แชร์

บทที่ 54 หนอนบ่อนไส้

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 21:26:47

สูญเสียบุตรสาวอย่างกะทันหัน บุตรชายถูกถอดยศและล้มป่วย ได้รับราชโองการตำหนิและถูกสั่งให้สำนึกตนของฝ่าบาททำให้เสนาบดีฝ่ายขวาจ้าวฉีจมอยู่กับความผิดหวังและหดหู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่ในฐานะผู้นำสกุลจ้าวเขาก็ไม่อาจจะยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเพียงเพราะเรื่องเช่นนี้

“ทางไทเฮาทรงเป็นอย่างไรบ้างมีข่าวคราวส่งมาบ้างหรือไม่” จ้าวฉีเอ่ยถามที่ปรึกษาด้วยสีหน้าอึมครึม

“ยังทรงเงียบหาย ช่วงนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดอยู่ๆ เฉียวกุ้ยเฟยก็ได้รับความโปรดปรานขึ้นมา เมื่อได้รับความโปรดปรานมากยิ่งขึ้นอำนาจในมือของพระนางก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จากที่เคยสงบเสงี่ยมปกครองวังหลังตามหน้าที่แต่ยามนี้กลับกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง พระนางไม่เพียงโยกย้ายคนแถมยังสลับสับเปลี่ยนคนของแต่ละตำหนักอย่างเอิกเกริก แม้แต่ตำหนักเย็นที่มีคนของฝ่ายเราอยู่ก็ยังถูกโยกย้ายไปอยู่ที่ฝ่ายซักล้าง” เมื่อที่ปรึกษาเอ่ยเช่นนี้จ้าวฉีก็พลันขมวดคิ้ว

“หากข้าจำไม่ผิดก็เป็นพระสนมเฉียวกุ้ยเฟยผู้นี้เช่นกันที่เป็นคนเชิญคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงเข้าวังไปเป็นแขกของพระนางในเทศกาลหยวนเซียวที่ผ่านมา” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้ที่ปรึกษาก็พยักหน้า

พอเอ่ยถึงเทศกาลหยวนเซียวดวงตาของจ้าวฉีก็พลันแดงก่ำขึ้นมา จริงอยู่ที่เขาไม่ได้มีบุตรสาวแค่เพียงคนเดียว แต่หลายปีมานี้เขาตั้งความหวังที่จ้าวซีอินมากที่สุด นางไม่เพียงถือกำเนิดจากภรรยาเอกแต่นางยังเป็นบุตรสาวที่เฉลียวฉลาดและเรียนรู้เร็ว นับเป็นบุตรสาวที่เขาภาคภูมิใจที่สุด

“องค์รัชทายาทผู้นี้คงไม่อาจจะเก็บเอาไว้ได้อีกแล้ว บุตรสาวสองคนของข้าล้วนตายไปเพราะเขา” คำพูดของจ้าวฉีทำให้ที่ปรึกษาก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขัดคำพูดของเจ้านายเสียงเบา

“องค์รัชทายาทผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมรอบกาย ส่งคนไปกำจัดเขาอยู่หลายครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ ยากเย็นเสียยิ่งกว่าการกำจัดฮ่องเต้เสียอีกมิสู้พวกเรา..” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของจ้าวฉี

“หากสิ้นฝ่าบาทในยามนี้ หลี่ไท่หลงย่อมขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้อย่างง่ายดาย ข้าไม่มีทางช่วยตัดชุดแต่งงานให้เขาอย่างเด็ดขาด ยามนี้พวกเราขาดฝ่าบาทไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าอย่าได้เอ่ยความคิดเช่นนี้ออกมาให้ข้าได้ยินอีก” จ้าวฉีเอ่ยพลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“โอรสของฝ่าบาทไม่ได้มีแค่พระองค์เดียว เจ้าจงรีบไปสืบเรื่องราวของโซ่วอ๋องอย่างละเอียดอีกครั้งรวมทั้งคนสนิทรอบกายเขาด้วย” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้ที่ปรึกษาก็พลันมีสีหน้ากังวล

