เฉินเจียวเจียวจ้องมองหลี่ไท่หลงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ผู้คุ้มกันที่อาสะใภ้รองคัดเลือกด้วยตนเองย่อมไม่อาจจะดูถูกฝีมือได้ แต่คนผู้นี้กลับเดินไปเดินมาในห้องของนางอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวนี่ออกจะทำให้นางอดรู้สึกสงสัยในความสามารถของผู้คุ้มกันเหล่านั้นไม่ได้
“ข้อตกลงอันใดกันที่ทำให้องค์รัชทายาททรงรั้งรอไม่ได้ จนถึงขั้นต้องปีนกำแพงเข้ามาในจวนของผู้อื่นในยามวิกาลเช่นนี้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยถามเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็พลันยิ้มออกมาในทันที
“เจ้าเคยบอกว่าอยากได้คู่ครองที่ดี ข้าก็จะเป็นคู่ครองที่ดีให้เจ้า เจ้าอยากได้คู่ครองที่ให้เกียรติและมีเพียงเจ้าข้าก็สามารถทำให้เจ้าได้ ส่วนเรื่องรักมั่นปักใจอันใดนั้นต้องขอโทษด้วยที่สตรีที่ยังไม่เติบโตอย่างเต็มที่เช่นเจ้านั้นทำให้ข้าไม่อาจจะรับปากได้จริงๆ แต่ข้ออื่นๆ นั้นข้าขอสาบานด้วยเกียรติของข้าว่าจะขอยึดมั่นใจสัจวาจาไปตลอดชีวิตของข้าว่าข้าจะเป็นคู่ครองที่ดี ให้เกียรติเจ้าและมีเพียงเจ้าเพียงผู้เดียว ขอเพียงเจ้ายินยอมแต่งเข้าตำหนักบูรพาเป็นพระชายาของข้าก็พอ” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันขมวดคิ้ว นางเดินนั่งลงตรงหน้าเขา หงายถ้วยชาขึ้นมาสองใบรินให้เขาถ้วยหนึ่งส่วนอีกถ้วยก็รินให้เขาด้วยตนเอง
“หม่อมฉันรับราชโองการมาแล้วย่อมไม่อาจจะขัดขืน อันที่จริงพระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยเพคะ”
“ผู้ใดจะรู้เล่า ยามปกติเจ้าก็มักจะทำเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้อื่นอยู่แล้ว ข้าจึงย่อมจะต้องมาทำข้อตกลงกับเจ้าเอาไว้ก่อน ก่อนที่เจ้าจะก่อเรื่องขึ้นมาจนก่อให้เกิดผลร้ายต่อตัวเจ้า ต่อจวนกั๋วกงและที่สำคัญที่สุดก็คือผลร้ายต่อตัวข้าเอง คงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเท่าใดนักที่สตรีผู้หนึ่งขัดขืนราชโองการเพราะไม่อยากจะแต่งเข้าตำหนักบูรพาเป็นพระชายาของข้า” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางยกถ้วยชาขึ้นมาดมแล้วจึงค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสชาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ส่วนเฉินเจียวเจียวเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“อันที่จริงข้อเสนอขององค์รัชทายาทนับว่าน่าสนใจมากทีเดียว ต่อให้หม่อมฉันไม่ได้แต่งเข้าราชวงศ์ เรื่องการหาสามีที่ให้เกียรติและการได้เป็นภรรยาเดียวของเขาย่อมจะหาได้ยากเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร เพียงแต่หากผู้อื่นรับปากว่าจะมีภรรยาเพียงคนเดียวย่อมสามารถทำได้ง่าย แต่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นอีกทั้งในวันหน้าย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงในฐานะบุรุษที่อยู่จุดสูงสุดของแคว้น พระองค์ทรงมั่นพระทัยแล้วหรือเพคะว่าจะสามารถทำได้ตามข้อตกลงที่ทรงเสนอมา”
“ผู้อื่นข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้านั้นย่อมสามารถทำได้ ข้าจะหาสตรีอื่นมาช่วยทำให้ฐานะของตนเองมั่นคงไปทำไมในเมื่อมีพ่อตาเป็นถึงผิงกั๋วกงที่มีทหารในมือตั้งมากมายแถมยังอาจจะมากกว่าทหารในมือของข้าเสียอีก วันหน้าหากข้ามีบุตรชายผิงกั๋วกงคนต่อไปย่อมจะต้องคอยเกื้อหนุนสนับสนุนบุตรชายของข้าอยู่แล้ว หรือหากข้าไม่มีบุตรชายจริง น้องชายของข้าก็ยังมีแค่ขอบุตรชายจากเขาสักคนมาเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของเจ้าเพียงเท่านี้ก็ได้แล้ว” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันกระแทกถ้วยชาลงอย่างมีโทสะ
“ขอบุตรชายจากผู้อื่น… ช่างกล้าตรัสออกมาได้”
