Mag-log inสามนายบ่าวสวมผ้าคลุมหน้าคลุมหัว จนเห็นเพียงดวงตา พวกเขาแอบย่องออกจากเรือนมายังจวนนอกวังขององค์ชายหวงหยางจิ้ง
พอมาถึง เกาเยี่ยนฟางก็พาสองบ่าวปีนขึ้นไปเกาะกำแพง แอบมองคนที่อาศัยอยู่ด้านใน
“คะ คุณหนูเจ้าคะ เราจะไม่ถูกจับได้หรือ”
“มิต้องเป็นห่วงไป ที่นี่มิมีผู้ใดเฝ้ายาม องค์ชายอยู่กับขันทีเพียงสองคนเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ” แม้จะแปลกใจว่าคุณหนูรู้ได้อย่างไร แต่ลี่จูก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม กลัวจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย
“โอ๊ะ! องค์ชายไร้ค่าอยู่ตรงนั้นขอรับ”
“อาเป่า เหตุใดจึงเรียกองค์ชายเช่นนั้น” เยี่ยนฟางหันมาดุเด็กชายตัวอ้วน
“กะ ก็คุณหนูบอกให้บ่าวเรียกเช่นนั้นนะขอรับ”
“…ต่อไปห้ามเรียกอีก ข้าไม่อนุญาตแล้ว”
“ขอรับ” อาเป่าตอบรับเสียงอ่อย จนเยี่ยนฟางต้องหันไปลูบหลังปลอบเด็กน้อย
“ข้าขอโทษที่ดุเจ้า เอาเป็นว่าจากนี้อย่าเรียกเขาเช่นนั้นอีก หากใครมาได้ยินเข้า เขาจะว่าเจ้าเป็นเด็กไม่ดี”
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับคุณหนู” สองแม่ลูกตกใจอยู่พอควร เพราะก่อนหน้าคุณหนูไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้
เมื่อก่อนหากไม่ได้ดั่งใจ พวกเขาแม่ลูกเป็นอันต้องถูกด่าทอรุนแรง บางคราก็ถูกทุบตี จนชาชินไปเสียแล้ว แต่เหตุใดวันนี้คุณหนูจึงเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน
หรือเป็นลมครานั้น ศีรษะคุณหนูจะกระทบกระเทือนกันนะ
ระหว่างที่บ่าวสาวกำลังพิจารณาเจ้านาย เยี่ยนฟางกลับไม่ได้สนใจ เอาแต่เฝ้ามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งวาดภาพ อยู่บนศาลาไม้หลังเก่า
นางรู้ดีทีเดียว ว่าภาพวาดเหล่านั้นมิได้เป็นกิจกรรมยามว่าง แต่หยางจิ้งทำเพื่อนำไปขาย หาเงินทองมาใช้จ่าย เพราะนอกจากจวนที่เขาอยู่ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเขาอีกเลย
ร่างองอาจในชุดสีหม่น มีรอยปะ รอยขาดให้เห็นอยู่ทั่วตัว ยิ่งทำให้ใจดวงน้อยของเยี่ยนฟางหดเล็กลง สงสารเจ้าหมาโง่จับใจ
จนมีความคิดว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้พบชินอ๋องแคว้นจาง ชายหนุ่มจะเป็นอย่างไร จะต้องอยู่อย่างไร้เกียรติ ไร้คนเคียงข้างเช่นนี้หรือ
ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทั้งที่เป็นความผิดของมารดา แต่บุตรกลับได้รับผลกระทบ ซ้ำร้ายความผิดของอดีตฮองเฮาก็ยังไม่แน่ชัด มีข้อกังขาอยู่มากมาย
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดเคียงข้างเจ้า ตัวข้าผู้นี้จะช่วยเจ้าเอง จากนี้จะเป็นยุครุ่งเรืองขององค์ชายใหญ่ หวงหยางจิ้ง” น้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับกำปั้นที่ชูขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น ทำให้คนที่ถูกแอบมอง หันมาดูตามเสียง จนสามนายบ่าวต้องรีบโดดลงจากกำแพง บั้นท้ายกระแทกพื้นไปตามๆ กัน
กว่าสามวันที่เยี่ยนฟางหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนของตนเอง นั่งคิดแผนการที่จะทำให้ชีวิตของหยางจิ้งดีขึ้น จากที่คิดว่าจะกันไม่ให้หยางจิ้งพบกับชินอ๋องจางปี้ซวน และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม นางกลับทำไม่ได้
เยี่ยนฟางจึงตัดสินใจ จะใช้อำนาจที่บิดามี ให้เป็นประโยชน์ นางจะช่วยให้ทุกคนกลับมาเห็นค่าของหวงหยางจิ้ง ช่วยล้างมลทินให้คนสกุลจ้าว
