อเท้า นางพยายามลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเจ็บจนลุกไม่ไหวนั่งกุมข้อเท้าของตนสักพัก ก็ได้ยินเสียงฝีเ
ตำหนักฮัวซาน ภูเขาฮัวซาน เมืองต้าซาน จ้าวหลินอ้ายนั่งอยู่บนจุดชมวิวที่สูงที่สุด จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทั่วทั้งเมืองต้าซาน ทั้งยังสามารถมองเห็นเมืองอื่นที่อยู่ไกลๆ ได้อีกหลายเมือง “ฝ่าบาทไม่เข้าไปพักผ่อนในตำหนักหรือพะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงเดินถือถาดใส่ผลไม้มาวางไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างกายนาง “อากาศดีเช่นนี้จะไปอุดอู้อยู่ในตำหนักทำไม”จ้าวหลินอ้ายกวักมือให้บุรุษลงนั่งข้างกาย เฉินซีหมิงไม่รอช้า หย่อนกายลงบนเก้าอี้ มือหนาหยิบอิงเถาป้อนใส่ปากนางทันที “ที่ด้านหลังของตำหนักมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่นะพะย่ะค่ะ นอกจากอุณหภูมิของน้ำที่อุ่นกำลังพอเหมาะดีต่อสุขภาพแล้ว ทิวทัศน์ตรงนั้นก็ยังสวยงามไม่แพ้ที่ตรงนี้” ดวงตาหวานของสตรีมองชายหนุ่ม ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มยั่วยวน “เจ้าคิดว่า เหมาะกับการทำภารกิจนอกสถานที่หรือไม่” เฉินซีหมิงตาโตประหลาดใจกับคำพูดของสตรีตรงหน้า ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ “ดีสิพะย่ะค่ะ คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง การทำภารกิจนอกสถานที่จะทำให้ฝ่าบาทได้รับพลังหยินจากพระจันทร์และพลังหยางจ
ปัก ปัก ปักเสียงที่น่าอายดังเป็นจังหวะต่อเนื่องสักพัก จากนั้นก็เร็วขึ้นเป็น ‘ปักปักปักปัก’ รัวๆ จนบุรุษสตรีบนเตียงต่างส่งเสียงครางอย่างไม่อายไม่นานนักร่างบางก็เกร็งกระตุกพร้อมกับร่างหนาที่ขยับสะโพกเข้าร่องรักจนสุด ปลายแท่งหยกฉีดพ่นน้ำสีขาวขุ่นจนเต็มร่องหวานใบหน้างามของจ้าวหลินอ้ายมองใบหน้าสุขสมของชายหนุ่ม รวมถึงอาวุธคู่กายที่ออกจากกลางกายตนก็ใจสั่นจนควบคุมไม่อยู่‘เสร็จพร้อมกันคือแบบนี้สินะ’นางแกล้งล้มตัวนอนรอดูท่าทีของเฉินซีหมิง“เหนื่อยแล้วหรือพะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงล้มลงนอนข้างกายสตรี มือหนาลูบผมของนางอย่างแผ่วเบา“เหนื่อยแล้วอย่างไร ไม่เหนื่อยแล้วอย่างไร”สตรีพูดพลางอมยิ้มไม่ให้บุรุษสังเกตเห็น“ฝ่าบาทนี่นะ”เฉินซีหมิงทำหน้าหมั่นเขี้ยว เขาขยับกายแกร่งให้อยู่บนร่างอวบอัด ริมฝีปากก้มลงหยอกเย้าหน้าอกทั้งสองข้างอีกครั้ง“พรุ่งนี้พระองค์อาจจะเสด็จออกท้องพระโรงไม่ไหว”เขาหยุดพูดสักพักก่อนจะเริ่มปรนเปรอนางอีกครั้ง“หากพรุ่งนี้ข้าออกท้องพระโรงเป็นปกติแสดงว่าคืนนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกขุนนางคงหาว่าเจ้าไม่ได้เรื่อง”“ได้ กระหม่อมจะทำให้เต็มที่พะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงจับขาขาวพาดไหล่ของตน แล้วข
