LOGINแต่ ซูเหยาคนใหม่ เพียงแค่ปรายตามองไปยังประตูจวนอย่างสงบ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือความหวั่นไหวปรากฏบนใบหน้า นางยังคงจิบชาในถ้วยอย่างเชื่องช้า
สาวใช้คนสนิทขององค์ชาย หลี่กงกง ผู้มีท่าทางสง่าผ่าเผย ก้าวเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับ เทียบเชิญสีทอง ที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมเฉพาะตัวจากวังขององค์ชาย
"คารวะท่านเจ้ากรมซู คารวะฮูหยินซู และคารวะคุณหนูซูเหยาขอรับ" หลี่กงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองเล็กน้อยตามประสาคนสนิทเชื้อพระวงศ์ "วันนี้บ่าวได้รับพระบัญชาจากองค์ชายหานเย่ว์ ให้มาเชิญคุณหนูไปร่วม งานเลี้ยงบุปผา ที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวในวังเย็นนี้ขอรับ"
ในอดีต นี่คือคำเชิญแรก ๆ ที่ทำให้นางเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังที่ทำให้นางคิดไปเองว่าองค์ชายเริ่มสนใจนางแล้ว
ฮูหยินซูหันไปมองบุตรสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง 'ในที่สุด! องค์ชายก็เริ่มให้ความสนใจบุตรสาวของนางแล้ว'
แต่ซูเหยาเพียงแค่วางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงเป็นมิตร แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วย ความว่างเปล่า ที่ไม่มีใครอ่านออก
"ขอบคุณองค์ชายที่ทรงเมตตาเพคะ แต่ซูเหยาคงต้องขอปฏิเสธคำเชิญในครั้งนี้อย่างสุภาพเจ้าค่ะ"
หลี่กงกงเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ซูเหยาไม่เคยปฏิเสธเทียบเชิญจากองค์ชายเลยสักครั้ง เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและถามย้ำอย่างระมัดระวัง
"คุณหนู... ขออภัยที่บ่าวต้องทูลถาม หากแต่ว่า... คุณหนูมีเหตุขัดข้องอันใดหรือขอรับ? งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพียงเพื่อสนทนากันในหมู่คนสนิท ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมากมาย"
"มิได้มีเหตุขัดข้องอันใดร้ายแรงเจ้าค่ะ เพียงแต่ซูเหยาต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปเมืองตงไห่ในเร็ววันนี้ และขณะนี้กำลังอยู่ในช่วง 'ถือศีล' เพื่อเตรียมพิธีบูชาบรรพบุรุษที่นั่น เพื่อขอให้การฟื้นฟูกิจการผ้าไหมของตระกูลเป็นไปอย่างราบรื่น"
นางเน้นคำว่า 'ถือศีล' และ 'บูชาบรรพบุรุษ' ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เกี่ยวข้องกับความกตัญญูและขนบธรรมเนียมที่สูงส่งที่สุดในยุคโบราณ แม้แต่คนสนิทขององค์ชายก็ไม่กล้าพูดจาขัดขวางเรื่องเหล่านี้
หลี่กงกงทำได้เพียงโค้งคำนับอย่างจำยอม
"เช่นนั้น... บ่าวจะนำความไปกราบทูลองค์ชายตามที่ได้ยินมาทุกประการขอรับ"
"ขอบคุณท่านกงกงที่เข้าใจเพคะ"
หลังจากหลี่กงกงจากไป บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบสงัดลงทันที ฮูหยินซูรีบรุดเข้ามาหาบุตรสาวด้วยสีหน้าวิตกกังวล
"เหยาเอ๋อร์! เจ้าทำอะไรลงไป! องค์ชายเชิญเจ้าด้วยตัวเอง เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธเช่นนั้น? นี่เป็นการทำให้เขาไม่พอใจนะ!"
ซูเหยาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่มีใครเคยเห็น
"ท่านแม่... หากองค์ชายทรงสนใจในตัวบุตรสาวของท่านจริง พระองค์จะไม่ทรงถือสาเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ แต่ถ้าหากพระองค์ทรงไม่พอใจเพราะบุตรสาวของท่านให้ความสำคัญกับ ความกตัญญูและการทำมาหากิน มากกว่าการร่วมงานเลี้ยงที่ไร้สาระ... เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของท่านตั้งแต่แรกแล้วเพคะ"
คำพูดที่เฉลียวฉลาด คมคาย และมีเหตุผลทางตรรกะทำเอาบิดามารดาของนางถึงกับนิ่งไปอีกครั้ง
ซูเหยาหันไปสั่งการสาวใช้คนสนิทที่ยังคงยืนตะลึงอยู่
"ชิงหลิง เจ้าจงจำไว้ จากนี้ไป... เรื่องขององค์ชายหานเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นเทียบเชิญ ของขวัญ หรือข่าวสารใด ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าและกิจการของตระกูลซู... ไม่จำเป็นต้องนำมารายงานข้าอีก เจ้าเข้าใจหรือไม่?"
"เจ้า... เจ้าค่ะ คุณหนู"
หลังจากการปฏิเสธคำเชิญจากวังองค์ชายอย่างเด็ดขาด ซูเหยาไม่ได้สนใจกระแสความแตกตื่นที่เกิดขึ้นในจวนแม้แต่น้อย นางใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือเก่าของบิดา กองเอกสารและสมุดบัญชีของกิจการ "ผ้าไหมฉื่อเยว่" ถูกนำมากางออกบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
ซูเหยาคนใหม่ ใช้ความรู้จากโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดในการวิเคราะห์ตัวเลข นางเข้าใจทันทีว่าปัญหาของตระกูลซูไม่ได้อยู่ที่วัตถุดิบหรือแรงงาน หากแต่อยู่ที่การบริหารจัดการที่ล้าสมัยและการขาดวิสัยทัศน์ทางการตลาด
‘การจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ การย้อมสีแบบดั้งเดิมที่ใช้ต้นทุนสูงแต่ได้สีที่ไม่สม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุด... การพึ่งพาการค้ากับราชสำนักมากเกินไป’
นางใช้เวลาเพียงชั่วยาม ก็สามารถสรุป ช่องโหว่และจุดอ่อน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยหลักการทางธุรกิจสมัยใหม่ได้
ช่วงค่ำซูเหยาเดินไปพบท่านพ่อ เจ้ากรมซู ที่เรือนรับรอง บิดาของนางยังคงนั่งขบคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างหนักใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลว่าการกระทำของบุตรสาวอาจนำภัยมาสู่ตระกูล
"ท่านพ่อ ลูกได้ศึกษาเอกสารของฉื่อเยว่แล้ว ลูกพบทางรอดของกิจการเราเจ้าค่ะ"
นางยื่นรายการสรุปปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยชัดเจน รายละเอียดที่นางนำเสนอมีความเฉียบขาดและเป็นเหตุเป็นผล อย่างที่ไม่เคยมีบุตรีคนใดเคยทำมาก่อน
เจ้ากรมซูอ่านเอกสารนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"เหยาเอ๋อร์... แนวคิดเหล่านี้... เจ้าคิดเองทั้งหมดหรือ? มัน... มันช่างแยบยลและนำสมัยยิ่งนัก"
ซูเหยาพยักหน้าเล็กน้อย
"เจ้าค่ะ แต่แนวคิดนี้จะไม่มีทางสำเร็จ หากเรายังคงอยู่ในเมืองหลวง" นางกล่าวต่ออย่างชัดเจน "เมืองหลวงเต็มไปด้วยสายตาที่จับจ้องและอำนาจทางการเมืองที่คอยกีดกันกิจการของเรา ลูกต้องการให้ท่านพ่ออนุญาตให้ลูกเดินทางไปฟื้นฟูกิจการ ผ้าไหมฉื่อเยว่ ที่เมืองตงไห่เจ้าค่ะ"
"เมืองตงไห่?" เจ้ากรมซูถึงกับขมวดคิ้วด้วยความลังเล "นั่นเป็นเมืองที่ห่างไกลนัก อีกทั้งเจ้าย่อมรู้ดีว่าการเป็นบุตรีขุนนางแล้วไปเปิดกิจการค้าขายที่ชายแดนนั้น... มันไม่เหมาะสมเลยนะเหยาเอ๋อร์"
