เมื่อหลี่ถังหรู หวังฮุ่ยหลิงและเฉินเจียวเหม่ยเห็นว่าเฉินเจียวเจียวเดินกลับเข้าห้องมาแล้วพวกนางก็รีบชักชวนเฉินเจียวเจียวเข้าร่วมวงสนทนากับพวกนางด้วย พลางเอ่ยถามว่าเมื่อครู่นี้เฉินเจียวเจียวไปไหน เฉินเจียวมองพวกนางด้วยสายตาหนักอึ้งแล้วจึงได้ตัดสินใจเอ่ยถึงคำพูดของหลี่ไท่หลงให้สตรีทั้งสามฟัง
“นี่ขนาดเขายังไม่รู้ว่ายามนี้ข้าเล่าให้เจียวเหม่ยฟังแล้วเขายังตำหนิเจียวเจียวจนถึงขั้นนี้ ถ้าเขารู้ว่ายามนี้มีเจียวเหม่ยอีกคนที่รู้เรื่องจะไม่ยิ่งไม่พอพระทัยหรือ” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาอย่างฝืดเฝื่อนนางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสหายทั้งสองย่อมไม่คิดจะปิดบังเฉินเจียวเหม่ย ไม่เพียงพวกนางเป็นสหายกันแต่เฉินเจียวเหม่ยยังเป็นญาติผู้น้องของนางอีกด้วย
“เรื่องนี้สักวันข้าก็ต้องเล่าให้เจียวเหม่ยฟังอยู่ดี แม้ว่ายามอยู่ในจวนนางจะชอบพูดจาขัดแข้งขัดขาข้าก็ตามที”
“เจียวเจียว! ฮึ รู้อย่างนี้ตอนที่เจ้าประสบปัญหาข้าน่าจะเอ่ยวาจาซ้ำเติมเจ้าให้มากหน่อย ไม่น่าพูดจาให้กำลังใจเจ้าเช่นนั้นเลย” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉินเจียวเจียวและสหายทั้งสองต่างก็พากันหัวเราะออกมา
“ข้าแค่อยากจะหยอกเย้าเจ้าเท่านั้น ดูทำหน้าเข้าสิคิดเป็นจริงเป็นจังไปเสียแล้ว” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็เดาะลิ้นพลางส่ายหน้า
“เจ้านี่นะช่าง…”
“เอาล่ะคราวนี้ข้าขอพูดอย่างจริงจังบ้าง ข้าสัมผัสได้ว่าองค์รัชทายาททรงกำลังคิดจะทำการใหญ่ พวกเจ้าคิดดูด้วยฐานะของเขาตอนนี้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกมาเสี่ยงอันตรายนอกวัง เขาไปทำอะไรมาและเป็นเพราะเหตุใดเขาจึงได้รับบาดเจ็บกลับมา ที่สำคัญยังถึงขั้นคิดจะกำจัดข้าเพื่อปิดปาก” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างหน้าเสีย
“เพราะฉะนั้นครั้งนี้เป็นข้าที่ดึงทั้งองค์หญิงเก้าและพวกเจ้ามาร่วมเดือดร้อนด้วยกัน ทางที่ดีพวกเราอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กันอีก ที่สำคัญพวกเราควรจะต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ วันหน้าไม่แน่ว่าเมืองหลวงแห่งนี้อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ที่พวกเราก็ต่างคาดไม่ถึง” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หรี่ถังหรูก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“สกุลจ้าว เสด็จพี่องค์รัชทายาททรงขัดแย้งกับสกุลจ้าวอย่างรุนแรง เป้าหมายของเสด็จพี่จะต้องเป็นสกุลจ้าวอย่างแน่นอน” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมา
"ในเมื่อรู้เช่นนี้พวกเราก็ควรจะระมัดระวังตัว อยู่ให้ห่างจากเรื่องราวระหว่างองค์รัชทายาทและสกุลจ้าว พวกเขาจะฟาดฟันหรือว่าขัดแย้งกันเช่นไรพวกเราก็จะต้องห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด"