“นั่นก็แค่พูดเผื่อไว้ไม่ได้คิดจะต่อว่าเจ้าหรือสาปแช่งเจ้าเลยสักนิด ถ้าหากไม่มีจริงๆ ก็อาจจะเป็นเพราะข้าก็ได้แล้วเหตุใดจึงได้มีสีหน้าโกรธเคืองได้ถึงขั้นนั้น” หลี่ไท่หลงรีบเอ่ยอธิบายออกมาอย่างร้อนตัว ส่วนเฉินเจียวเจียวที่ในยามนี้กำลังคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนก็อดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ อันที่จริงนางกับหลินชิงเหมยก็ขับเคี่ยวกันอย่างไม่ลดละอยู่แล้ว แต่หมากกระดานตัดสินก็คือคำว่าขอบุตรชายคนโตจากน้องชายของหลี่ไท่หลงนี่แหละ
“ช่างเถิด ไม่ใช่อย่างที่องค์รัชทายาททรงเข้าใจหรอก เอาเป็นว่าต่อไปอย่าได้ตรัสคำว่าจะขอบุตรชายของผู้อื่นมาเลี้ยงดูให้หม่อมฉันได้ยินอีกก็พอเพคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยมาถึงตอนนี้แล้วก็พลันทอดถอนใจออกมา ด้วยคิดว่าต่อให้ไม่มีเรื่องนี้นางกับหลินชิงเหมยก็คงฟาดฟันกันจนตายไปข้างหนึ่งอยู่ดี เพียงแต่ตอนนั้นเป็นเพราะนางโง่เองก็เลยได้ตายไปแล้วชาติหนึ่งจริงๆ ในเมื่อชาตินี้ได้แก้ตัวใหม่ก็ไม่ควรย้อนกลับไปในทิศทางเดิม
“ในเมื่อองค์รัชทายาททรงรับปากว่าจะมีเพียงหม่อมฉันก็นับว่าเป็นเรื่องดี หม่อมฉันเองก็เหนื่อยล้าเต็มทีกับการแย่งชิงบุรุษกับผู้อื่น”
“ข้าย่อมสามารถทำได้อย่างที่พูดอยู่แล้ว … ว่าแต่แม่นางน้อยเช่นเจ้าไปแย่งชิงบุรุษคนไหนกับผู้ใดมาหรือเหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องนี้ หรือว่าจะเป็นน้องชายของข้า เอ๊ะ! หรือว่าเจ้ายังมีผู้อื่นที่ข้าไม่รู้อีก” หลี่ไท่หลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ส่วนเฉินเจียวเจียวที่หลุดปากพูดออกไปอย่างไม่ทันได้คิดก็พลันขมวดคิ้ว แล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“สาเหตุที่คุณหนูสกุลจ้าวลงมือกับหม่อมฉันเช่นนั้นไม่ใช่เพราะความริษยาหรือไรเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยล้าเต็มทีกับการที่จะต้องฟาดฟันกับคุณหนูจ้าวคนที่สอง หวังว่าองค์รัชทายาทจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งเข้าตำหนักบูรพานะเพคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี่หลี่ไท่หลงก็พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องจ้าวซีอินข้าย่อมจะจัดการนางให้เจ้าอย่างแน่นอน ส่วนสตรีอื่นข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้มีคนอย่างจ้าวซีอินคนที่สองเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่เรื่องสกุลจ้าวข้ากำลังพยายามอยู่ แต่เจ้าวางใจเถอะข้าคนนี้มีเป้าหมายอยู่ในใจมากมายหนึ่งในนั้นก็คือการกำจัดสกุลจ้าวให้ออกไปจากราชสำนักแคว้นต้าเยียนแห่งนี้ ซึ่งข้าคิดว่าอีกไม่นานข้าก็คงจะบรรลุเป้าหมาย” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ข้อตกลงก็ถือว่าตกลงกันได้แล้ว ชาก็ดื่มแล้วเช่นนั้นทูลเชิญองค์รัชทายาทเสด็จออกจากห้องของหม่อมฉันได้แล้วเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา หลี่ไท่หลงจึงได้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ข้าไปแน่ ที่นี่ก็ไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจให้ข้าอยู่ต่อได้อยู่แล้ว หากเจ้าโตกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะคุ้มค่าที่จะอยู่ แต่ตอนนี้ …เฮ้อ กินให้มากๆ หน่อย นอนให้มากๆ หน่อย จะได้โตเร็วๆ” เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้างแล้วก็พลิ้วกายหายไปกับสายลม
เฉินเจียวเจียวมองเงาร่างที่หายไปด้วยสีหน้าจนใจ นางเชื่อว่าองค์รัชทายาทสามารถทำได้อย่างที่พูด แต่สิ่งที่นางกังวลใจไม่ใช่เรื่องความประพฤติของเขาแต่เป็นการแต่งเข้าราชวงศ์ต่างหาก ไม่ว่าอย่างไรการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ย่อมยากจะหาความสงบ ยามนี้นางสามารถหลีกหนีจากสามีโง่งมอย่างโซ่วอ๋องได้สำเร็จแล้ว แต่กลับไปคว้าคนที่ร้ายกาจและยากจะต่อกรมากกว่ามาเป็นสามีแทน คำว่า “หนีเสือปะจระเข้” เป็นเช่นไรนางเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ยามนี้ แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่าในภายหน้านางก็ไม่ต้องคารวะหลี่ไท่หยางและชายาของเขาแล้ว นี่คือสิ่งที่สามารถช่วยปลอบประโลมจิตใจของนางได้เป็นอย่างมาก
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