"ท่านพ่อ! หากเรายังยึดติดกับ 'ความเหมาะสม' เราก็จะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของวังองค์ชาย"
ซูเหยาเดินเข้าไปใกล้บิดา
"ท่านพ่อ ลูกไม่ได้ไปเพื่อหนีความรัก แต่ไปเพื่อ สร้างเกียรติยศที่แท้จริง ให้กับตระกูลซู หากบุตรสาวไม่อาจเป็นภรรยาที่มีความสุขได้ ก็ขอเป็น 'นายหญิง' ที่ยิ่งใหญ่แทนเถิด! ลูกต้องการมีฐานะที่แข็งแกร่งพอที่จะยืนเคียงข้างองค์ชายได้อย่างเท่าเทียม"
"เอาเถิด พ่อจะจัดการเรื่องการเดินทางให้เจ้า แต่เจ้าต้องสัญญากับพ่อ ว่าจะไม่ทำให้ตัวเองลำบาก"
"ลูกสัญญาเจ้าค่ะ" ซูเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน
สองวันต่อมา การเตรียมพร้อมเดินทางก็เสร็จสิ้น ซูเหยาเลือกที่จะนำข้าวของที่จำเป็นไปเพียงเล็กน้อย นางไม่ได้นำชุดสวยงามหรือเครื่องประดับราคาแพงไป มีเพียงสมุดบัญชี พู่กัน และชุดคลุมธรรมดาที่เหมาะกับการทำงาน
ในยามรุ่งสาง ซูเหยาอำลาบิดามารดาแล้วขึ้นนั่งบนรถม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเดินทางไปเมืองตงไห่ นางปรายตามองกลับไปยังประตูจวนตระกูลซูเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับวังองค์ชายที่นางเคยเฝ้ารอคอยในอดีต
นางสั่งสารถีด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
"ออกเดินทางได้"
เขาเริ่มเห็น 'เสน่ห์' ที่มาจากอำนาจและความสามารถของนาง เป็นเสน่ห์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดใจอย่างร้ายกาจ มันแตกต่างจากความงามที่อ่อนหวานอย่างสิ้นเชิงหลังจากจัดการกับพ่อค้าเฉินได้แล้ว ซูเหยาเดินกลับไปที่เรือนรับรองของโรงงานทันที นางนัดหมายประชุมกับ ท่านหลิว พ่อค้าส่งรายใหญ่ที่ได้สั่งซื้อผ้าไหมของฉื่อเยว่ไปในปริมาณมหาศาล เพื่อหารือเรื่องการขยายตลาดไปยังแคว้นทางใต้องค์ชายหานเย่ว์ ในนามพ่อค้าแซ่หาน ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ จึงพยายามหาช่องทางเข้าถึงและแสดงความสามารถ เขารีบตามเข้าไปในห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จางซื่อจะทันขวางไว้"เรียนนายหญิงซู ในฐานะพ่อค้าที่สนใจลงทุนในธุรกิจผ้าไหม ข้าขออนุญาตเข้าร่วมรับฟังการประชุมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมงานได้หรือไม่" องค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและเป็นมืออาชีพที่สุดซูเหยาปรายตามองเขาเล็กน้อย นางรู้ว่าพ่อค้าแซ่หานผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อลงทุน แต่มาเพื่อตามติดนาง นางไม่ได้ปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง "เชิญท่านพ่อค้าแซ่หาน" นางจัดให้เขานั่งที่มุมห้องในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้นซูเหยาเริ่มนำเสนอแผนการขยายตลาดอย่างเป็นระบบ นางกางแผนที่ขนาดใหญ่ออกมา และชี้ไปยั