“ได้!” ทุกคนรับคำพร้อมกันแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับมีสีหน้าลำบากใจมากกว่าทุกคน พวกนางหันไปมองสีหน้าของหวังฮุ่ยหลิงแล้วก็เอ่ยชื่อของคนผู้หนึ่งออกมาพร้อมหัน
“เซียวอวิ๋นหยวน” เมื่อสหายทั้งหมดเอ่ยเช่นนี้หวังฮุ่ยหลิงก็พยักหน้า
“แม้ว่าไม่อยากจะเกี่ยวข้อง แต่เรื่องนี้ข้าคงยากจะตัดขาดเป็นแน่แท้” เมื่อหวังฮุ่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็เอ่ยปลอบสหายพลางคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนแล้วก็พลันยิ้มออกมา ที่แท้สาเหตุที่หวังฮุ่ยหลิงต้องไปอยู๋ต่างเมืองก็ล้วนมีสาเหตุทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นนางก็ควรจะช่วยเตือนสหายสักหน่อย อย่างชีวิตที่อยู่ในต่างเมืองก็จะได้ราบรื่นมากกว่าเดิม
“ปีหน้าปักปิ่น ปีถัดไปน่าจะมีการพูดถึงเรื่องแต่งงานถึงยามนั้นเมื่อแต่งเข้าจวนสกุลเซียวแล้วเจ้าก็แค่ใช้ข้ออ้างว่าอยากปรนนิบัติพ่อแม่ของสามีเพียงเท่านี้เจ้าก็จะได้ไปอยู่ในเมืองเสียนโจวซึ่งเป็นดินแดนที่ครอบครัวสกุลเซียวดูแลอยู่ ที่นั่นเป็นฐานที่มั่นอันมั่นคงของสกุลเซียวพวกเราต่างไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไร แต่การที่สะใภ้ที่พึ่งแต่งเข้ามีความตั้งใจที่สื่อถึงความกตัญญูย่อมจะทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกเอ็นดูมากกว่าปกติ เมื่อผู้อาวุโสเอ็นดูการใช้ชีวิตภายในจวนสกุลเซียวก็ย่อมจะง่ายขึ้น ส่วนเรื่องทางนี้ก็ปล่อยให้สามีของเจ้าทำงานของเขาไป เพียงเท่านี้ก็นับว่าเจ้าสามารถหลบหลีกความวุ่นวายได้แล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยแนะนำโดยอิงจากความทรงจำในกาลก่อนของตนเอง
ในตอนนั้นอยู่ๆ เซียวอวิ๋นหยวนก็บังคับส่งตัวภรรยาให้ไปปรนนิบัติพ่อแม่สามี จนทำให้หวังฮุ่ยหลิงเกิดความไม่เข้าใจและรู้สึกหวาดระแวงว่าสามีไม่ชื่นชอบตนเองจึงได้คิดส่งนางจากไปเช่นนี้ แต่ยามนี้นางเข้าใจแล้วสาเหตุที่เซียวอวิ๋นหยวนทำเช่นนี้ที่แท้ก็เพราะอยากปกป้องหวังฮุ่ยหลิงนั่นเอง
เมื่อคิดว่าหลังจากทำการใหญ่เสร็จเขาก็ไม่อยู่รับราชการในเมืองหลวงแต่กลับเร่งรุดไปเสียนโจวที่แท้ก็เพราะอยากกลับไปอยู่ร่วมกันกับภรรยานั่นเอง เป็นเพราะนางมัวคิดถึงเรื่องราวในอดีตชาติจึงได้หลุดคำว่าสามีของเจ้าออกมา ถ้อยคำประโยคนี้ของเฉินเจียวเจียวทำให้หวังฮุ่ยหลิงอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ
“สามีของข้าอันใดกันเล่า ยังไม่ได้แต่งกันเสียหน่อย” เมื่อหวังฮุ่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้หลี่ถังหรูก็ส่ายหน้า
“ยังไม่แต่งแต่ก็หมั้นหมายกันมานานแล้ว อย่างน้อยเรื่องของเสด็จพี่รองของข้ากับเจียวเจียวก็น่าจะเป็นการตักเตือนเขาได้ดีว่าอย่าได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างเช่นเสด็จพี่รองของข้าเด็ดขาด” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยเช่นนี้ทุกคนในห้องต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน ส่วนหวังฮุ่ยหลิงนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าลงเพื่อปกปิดความขัดเขินสุดท้ายจึงได้เอ่ยกับสหายเพื่อชักชวนพวกนางกลับ