แต่ติดที่ว่า…นางไม่รู้จะทำอย่างไรให้ชายหนุ่มเชื่อใจ และยอมให้นางช่วยเหลือ
“อาเป่า ยามที่เจ้าอยากได้เพื่อนใหม่ เจ้าทำอย่างไร”
“บ่าวหรือขอรับ อืม~ ก็เอาขนมไปให้ ส่งยิ้มหวานๆ แล้วก็ไปเล่นกับเขาทุกวัน” นิ้วอ้วนหยิบขนมเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ จนมารดาอย่างลี่จูส่ายหัว
เด็กชายคงเห็นว่าช่วงนี้คุณหนูใจดี จึงกล้าหยิบกินขนม ครั้นนางจะดุด่าบุตรชาย คุณหนูก็ออกรับแทน อาเป่าจึงได้ใจขึ้นทุกวัน
“ใช้วิธีที่เจ้าว่าไปก่อนแล้วกันนะ อย่างน้อยก็ต้องเข้าหาอย่างจริงใจ”
“เข้าหาผู้ใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
“ก็หยางจิ้งอย่างไรเล่า ไปกันเถอะ” ร่างระหงไม่พูดพร่ำทำเพลง ย่างก้าวไปในโรงครัว ลงทุนทำขนมเองกับมือ หวังใช้มันซื้อใจองค์ชายใหญ่ของแคว้น
ความรู้ในเรื่องการเข้าครัว จึงถูกนำมาใช้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าในยามที่อยู่บนสรวงสวรรค์ นางจะไม่เคยเข้าครัว แต่เรื่องนี้นางเคยดูการทำอาหารผ่านม่านชีวิตของเหล่ามนุษย์มานับครั้งไม่ถ้วน
เรื่องเท่านี้ นางย่อมทำได้
“อืม ใช้ได้ๆ เราไปกันเถิด” หลังจากที่ขลุกตัวอยู่ในครัวเป็นนานสองนาน คุณหนูของเรือนก็ได้ขนมเซาปิ่งมาตามต้องการ
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากโรงครัว เยี่ยนฟางก็ดันพบเข้ากับใครบางคนที่ไม่อยากเจอ
“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว”
“แล้วจะให้เขาทำอย่างไรเพคะ หากเขามาขอด้วยตนเอง ฝ่าบาทก็จะทรงค่อนแคะว่าเขาไม่จริงจัง มิยอมให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอใช่หรือไม่”“…” หยางจิ้งลูบแขนที่ถูกตีปรอยๆ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ดูจะตึงเครียดขึ้นมา ฝ่าบาทเองก็ไม่ยอมอ่อนจนฮองเฮาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี เซียนหนี่ว์จึงต้องใช้ไม้ตาย“เสด็จพ่อมิวางใจลูกเลยหรือเพคะ พระองค์คิดว่าลูกมองคนไม่ออก ว่าผู้ใดจริงใจ ผู้ใดคิดหลอกลวงหรือ” น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนแก้มใส จนผู้เป็นบิดาร้อนใจ“หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดจึงร้องไห้ พ่อมิได้คิดเช่นนั้น พ่อเพียงเป็นห่วงเท่านั้น พ่อไม่รู้จักเขา ไม่เคยได้พูดคุย เขาไม่เคยมาแสดงความจริงใจกับพ่อเลยสักครั้ง จะให้พ่อวางใจเขาให้ดูแลเจ้าได้อย่างไร”“หากเป็นเรื่องนั้นลูกผิดเองเพคะ ลูกไม่ยอมให้เขามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะน้อยใจลูก”“…”“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเพคะ อย่างน้อยก็อย่าพึ่งปฏิเสธเขาเลย”“พ่อปฏิเสธไปแล้ว…แต่หากเขาจริงใจและรักเจ้าจริง ทันทีที่สารจากแคว้นเราเดินทางไปถึง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมาหาลูกพ่อ”“…”“ถึงครานั้น พ่อจะให้โอกาสเขา” ได้ยินเ