"พ่อค้าแซ่หาน ทางเรามีห้องพักที่สะอาดและปลอดภัยที่สุดรอท่านอยู่เจ้าค่ะ กรุณาชำระค่าห้องพักเป็นรายสัปดาห์ ท่านจะได้รับกุญแจสำหรับล็อคห้องพักและตู้นิรภัยส่วนตัวทันที" ชิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรตามที่ถูกฝึกฝนมา"อืม ข้าเป็นพ่อค้าที่เดินทางมาไกล ข้าหวังว่าการมาเยือนตงไห่ครั้งนี้จะได้พบปะกับพ่อค้าท้องถิ่นที่น่าสนใจ" เขาพยายามพูดให้ดูเหมือนพ่อค้าทั่วไปชิงหลิงเพียงโค้งคำนับ "แน่นอนเจ้าค่ะ ที่โรงเตี๊ยมซูแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของพ่อค้าจากหลายแคว้น หวังว่าท่านจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะเจ้าคะ" นางไม่แสดงความสนใจในตัวเขาเกินความจำเป็นองค์ชายเดินตามชิงหลิงไปยังห้องพัก เขาสำรวจทุกตารางนิ้วด้วยสายตาที่เฉียบคม ห้องพักที่ไม่หรูหรานั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจในรายละเอียด เตียงนอนสะอาดสะอ้าน ผ้าห่มอบอุ่น ไม่มีกลิ่นอับชื้น และมีตู้เก็บของที่มีกุญแจโลหะแข็งแรงติดอยู่จริงเขาต้องยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่า โรงเตี๊ยมซู แห่งนี้ มีระบบจัดการที่เฉลียวฉลาดอย่างน่าตกตะลึงองค์ชายหานเย่ว์ไม่ได้พักผ่อน แต่รีบลงมายังห้องโถงหลักอย่างรวดเร็ว เขาสั่งชาสมุนไพรมาจิบ แล้วเลือกโต๊ะที่อยู่ใกล้กับโต๊ะทำงานของซูเหยามากที
เขาเรียกประชุมเจ้ากรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน"ช่วงนี้มีรายงานเรื่องเส้นทางการค้าบริเวณเมืองตงไห่ล่าช้าและมีการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายมากนัก" องค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามปกติ "ข้าจะเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อจัดระเบียบการค้าและหาช่องทางในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพดีเข้าสู่โรงงานหลวง"ทุกคนยอมรับคำสั่งขององค์ชายอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะดูสมเหตุสมผลและเหมาะสมกับตำแหน่งของเขา แต่ในใจขององค์ชาย เขารู้ดีว่า เขาไปเพื่อดูซูเหยา ไปดูว่าสตรีที่เคยหลงรักเขาจนโง่เง่าผู้นั้น ได้เปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ที่เฉลียวฉลาดได้อย่างไรองค์ชายตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปในฐานะรัชทายาทผู้สูงศักดิ์"หลี่กงกง เตรียมชุดเดินทางให้ข้า ข้าต้องการชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนพ่อค้าหรือนักเดินทาง ไม่ใช่ชุดปักไหมทองของวัง"หลี่กงกงชะงักไปเล็กน้อย "ทูลองค์ชาย ท่านจะปลอมตัวไปในฐานะพ่อค้าหรือพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่า... ออร่าและรูปโฉมของท่านอาจจะทำให้การปลอมตัวไม่สำเร็จนะพ่ะย่ะค่ะ"องค์ชายปรายตามองอย่างเย็นชา ทำให้หลี่กงกงรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว องค์ชายเลือกชุดที่เรียบง่ายที่สุด แต่แม้จะเรียบง่ายเพียงใด ผ้าที่ทอก็ย
ตำหนักบูรพาของ องค์ชายหานเย่ว์ ในเมืองหลวงยังคงโอ่อ่าสง่างามตามปกติ องค์ชายผู้เป็นรัชทายาทในอนาคตกำลังนั่งพิจารณาฎีกาการเก็บภาษีฤดูใบไม้ผลิด้วยท่าทีเย็นชา โต๊ะทำงานของเขาเต็มไปด้วยเอกสารสำคัญ ไม่มีสิ่งของไร้สาระใด ๆ วางอยู่เขาใช้ชีวิตอย่างปกติ... ทว่าความปกติที่แสนจะสมบูรณ์แบบนี้กลับมี ความรู้สึก 'ขาดอะไรบางอย่าง' ไปอย่างประหลาด ปกติแล้ว ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็น โต๊ะทำงานของเขาจะต้องมีจดหมายรักที่เขียนด้วยลายมือบรรจง หรือของว่างที่ถูกส่งมาจาก ซูเหยา ‘ไร้สาระ’ องค์ชายคิดอย่างหงุดหงิด เขามักจะคิดว่าคำอ้อนวอนและของขวัญเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้แก่นสารที่รบกวนสมาธิ แต่ตอนนี้... เมื่อความวุ่นวายนั้นหายไป