“แต่ว่าพระนางเต๋อเฟยทรงชิงชังสกุลจ้าวอย่างกับอะไรดี หากพวกเราช่วยผลักดันโซ่วอ๋องก็ไม่แน่ว่าวันหน้าจะไม่ถูกแว้งกัด” ที่ปรึกษาเอ่ยคัดค้านจ้าวฉีด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนจ้าวฉีกลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“คนรอบกายโซ่วอ๋องไม่ได้มีแค่เพียงพระนางเต๋อเฟยเสียหน่อย หึหึ เจ้าไปตรวจสอบดูอีกครั้งมีผู้ใดที่พอจะช่วยพวกเราชักจูงโซ่วอ๋องได้บ้าง” ได้ฟังจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้ที่ปรึกษาพลันนิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มเย็นออกมา

“อันที่จริงข้าก็พอจะรู้เรื่องภายในของโซ่วอ๋องมาเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนายท่านหรือไม่” ที่ปรึกษาผู้นั้นเอ่ยพลางลอบสังเกตสีหน้าของจ้าวฉี เมื่อเห็นว่าเขาไม่คัดค้านที่ปรึกษาผู้นั้นจึงได้เอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“ช่วงนี้พระนางเต๋อเฟยทรงมีเรื่องขัดแย้งกับโซ่วอ๋องมาโดยตลอด เรื่องที่ขัดแย้งกันก็ล้วนเกิดจากคุณหนูรองจากจวนสกุลหลิน โซ่วอ๋องหมายปองคุณหนูผู้นี้จนทำให้เกิดการถอนหมั้นกับคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกง ยามนี้ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างพระนางเต๋อเฟยและโซ่วอ๋องทรงคลอนแคลนเป็นอย่างมากก็เพราะคุณหนูรองสกุลหลินผู้นี้ขอรับ”

“หึหึ ยังมีสตรีที่สามารถเอาชนะคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงด้วยหรือ เจ้าจงไปสืบมาอย่างละเอียดสิว่าคุณหนูรองสกุลหลินผู้นี้เป็นคนเช่นไร เหมาะที่จะให้การช่วยเหลือและสนับสนุนหรือไม่” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้ที่ปรึกษาก็รีบรับคำจ้าวฉีจึงได้โบกมือไล่เขาไป ส่วนตนเองก็เดินไปยังเรือนหลักของตนเองเพื่อเยี่ยมเยียนอาการป่วยไข้ของฮูหยินของเขา

ตั้งแต่บุตรสาวจากไปจ้าวฮูหยินก็ล้มหมอนนอนเสื่อมาโดยตลอด ยามนี้จวนสกุลจ้าวจึงล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของต่งอี้เถียนผู้เป็นลูกสะใภ้ ซึ่งต่งอี้เถียนก็สามารถทำได้ดีมากทีเดียวถึงแม้ว่าจะเทียบจ้าวฮูหยินผู้เป็นแม่สามีไม่ได้แต่ก็ไม่ได้แย่

“ท่านพี่ ลูกสาวของเรา” จ้าวฮูหยินที่ในยามนี้นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียวร่ำไห้ออกมาเมื่อเห็นสามี

“เจ้าวางใจเถิด ข้าคนนี้จะหาทางแก้แค้นให้แก่ลูกสาวของพวกเราเอง” เขาเอ่ยพลางกุมมือของภรรยาร่วมผูกผมของตนเองเอาไว้ พลางจ้องมองไปทางรูปวาดของบุตรสาวทั้งสองที่ฮูหยินของเขานำมาแขวนเอาไว้ในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าว

ทางฝั่งหลินชิงเหมยที่ใช้แผนเจ็บตัวเรียกความสงสารจากโซ่วอ๋องได้สำเร็จ ในยามนี้นางถูกส่งกลับมาที่จวนสกุลหลินแล้ว แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าพระนางเต๋อเฟยจะเป็นคนลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ยามนี้นางจึงได้แต่นอนซมเพราะพิษไข้

“เหลียนฮวา” นางเอ่ยเรียกสาวใช้ของตนเสียงเบาพลางเหลือบมองไปรอบกายด้วยความอ่อนแรง

“คุณหนูท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” เหลียนฮวาเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปดูอาการของเจ้านายด้วยตนเอง

“เหตุใดข้าจึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า” หลินชิงเหมยเอ่ยถามสาวใช้ด้วยความประหลาดใจนางจำได้ว่าก่อนที่นางจะหมดสตินางยังอยู่ภายในตำหนักของพระนางเต๋อเฟย

“ท่านอ๋องเป็นทรงเป็นคนพาคุณหนูกลับมาที่จวนสกุลหลินด้วยตนเองเจ้าค่ะ แถมยังส่งหมอหลวงมาดูแลอาการของคุณหนูด้วย” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็พลันยิ้มออกมาเหลียวมองรอบกายแล้วเอ่ยถามสาวใช้ของตนเองเสียงเบา