“มีอันใด พ่อตกใจหมด”“สะ เสด็จพ่อปฏิเสธหรือเพคะ ปฏิเสธได้อย่างไร”“เหตุใดจะไม่ได้เล่า ในเมื่อธิดาของพ่อยังไม่อยากแต่งออก พ่อเองก็จะไม่บังคับ ท่านตาและท่านลุงของเจ้าต่างก็เห็นด้วยกับพ่อ”“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเลยนะเพคะ ฝ่าบาทพิจารณาอีกทีเถิด” เยี่ยนฟางรีบว่า“แล้วอย่างไร บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า จะให้แต่งไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองได้อย่างไรกัน หากแคว้นโจวไม่พอใจก็ปล่อยพวกเขายกทัพมา ข้าพูดคุยกับท่านพ่อตาแล้ว ว่าให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อม”“….”“พี่รองของเจ้าก็ส่งจดหมายไปบอกพี่สามและพี่สี่ให้ตรวจตรา เฝ้าระวังบริเวณชายแดนเรียบร้อยแล้ว” ได้ยินองค์กษัตริย์กล่าว เยี่ยนฟางก็นึกโทษตัวเอง ที่ประเมินความคลั่งรักของสวามีและบุรุษสกุลเกาต่ำเกินไป“ตะ แต่ลูก ลูกอยากไปเพคะ”“หืม หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่แข็งขึ้นมาอีกระดับ“ลูกอยากแต่งเพคะ”“…” หยางจิ้งนิ่งค้างไปในทันใด“ฝ่าบาทเพคะ ลูกสาวของเราพ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว นางสมควรได้มีความรัก มีครอบครัว ฝ่าบาทมิอยากอุ้มหลานหรือเพคะ”“ขะ ข้าย่อมอยาก เช่นนั้นพ่อจะหาคุณชายสกุลใหญ่มาแต่งกับเจ้าดีหรือไม่ บุตรชายของรองแม
เอกบุรุษในชุดลายมังกร เดินไปเดินมาในห้องทรงงานด้วยความกังวลใจ ไม่ต่างจากอดีตแม่ทัพ ท่านราชทูต และเสนาบดีกรมขุนนาง“เรื่องนี้หากเราปฏิเสธ อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นพ่ะย่ะค่ะ” เกาเกิงชุนรู้ดี ว่าการที่ต่างแคว้นส่งเทียบหมั้นมา เพื่อขอแต่งเชื่อมสัมพันธ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากเรายอมส่งองค์หญิงไปแต่งเชื่อสัมพันธ์ ก็ถือว่าได้มิตร แต่หากปฏิเสธ คงไม่แคล้วกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงคราม“พี่ใหญ่! ท่านจะยอมให้องค์หญิงของเราแต่งไปอยู่ต่างแคว้นหรือ หากองค์รัชทายาทแคว้นโจวเป็นชายโฉด นิสัยชั่วร้ายจะทำอย่างไร”“จริงอย่างคุณชายรองว่า ข้าไม่ยอมให้หนี่ว์เอ๋อร์ของข้าแต่งออกไปไกลถึงเพียงนั้นแน่ นางพึ่งอายุได้เพียงยี่สิบหนาว จะห่างจากอกบิดาได้อย่างไร” หยางจิ้งเอ่ยสำทับคำพูดของเสนาบดีกรมขุนนางที่พึ่งรับตำแหน่งมาหมาดๆ“เช่นนั้นกระหม่อมจะเรียกแม่ทัพหว่านมาพูดคุยเรื่องเตรียมทัพ ศึกครั้งนี้กระหม่อมจะนำทัพด้วยตนเอง”“ต้องรบกวนท่านพ่อตาแล้ว” ทันทีที่หวงหยางจิ้งได้รับเรื่องนี้มา ก็เรียกบุรุษสกุลเกามาปรึกษา ดีที่ความคิดเห็นของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงหาข้อยุติเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นกระ
“แอ้ แอ้”“อาหรง อาไห่ หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดพูดเช่นนั้นเล่า พ่อมาหาพวกเจ้าแล้วอย่างไรลูก”“คิก!” เยี่ยนฟางหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่นางและลูกต้องทำถึงเพียงนี้ ก็เพราะหยางจิ้งทำงานแทบไม่หยุดพัก บางคืนไม่กลับมานอนที่ตำหนักเสียด้วยซ้ำ นี่หากว่าหยางจิ้งแต่งตั้งสนม นางคงคิดว่าอีกฝ่ายไปนอนกับสตรีอื่นเสียแล้วมิใช่ว่าเยี่ยนฟางไม่เข้าใจ ว่ายังมีราษฎรอีกมากมายที่ทุกข์ยาก แต่หากสวามีของนางยังโหมงานหนัก ร่างกายเขาจะไม่ไหวเอาได้เหมือนยามที่นางพึ่งคลอดโอรสแฝด ช่วงนั้นฮ่องเต้หนุ่มลุกไม่ขึ้นไปหลายวัน ขนาดโอรสยังไม่อาจเข้าใกล้บิดาได้ เพราะกลัวว่าจะติดไข้ไปด้วย เป็นถึงเพียงนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่หลาบจำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ยอมหยุดพัก จนเยี่ยนฟางและเซียนหนี่ว์ต้องวางแผนเช่นนี้“ฟางเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“เพคะ บิดาไม่ใส่ใจบุตร สมควรแล้วที่จะถูกตัดขาด”“ใช่เพคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นกอดอก พลางเชิดหน้าหนีอีกรอบ“โถ่ หนี่ว์เอ๋อร์ของพ่อ พ่อจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าให้อภัยพ่อเถิด องค์หญิงน้อยของพ่อ” หยางจิ้งทั้งกอด ทั้งหอมแก้มใสของบุตรสาว“แน่หรือเพคะ”“แน่สิ พ่อจะไม่ละเลยเจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าอีก”“นั่นมิใช่ประเด
“ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์นางบีบมือข้า”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ฟางเอ๋อร์ ลูกพ่อ”“เยี่ยนฟาง เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางจิ้งแตะเบาๆ บนแก้มเนียนของภรรยา หวังปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อื้อ เหตุใดเสียงดังกันนักเล่า” ทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น ทุกคนก็เงียบกริบ แต่ใบหน้าทุกคนกลับยิ้มแย้มที่รู้ว่าเยี่ยนฟางได้สติขึ้นมาแล้ว“ฟางเอ๋อร์!” คุณชายทั้งสี่เรียกน้องสาวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงดีใจ“เจ้าฟื้นแล้ว ใครอยู่ด้านนอก เรียกท่านหมอที”“องค์ชาย ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่เองก็มากันครบเลยหรือ” เยี่ยนฟางดันตัวขึ้นจากเตียงโดยมีสวามีคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ“พวกเราย่อมมา ฟางเอ๋อร์ของแม่รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“มิเป็นไรๆ ขอเพียงเจ้าปลอดภัย พี่ใหญ่ก็สบายใจแล้ว” ครอบครัวพูดคุยกันไม่นาน ท่านหมอก็เข้ามาตรวจอาการของเยี่ยนฟาง เมื่อตรวจละเอียดไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง จึงจัดเพียงยาบำรุงให้ครอบครัวสกุลเกาก็อยู่ต่ออีกเพียงครู่เดียว เพราะมีบ่าวที่เรือนมาแจ้งว่าฮูหยินรองร้องห่มร้องไห้ เอ่ยว่าถูกอนุท่านแม่ทัพรังแก พวกเขาจึงแยกย้ายกลับเรือน อีกอย่างหยางจิ้งก็ยืนยันว่า
ภายในห้องนอนที่เคยมีเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง บัดนี้กลับเงียบสนิท ศีรษะหนักฟุบลงข้างเตียง มือหนาก็กอบกุมมือภรรยาไว้ไม่ห่าง เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันกะทันหันจนหยางจิ้งตั้งรับไม่ทัน“ฟางเอ๋อร์ เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ เจ้าเพียงแค่หยอกข้าให้ตกใจเล่นเหมือนทุกคราใช่หรือไม่ ฮึก รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า” ทั้งเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาที่ไหลออกจากนัยน์ตาสีดำขลับ ล้วนทำให้หลี่เมิ่งมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้“ขอโทษนะหยางจิ้ง ทั้งที่เคยสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้า แต่ข้ากลับทำไม่ได้” เซียนสาวซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อายผู้ใด“ร้องไห้เพราะดีใจ ที่ได้กลับสวรรค์หรือ”“มะ มหาเทพ”“ข้าถามว่าเจ้าดีใจมากใช่หรือไม่ ที่ได้กลับมา”“ขะ ข้าเสียใจ” ใบหน้างามก้มลง พลางตอบออกไปตามความจริง“หืม เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า ทั้งที่เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยหลายพันปี แต่เจ้ากลับเสียใจที่ได้กลับมาอยู่สวรรค์หรือ” มหาเทพยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่หลี่เมิ่งกลับรู้สึกว่านางถูกแรงกดดันมหาศาล“ข้าเสียใจ ที่ต้องจากพวกเขาทุกคนมา”“หากข้าให้เจ้ากลับไป เจ้าจะไปหรือไม่”“ข้า-”“เจ้า







