“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว” เสียงของผินฟู่โยว ฮูหยินรองของบิดาเยี่ยนฟาง ทำเอาคนถูกทักกลอกตามองบน
บุรุษมากภรรยา ย่อมต้องมีปัญหาตามมา ไม่เว้นแม้แต่สกุลเกา ที่มีฮูหยินรองเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตนเทียบชั้นกับฮูหยินเอกของสกุล ระรานเหล่าอนุของแม่ทัพเกา จนมีเรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน
“เฮ้อ! ไปกันเถิด”
“นับวันยิ่งทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้ว่าฮูหยินเอกเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างไร สู้เหรินเอ๋อร์ของป้าก็มิได้” เหรินเอ๋อร์ที่ว่า คือผินอี้เหรินหลานสาวของฮูหยินรอง ที่มาอาศัยอยู่เรือนสกุลเกามาตั้งแต่เล็กๆ
ด้วยเหตุที่ว่าฮูหยินเอกมีบุตรชายมาแล้วถึงสองคน ฮูหยินรองเองก็คลอดบุตรชายอีกสองคน แม่ทัพเกาจึงอยากได้บุตรสาวช่างออดช่างอ้อน ผินฟู่โยวจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจสามี ทว่าก็ไม่ทันฮูหยินเอกที่คลอดเยี่ยนฟางมาก่อน
นางจึงได้แต่พาหลานสาวมาเลี้ยงดู หวังให้สามีหันมาสนใจ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ แม้เกากั๋วเฉียงจะเมตตา ให้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่เท่าบุตรสาวคนเล็ก
“…”
“ท่านป้า อย่าทำให้คุณหนูโมโหเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็ดูเถิดเหรินเอ๋อร์ ผู้ใหญ่พูดด้วย นางก็ไม่ตอบ สงสัยจะอกหักรักคุดจนสิ้นสติไปเสียแล้ว คิกๆ” ถ้อยคำยั่วโมโหเหล่านี้ อาจทำให้เยี่ยนฟางคนเก่าโวยวายไม่พอใจ แต่ไม่ใช่กับเยี่ยนฟางคนนี้เป็นแน่
“ฮึก เหตุใดฮูหยินรองจึงว่าร้ายข้าถึงเพียงนี้เล่า ฮื่อ~” คุณหนูของเรือนแผดเสียงร้องไห้ ทำเอาบ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์ตกอกตกใจไปตามๆ กัน
เพราะก่อนหน้ามีแต่จะกรีดร้อง ตะโกนด่าฮูหยินรองอย่างเสียๆ หายๆ แต่มาครานี้นางกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน่าสงสาร
“เอ่อ นะ นี่เจ้าเงียบได้แล้ว” สตรีร่างอวบหันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูก
“ท่านกล่าวทำร้ายจิตใจข้า จนเจ็บไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ฮื่อ!”
เยี่ยนฟางป้องปากร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม และความประสงค์ของนางก็เป็นผล
“เสียงดังอันใดกัน ฟางเอ๋อร์ของพ่อร้องไห้ด้วยเหตุใด”
“ท่านพ่อ ฮึก” ร่างเล็กวิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นบิดา พลันสะอึกสะอื้นรุนแรงกว่าเดิม หญิงสาวรู้ดีว่าฮูหยินรองต้องการให้บิดาเห็นนิสัยแย่ๆ ของนาง จึงเอาคืนด้วยวิธีนี้
“พวกเจ้าบอกข้า ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดบุตรสาวข้าจึงร้องห่มร้องไห้เช่นนี้”
“ท่านพี่อย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเล็กคงกำลังเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“นั่นเพราะฮูหยินรองเอ่ยว่าลูกไร้ค่า ไร้มารยาท บิดามารดาไม่สั่งสอน” ปากเล็กกระตุกยิ้มให้สองป้าหลาน
แม้ว่าเซียนสาวพึ่งจะเข้าร่างนี้มา และไม่ค่อยรับรู้เรื่องราวชีวิตของเกาเยี่ยนฟางเท่าใดนัก แต่ยามที่มองผ่านม่านชีวิตของหยางจิ้งก็พอทราบว่า ผินอี้เหรินก็เป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งเข้าเป็นอนุขององค์ชายสาม เช่นนี้แล้วสตรีตรงหน้าก็คงมิได้หวังดีต่อเกาเยี่ยนฟางสักเท่าใด
“ทะ ท่านพี่ ข้ามิได้เอ่ยเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
“ท่านเอ่ย บ่าวไพร่เป็นพยาน ว่าฮูหยินรองเอ่ยว่าข้าไร้มารยาท” เมื่อเยี่ยนฟางว่าดังนั้น บรรดาบ่าวในโรงครัวก็พยักหน้ายืนยันว่าได้ยินเช่นนั้นจริงๆ