“ท่านพ่อกับท่านแม่เล่าพวกเขาว่าอย่างไรบ้าง” เมื่อหลินชิงเหมยเอ่ยเช่นนี้เหลียนฮวาก็ก้มหน้าลง

“นายท่านไม่ได้ว่าอันใดเจ้าค่ะ เพียงบอกกับท่านอ๋องว่าเป็นเพราะจวนสกุลหลินเลี้ยงดูบุตรสาวได้มีดีจึงทำให้ทั้งท่านอ๋องและพระสนมต้องทรงร้อนใจกันเช่นนี้” คำพูดของเหลียนฮวาทำให้หลินชิงเหมยมีสีหน้าไม่พอใจ

“แล้วท่านแม่เล่า”

“ฮูหยิน เข้ามาดูอาการของท่านเพียงครู่เดียวแล้วบอกกับข้าว่าให้ดูแลคุณหนูให้ดี อยากได้สิ่งใดให้ข้าไปบอกกับมามาอาวุโสโดยตรง” เมื่อเหลียนฮวาเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็พลันส่ายหน้า

“ไม่สิ! นางต้องไม่ได้พูดเพียงเท่านี้เป็นแน่” หลินชิงเหมยเอ่ยพลางจ้องมองสาวใช้ด้วยสีหน้าเย้ยหยันซึ่งเหลียนฮวาใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมา

“ฮูหยินท่านเอ่ยว่า คุณหนูช่างเหมือนมารดาแท้ๆ ไม่มีผิด เพื่อเรียกร้องความเห็นใจถึงกลับยินยอมทำร้ายและทำลายตนเอง นางยังบอกอีกว่าเมื่อคุณหนูตื่นขึ้นมาก็ให้คุณหนูบำรุงรักษาตนเองอยู่แต่ในเรือนหากหายดีแล้วก็ไม่ต้องออกไปไหน นางจะส่งมามาผู้มีประสบการณ์จากในวังมาสั่งสอนมารยาทและการประพฤติตนให้คุณหนูเอง ที่สำคัญหากไม่มีเรื่องจำเป็นคุณหนูห้ามออกจากเรือนอย่างเด็ดไม่เช่นนั้นคุณหนูจะถูกโบยตีหนักกว่าที่ถูกพระนางเต๋อเฟยสั่งโบยตีอย่างแน่นอน” คำพูดของเหลียนฮวาทำให้หลินชิงเหมยพลันเม้มปากแน่น

“นี่ไม่ใช่การสั่งกักบริเวณหรือ” หลินชิงเหมยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ส่วนเหลียนฮวากลับก้มหน้าลงโดยไม่ออกความเห็น

“ฟางเจียอี … หึหึ ดูแคลนข้าก็ไปเถอะ แต่อย่าได้คิดดูแคลนท่านแม่ของข้าเป็นอันขาด จะต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้เจ้าต้องสำนึกเสียใจ ทั้งลูกของเจ้า ทั้งหลานของเจ้า ข้าหลินชิงเหมยผู้นี้จะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าได้เสวยสุขบนความทุกข์ของข้า” หลินชิงเหมยเอ่ยออกมาเสียงเบาส่วนสาวใช้ได้แต่รีบก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง

ยามนี้เหลียนฮวาไม่ใช่สาวใช้ที่ซื่อสัตย์และรับใช้เพียงคุณหนูของนางอีกต่อไปแล้ว ด้วยการดูแลและช่วยเหลือของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงทำให้นางไม่อาจจะภักดีต่อคุณหนูของนางได้อีกต่อไปแล้ว นางยังมีบิดามารดาที่ต้องคอยส่งเสียเลี้ยงดู อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่อาจจะทนรับความยากลำบากกับคุณหนูที่คอยหาแต่จะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตนเองอย่างคุณหนูรองหลินผู้นี้ได้อีกต่อไปแล้ว

นางจึงจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้านายคนใหม่ส่วนงานที่ทำก็คือคอยรายงานทุกคำพูดและทุกการกระทำของคุณหนูรองจวนสกุลหลินให้แก่คนของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงที่มักจะมาสอบถามข่าวคราวเป็นระยะ แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของหนอนบ่อนไส้แต่นางก็จำเป็นต้องทำ เพื่อผลตอบแทนแล้วต่อให้นางทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้นางก็ล้วนยินดี

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status