“พวกเราออกมานานแล้ว ยามนี้ควรจะได้เวลากลับแล้วไม่เช่นนั้นท่านแม่ของข้าจะต้องตำหนิเป็นแน่ ช่วงนี้ข้าออกข้างนอกแทบทุกวันหากยังกลับค่ำอีกข้าจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่” เมื่อหวังฮุ่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
คนทั้งหมดจึงออกจากหอน้ำชาเพื่อแยกย้ายกันขึ้นรถม้าของตนเอง เฉินเจียวเจียวเหลือบมองไปยังบริเวณที่รถม้าขององค์รัชทายาทเคยจอดอยู่แล้วก็พลันทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อพบว่ายามนี้บริเวณนั้นไม่มีรถม้าแล้ว
เมื่อทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยกับสาวใช้อีกสองคนนั่งในรถม้าดีแล้วคนขับรถม้าและผู้คุ้มกันที่ขี่ม้าคอยคุ้มกันให้ก็ออกเดินทาง เมื่อเขาเมืองได้แล้วรถม้าของจวนสกุลเฉินก็แยกกับรถม้าขององค์หญิงเก้าและรถม้าของจวนสกุลหวัง เพราะตรอกสุ่ยอันที่ตั้งของจวนสกุลเฉินอยู่อีกด้านหนึ่งของเมือง เพียงแต่พึ่งจะแยกทางกับรถม้าของสหายได้ไม่นานรถม้าของจวนสกุลเฉินก็พลันชะลอความเร็วลงแล้วหยุดลงได้ในที่สุด
“เกิดอันใดขึ้น” เฉินเจียวเจียวหันไปถามตงผิงเสียงเบา
“บ่าวขอออกไปดูสักครู่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบตงผิงก็ลงจากรถม้าไปเพื่อสอบถาม
“มีการต่อสู้ข้างหน้าเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่ารถม้าคันหน้าจะถูกชายชุดดำโจมตีอยู่เจ้าค่ะ” เมื่อตงผิงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยที่นั่งอยู่ก็พลันดึงกระบี่อ่อนที่พันอยู่รอบเอวออกมาในทันที
“เจ้าโจรป่าบัดซบอยู่ในเขตประตูเมืองเช่นนี้ก็ยังไม่รู้จักเกรงกลัว ได้! คุณหนูรองสกุลเฉินผู้นี้จะจัดการพวกเจ้าเอง” เมื่อเอ่ยจบนางก็โผนทะยานออกไปจากรถม้าเสียแล้ว เหล่าผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งอยู่คุ้มกันเฉินเจียวเจียวส่วนอีกกลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปคุ้มกันเฉินเจียวเหม่ยอย่างแข็งขัน เมื่อเฉินเจียวเจียวเห็นเช่นนั้นก็หันไปบอกกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“พวกเจ้าไปคุ้มกันคุณหนูรองเถิด เหลือไว้คุ้มกันข้าเพียงหนึ่งคนก็พอ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางเปิดหน้าต่างรถม้าชะโงกหน้าออกไปดูสถานการณ์ด้านหน้าพลางขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเฉินเจียวเหม่ยจะมีวรยุทธ์ติดกายแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉกเช่นโม่ซื่อ ยามนี้นางไม่รู้ว่ากลุ่มคนชุดดำเหล่านั้นเป็นโจรป่าอย่างที่เฉินเจียวเหม่ยเข้าใจจริงหรือไม่ หากไม่ใช่ก็นับว่าครั้งนี้เฉินเจียวเหม่ยกำลังหาเรื่องใส่ตัวไปเสียแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