“เจ้านี่มันไม่หลาบไม่จำ ข้าเตือนกี่รอบแล้วว่าอย่าสร้างเรื่อง แต่ปากเจ้ามันอยู่นิ่งไม่ได้จริงๆ ตบสักยี่สิบทีเป็นอย่างไร”
“ท่านพี่” ผินฟู่โยวเสียงอ่อนลงอย่างกับคนละคน เห็นดังนั้นเยี่ยนฟางก็อดหัวเราะในใจไม่ได้
“ท่านพ่ออย่าทำโทษฮูหยินรองหนักเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงให้นางอยู่แต่ในเรือนสักสองสามวันก็พอแล้ว ข้ามิอยากทำร้ายผู้ใดให้เป็นบาปติดตัว”
“ลูกพ่อคิดได้ก็ดีแล้ว ฟู่โยว เจ้าอยู่แต่ในเรือนห้ามออกมาระรานผู้อื่น อี้เหรินก็อยู่ดูแลนางเถิด”
“เจ้าค่ะท่านลุง” ผินอี้เหรินตอบรับเสียงเศร้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของเรือนใจอ่อน ทั้งยังพาบุตรสาวเดินออกจากโรงครัวทันที
เยี่ยนฟางที่ตั้งใจจะออกไปหาองค์ชายหวงหยางจิ้ง ก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป เพราะกลัวผู้เป็นพ่อจะสงสัยว่าแสร้งร้องไห้
นางจึงให้บ่าวนำขนมไปฝากจวนองค์ชายแทน ทว่าทางนั้นกลับปฏิเสธทันทีที่ได้ยินชื่อผู้ส่ง
“คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะไปเอง”
“ข้าแน่ใจ ข้าเตรียมมื้อเที่ยงไปทานที่จวนองค์ชายแล้ว” วันนี้ทางสะดวก ท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปงานเลี้ยงสกุลเหลียน บรรดาพี่ชายก็ยังไม่กลับเรือน ฮูหยินรองก็ยังถูกกักบริเวณอยู่ ส่วนเหล่าอนุก็ไม่กล้าสอดเรื่องของนางอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ถือเป็นฤกษ์ดี
“แต่คุณหนูเจ้าคะ ทางนั้นดูไม่ค่อยจะพอใจเรา อีกอย่าง…คุณหนูเอ่ยว่าจะไม่ไปเหยียบที่จวนนั้นอีก”
“วันนี้ข้าจะไป เจ้าอย่ากังวลเกินเหตุเลยลี่จู เราขึ้นรถม้ากันเถิดอาเป่า”
“ขอรับคุณหนู” เด็กอ้วนกุลีกุจอพยุงนายของตน ก่อนจะยื่นมือให้คนบังคับม้า ช่วยอุ้มขึ้นไปนั่งด้านบน
หนึ่งนายกับหนึ่งบ่าวตัวน้อย เข้ากับเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนลี่จูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตามขึ้นไปนั่งบนรถม้า และออกเดินทางทันที
มือเล็กดึงแขนของเอกบุรุษให้ตามออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เท้าเล็กกระทืบลงพื้นระบายความโมโห“หยุด! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”“เป็นใบ้หรือไร เหตุใดไม่ตอบกลับไปเล่า” เยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่ตรอกไร้คน พลางหันไปต่อว่าอีกฝ่ายนางทั้งโมโห ทั้งอยากหยิกคนตรงหน้า ไม่ว่าเมื่อใดเจ้าหมาโง่ของนางก็ยืนให้คนอื่นด่า ยอมให้คนอื่นหัวเราะเยาะเพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า จึงได้เก็บกด พอมีอำนาจก็ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำร้ายผู้คนอย่างเลือดเย็น“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” หยางจิ้งหรือจะไม่โกรธ เขาแทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอสตรีชั้นต่ำผู้นั้น แต่ในฐานะเช่นเขา จะทำสิ่งใดได้“ก็ด่าพวกเขากลับไป เอาให้หูดับไปเลยยิ่งดี”“อย่างที่เจ้าด่าข้าอยู่นี่น่ะหรือ”“ข้า- เอ่อ หม่อมฉันมิได้ด่านะเพคะ เพียง เพียงบอกองค์ชายเท่านั้น” เยี่ยนฟางอยากตบปากตนเองนัก ทั้งที่ตั้งใจจะตีสนิทอีกฝ่าย แต่นางกลับลืมตัว ด่าเขาว่าเป็นใบ้เสียอย่างนั้น“บอกว่าข้าเป็นใบ้น่ะหรือ”“หึ หยุดใช้สายตากดดันหม่อมฉันนะเพคะ ทีกับผู้อื่นเหตุใดไม่มองเช่นนี้บ้าง”“ข้ามิได้ทำ”“ทำเพคะ มองอย่างกับจะฆ่าแกงกัน อ๊ะ! จะไปที่ใดเพคะ เมื่อครู่เป็นหม่อมฉันที่ช่วยพระองค์ไว้ องค์ชายควรตอบแทนหม่อมฉั