เมื่อถึงยามค่ำคืน ราชครูเฉินหรือเฉินซีหมิงก็มาถึงตำหนักเยว่กวง ดูจากใบหน้าของเขาก็รู้ว่ามีความประหม่าและวิตกกังวลแอบซ่อนอยู่“ฝ่าบาท ราชครูเฉินมาแล้วเพคะ”“ให้เขาเข้ามา”จ้าวหลินอ้ายกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน เมื่อหางตาเห็นบุรุษรูปงามร่างสูงเข้ามานางก็เดินนำเข้าไปยังห้องสรงน้ำ“เจ้าต้องเนื้อตัวสะอาดก่อนที่จะปรนนิบัติข้า”นางกล่าวกับบุรุษ แขนเรียวกางออกทั้งสองข้าง นางกำนัลเข้ามาปลดอาภรณ์ของนางออกด้วยความรวดเร็วเฉินซีหมิงรีบหลุบตามองต่ำ เขาไม่กล้ามองเรือนร่างของจักรพรรดินีตนจ้าวหลินอ้ายสังเกตเห็นท่าทางของเขาก็อมยิ้มชอบใจ‘อ่อนประสบการณ์สินะ ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่เคยเช่นกัน ชาติก่อนโสด ชาตินี้ก็ต้องลองสักหน่อย’“เจ้าไม่ลงสระพร้อมกับข้าล่ะ”นางถามชายหนุ่มที่ยังคงยืนประหม่าอยู่ริมสระหลังจากที่กล่าวจบ เหล่านางกำนัลก็เข้าล้อมรอบเฉินซีหมิง มือหลายคู่จับเข้าที่เสื้อผ้าของเขาชิ้นต่างๆ ไม่นานนักเสื้อผ้าทุกชิ้นก็หลุดออกจากกายอย่างรวดเร็วบุรุษใบหูแดงก่ำ เกิดมาเพิ่งเคยถูกสตรีถอดเสื้อผ้า เขารีบลงสระโดยไม่รอให้จ้าวหลินอ้ายเรียกอีกครั้งจ้าวหลินอ้ายโบกมือส่งสัญญาณให้นางกำนัล นางกำนัลต่างพากันดับไฟจนเหลือแสงส
“ฉันชื่อจ้าวหลินอ้าย เป็นสาวโสดวัยสามสิบหกปี ขณะที่กำลังจะข้ามถนนกลับบ้านก็ถูกรถยนต์ฝ่าสัญญาณไฟเข้ามาชนอย่างรุนแรง รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในอีกยุคสมัย ไม่รู้ว่าเป็นยุคโบราณหรือโลกใบใหม่มิติใหม่กันแน่แต่ที่รู้ก็คือชีวิตใหม่นี้ช่างทำให้ฉันมีความสุขเสียจริง นอกจากจะได้มาเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองแผ่นดินแล้ว บรรดาขุนนางข้าราชการที่รายล้อมล้วนหน้าตาดีเป็นอาหารแก่สายตาแทบจะตลอดเวลาถึงจะต้องว่าราชการบริหารแผ่นดินก็สู้ตายล่ะ”ร่างบางของสตรีในชุดสีแดงสดลุกขึ้นจากเตียงบรรทมอย่างเกียจคร้าน มีนางกำนัลหลายคนคอยปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“ฝ่าบาท เหล่าขุนนางมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”นางกำนัลน้อยกราบทูล“พวกเขาได้บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด”จ้าวหลินอ้ายเอ่ยปากพูดน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้นางอยู่ในร่างของสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับนางในชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่สตรีร่างนี้มีอายุสามสิบสามปีเท่านั้นสามสิบสามปีแต่ยังไม่มีพระสวามีเป็นตัวเป็นตน ขนาดนายสนมในวังก็ไม่มีสักคนนี่จักรพรรดินีจ้าวหลินอ้ายคนก่อนใจแข็งอยู่เป็นโสดท่ามกลางบรรดาบุรุษรูปงามได้อย่างไรกัน “น่าจะเร่งให้ฝ่าบาทรับสนมเข้าวังเพคะ”“อ่อ