ความสงบที่ได้รับกลับไม่เป็นที่พึงพอใจเลยแม้แต่น้อยองค์ชายหานเย่ว์ตระหนักว่าเขาไม่ได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของซูเหยามาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่ที่นางปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยงบุปผา"หลี่กงกง" องค์ชายเรียกขันทีคนสนิทด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความหงุดหงิดที่ไม่สามารถซ่อนได้ "เหตุใดเจ้ากรมซูจึงยังไม่กลับจากเมืองตงไห่ และเหตุใด... ข้าถึงไม่ได้รับรายงานการเตรียมตัวอภิเษกของสตรีผู้นั้นเลย"
"หากทรัพย์สินของท่านหายไปในขณะที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมซู ทางเราจะรับผิดชอบชดใช้เต็มจำนวน" ข้อเสนอนี้ดึงดูดพ่อค้าที่ต้องเดินทางพร้อมเงินจำนวนมากได้ทันทีหนึ่งเดือนถัดมา โรงเตี๊ยมซู ก็กลายเป็นชื่อที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหูในหมู่พ่อค้าและนักเดินทางที่ผ่านเข้าออกเมืองตงไห่ ทุกเย็น ซูเหยาจะมานั่งในห้องโถงโรงเตี๊ยมเพื่อตรวจบัญชี และสิ่งที่นางได้รับไม่ได้มีเพียงเงินทอง แต่คือ ข้อมูลข่าวสารที่มีค่า นางได้ยินเรื่องเส้นทางการค้าใหม่ ๆ การเก็บภาษีที่เข้มงวดของแคว้นใกล้เคียง และแม้กระทั่งข่าวลือเกี่ยวกับความไม่สงบทางการเมืองที่อาจกระทบต่อกิจการของนางกิจการผ้าไหม ฉื่อเยว่ และ โรงเตี๊ยมซู ต่างทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง รายได้รวมของกิจการทะลุเป้าหมายที่นางวางไว้ในช่วงสามเดือนแรก ความมั่นคงทางการเงินนี้มอบอิสรภาพที่นางปรารถนาซูเหยานั่งคำนวณตัวเลข ทรัพย์สินที่นางสร้างขึ้นด้วยตนเองในเมืองตงไห่ มีมูลค่าเกินกว่าสินเดิมที่นางเคยมีเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง ทว่า ความสงบสุขก็ไม่ได้อยู่ยืนยาวตลอดไปจดหมายที่ส่งมาจากมารดาของนางที่เมืองหลวง เริ่มมีน้ำเสียงที่แสดงความกังวลมากขึ้น"เหยาเอ๋อร์... เจ้าควรกลับมาเยี่ยมพ่
ท่านผู้เฒ่าหลิวมองซูเหยาด้วยความแปลกใจ นางเป็นสตรีที่งดงามเกินกว่าจะเป็นพ่อค้าทั่วไป และท่วงท่าก็สง่างามเกินกว่าจะมาขายของในตลาด"นายหญิงซู... ท่านมาถึงที่นี่มีธุระอันใดกับหลิวผู้เฒ่าหรือ"ซูเหยาไม่ได้กล่าวคำทักทายที่ยืดยาว นางเปิดหีบผ้าไหมออกอย่างช้า ๆ ผ้าไหมย้อมเย็นสีแดงมงคลสะท้อนแสงไฟในห้องอย่างสวยงาม สีสันที่สดใสและเนื้อผ้าที่นุ่มนวลอย่างประหลาด ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลิวต้องลูบผ้าอย่างพิถีพิถัน"ท่านหลิว ข้าทราบว่าสินค้าผ้าไหมในตลาดตอนนี้ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้แก่ท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ผ้าไหม ฉื่อเยว่ ชุดใหม่นี้แตกต่างกัน" ซูเหยาเริ่มการเจรจา"ผ้าไหมทั่วไปมีสีที่ซีดจางง่ายและไม่ทนทานต่อความชื้น แต่ผ้าไหมย้อมเย็นของข้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ข้ากล้าให้ 'การรับประกัน' แก่ท่าน หากผ้าไหมของข้ามีปัญหาเรื่องสีตกหรือความคงทนภายในหนึ่งปี ข้าจะยินดีรับคืนสินค้าทั้งหมดและชดเชยค่าเสียหายเต็มจำนวน"ข้อเสนอการรับประกัน ในธุรกิจผ้าไหมยุคโบราณเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าทำ "คุณภาพดีเยี่ยมจริง ๆ นายหญิงซู แต่... ราคาขายส่งของท่านสูงกว่าราคาตลาดถึงหนึ่งในสิบส่วน""ราคาที่สูงกว่าของข้า แต่แลกกับการที