“อาเป่า เจ้าอยากทานสิ่งใดบอกข้า วันนี้ข้าได้เงินจากพี่ใหญ่และพี่รองมาเต็มถุงเลย”เป็นเวลาเกือบเดือนที่เหล่าคุณชายสกุลเกา รับรู้ว่าน้องสาวล้มป่วย แต่หน้าที่การงานรัดตัว ต้องไปราชการต่างเมือง จึงมิได้มาปลอบใจน้องสาวในทันใดพอเกิงชุนกับจวินอู๋กลับมาเห็นท่าทีของน้องสาวเปลี่ยนไป ก็คิดว่านางคงเสียใจหนักมาก จึงเอาอกเอาใจยกใหญ่ เยี่ยนฟางอยากได้สิ่งใดก็ควักเงินให้ไปซื้ออย่างไม่ลังเล“โอ้โห คุณชายทั้งสองมีเงินทองมากมายเสียจริงขอรับ”“แน่สิ ยังเหลือพี่สามอีกหนึ่งคน ที่ข้ายังไม่ได้ขอ”“เช่นนั้นบ่าวทานเสี่ยวหลงเปาได้หรือไม่ขอรับ กลิ่นหอมมาแต่ไกล”“อาเป่า เจ้าชักจะเกินไปแล้ว” ลี่จูปรามบุตร“เจ้านี่อย่างไรลี่จู ลูกชายเจ้ากินเก่งก็ดีแล้ว ข้าเองก็จะซื้อเสี่ยวหลงเปาไปฝากองค์ชายเช่นกัน”“คะ คุณหนูยังจะไปอีกหรือเจ้าคะ ไปทีไร ก็เจ็บตัวกลับมาทุกครา” ลี่จูว่าเสียงเบา นางกับลูกตามคุณหนูไปจวนองค์ชายมานับครั้งไม่ถ้วน ไปทุกวัน คุณหนูของนางก็ถูกลาก ถูกจับโยนออกมานอกประตูจวนทุกวัน“เอาเถิดๆ อย่างน้อยองค์ชายก็ยอมแตะตัวข้า ก่อนหน้านี้เขาเคยเอาไม้เขี่ยข้าด้วยซ้ำ แสดงว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว”“แล้วเหตุใดคุณหนูต้องทำให้องค์
“ปลดจ้าวหนิงจินลงจากตำแหน่งฮองเฮาให้เป็นเพียงสามัญชน และขังไว้ในคุกหลวงจนกว่าจะสิ้นชีวิต ชดใช้ความผิดที่ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์”นั่นเป็นพระราชโองการที่หยางจิ้งจดจำได้มิเคยลืม ผู้คนทั้งแคว้นต่างก่นด่าว่าเสด็จแม่ของเขาจิตใจอำมหิต สังหารองค์ชายรอง หวงลู่จิว ที่มีอายุได้เพียงเจ็ดหนาว เพราะกลัวว่าองค์ชายรองที่กำเนิดจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมกงลี่จิน จะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปจากหยางจิ้งเหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของหยางจิ้งพลิกผันจนแทบตั้งรับไม่ทัน เสด็จพ่อที่เคยอุ้มชู กลับไม่เคยมาเหลียวแล จะเดินไปที่ใดก็มีแต่คนทำท่ารังเกียจ แม้แต่พวกขันทีนางในก็ยังกล้าดูแคลนหยางจิ้งในวัยสิบเอ็ดหนาวต้องทนกับคำพูดเสียดสี ดุด่า สาปแช่ง ทั้งยังไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มท้องเลยสักวัน บางวันถึงขั้นเป็นข้าวบูดเสียด้วยซ้ำไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกงานสำคัญกับเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้อง หลังจากเสด็จแม่ได้รับโทษ เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญอีก ทั้งยังถูกขับให้ออกมาอยู่จวนนอกวังกับเข่อชิงเพียงสองคนหวงหยางจิ้งในวัยนั้นรู้สึกโกรธมารดาเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ตนเองกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่ก็ได้ขันทีเข่อชิงที่คอยสอน และย้ำเตือนว่าอย่างไรเสด
“เรื่องที่พระองค์คิดจะทำ มีเพียงอำนาจของบิดาหม่อมฉันที่ช่วยได้”“…” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปม เรื่องที่เขาคิดจะทำ สตรีนางนี้จะรับรู้ได้อย่างไรกัน“องค์ชายทรงตรองดูให้ดีเถิด เรื่องพระมารดาของพระองค์ ผู้ใดจะกล้ายื่นมือเข้ามาเสี่ยง”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเสี่ยงเล่า ทั้งที่ก่อนหน้าเจ้ามิยินดีจะเฉียดกายเข้าใกล้ข้าด้วยซ้ำ”“นั่นเพราะ…อย่างไรเสียหม่อมฉันก็แต่งให้ท่านแล้ว หากปล่อยให้องค์ชายทำเรื่องใหญ่ด้วยตนเอง แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา สกุลเกาคงเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยนฟางลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับสวามี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมรับความช่วยเหลือจากนางแน่เพราะก่อนหน้านี้หยางจิ้งพยายามตามสืบเรื่องของมารดาและสกุลจ้าว แต่ความกลับไม่คืบหน้า อย่างไรเสียเขาย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้“งั้นหรือ”“ใช่เพคะ ฮึๆ เอาเป็นว่าเรามานั่งทานมื้อกลางวันไป พูดคุยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่ องค์ชายต้องการให้หม่อมฉันช่วยอย่างไร ขอเพียงบอกมาเท่านั้น” ใบหน้าหวานพยักให้บ่าวคนสนิทตั้งโต๊ะอาหารรสเลิศหลายจานจึงถูกยกมาจัดเตรียมอย่างสวยงาม รอเพียงชายหญิงมานั่งทานเท่านั้น“…”“มาเพคะ เชิญองค์ชายนั่งตรงนี้ ว๊าย!” ใจดวงน้อยตกไปอ
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ ปากเล็กเป่าลมออกจากปาก ยืนทำใจอยู่หน้าประตูจวนหลังเก่า แม้ยามนี้หยางจิ้งจะเป็นเจ้าหมาโง่อยู่ แต่ภาพความโหดเหี้ยมของเขายังติดตานางไม่หาย“ให้บ่าวเคาะประตูเลยหรือไม่เจ้าคะ”“เอาเลย ข้าพร้อมแล้ว” เยี่ยนฟางกระชับปิ่นโตที่เอามาด้วยไว้แน่น รอให้ขันทีคนสนิทขององค์ชายออกมาเปิดประตูสามนายบ่าวยืนรอไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เมื่อขันทีเฒ่าเห็นว่าผู้ใดมา ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที“คำนับท่านขันทีเข่อชิง ข้านำอาหารมาฝากองค์ชาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะนำทางข้าไปพบองค์ชายได้หรือไม่เจ้าคะ”“…” สีหน้าโกรธเคืองเปลี่ยนเป็นงุนงงในทันใด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และกิริยาที่อ่อนน้อม ราวเป็นคนละคนกับคุณหนูเล็กสกุลเกาที่เขารู้จัก“ท่านขันทีขอรับ ได้ยินที่คุณหนูของข้าว่าหรือไม่”“เอ่อ ข้าคงต้องนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ชายก่อน” เมื่อถูกเด็กอ้วนท้วง ขันทีชราก็หันหลังกลับเข้าไปถามนายเหนือหัวทันทีและคำตอบก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้“ไล่นางกลับไป อย่าให้นางเข้ามาเหยียบในจวนเรา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวยังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพทิวเขา“แต่…ครานี้นางมีท่าทีแปลกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ดูไม่เหมือนคุณหนูเ
“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว” เสียงของผินฟู่โยว ฮูหยินรองของบิดาเยี่ยนฟาง ทำเอาคนถูกทักกลอกตามองบนบุรุษมากภรรยา ย่อมต้องมีปัญหาตามมา ไม่เว้นแม้แต่สกุลเกา ที่มีฮูหยินรองเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตนเทียบชั้นกับฮูหยินเอกของสกุล ระรานเหล่าอนุของแม่ทัพเกา จนมีเรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน“เฮ้อ! ไปกันเถิด”“นับวันยิ่งทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้ว่าฮูหยินเอกเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างไร สู้เหรินเอ๋อร์ของป้าก็มิได้” เหรินเอ๋อร์ที่ว่า คือผินอี้เหรินหลานสาวของฮูหยินรอง ที่มาอาศัยอยู่เรือนสกุลเกามาตั้งแต่เล็กๆด้วยเหตุที่ว่าฮูหยินเอกมีบุตรชายมาแล้วถึงสองคน ฮูหยินรองเองก็คลอดบุตรชายอีกสองคน แม่ทัพเกาจึงอยากได้บุตรสาวช่างออดช่างอ้อน ผินฟู่โยวจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจสามี ทว่าก็ไม่ทันฮูหยินเอกที่คลอดเยี่ยนฟางมาก่อนนางจึงได้แต่พาหลานสาวมาเลี้ยงดู หวังให้สามีหันมาสนใจ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ แม้เกากั๋วเฉียงจะเมตตา ให้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่เท่าบุตรสาวคนเล็ก“…”“ท่านป้า อย่าทำให้คุณหนูโมโหเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าก็ดูเถิดเหรินเอ๋อร์