LOGINบนถนนวิภาวดีรังสิตทิศมุ่งสู่สนามบินดอนเมืองช่วงนี้รถยนต์โล่งเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว รถเมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูวิ่งโฉบบนท้องถนนยามสายอย่างรีบเร่ง... เขาขับรถปาดหน้าแซงซ้ายแซงขวารถคันอื่นที่ขับอย่างรีบเร่งไม่แพ้กัน บ่อยครั้งที่เขารีบแล้วได้รับการบีบแตรด่าจากรถคันอื่น...
หากเสียงแตรมันบอกแทนคนได้ เขาก็คงได้รับคำถามว่า ไอ้ห่า มึงจะรีบไปตายที่ไหนวะ...
แต่เขาไม่สนใจ เพราะว่าถ้าไปไม่ทันก็อาจตายได้เหมือนกัน... เขา หม่อมราชวงศ์เขตแดน เลิศยศอมร คลากสัน... รองประธานกรรมการผู้บริหารวัยย่างสามสิบแห่งเครืออมรกรุ๊ป บริษัทยักษ์ใหญ่ในสายธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยและประเทศแถบเอเชีย เนื่องจากว่าเป็นผู้บริหารใหญ่เขาจึงงานยุ่งเหยิงเกินกว่าที่มือสองมือของเขาจะรับไหว แล้วยิ่งเลขาที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ยังไม่ค่อยคล่องงานยิ่งทำให้เขาลำบากมากขึ้น...
อย่างเช่นการเร่งรีบในครั้งนี้ก็เพราะไอ้รติพงษ์เลขาตัวดีของเขาที่รับงานซ้อนกันโดยไม่ได้ดูรายละเอียดดีๆ ตามตารางงานที่เลขาจัดไว้คือวันนี้เขาต้องประชุมตอนแปดโมงในโรงแรมแกรนด์อมร ปรินซ์เซส โรงแรมระดับห้าดาวกลางกรุงเทพเมืองฟ้าอมร... จากนั้นสิบโมงเขาต้องไปตรวจงานที่โกดังสินค้าและอาหารแถวๆ สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วรายการสุดท้ายของวันคือเที่ยงครึ่งเขาต้องเป็นประธานประชุมคณะกรรมการผู้บริหารโรงแรมห้าดาวในเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งทางภาคใต้...
พอรู้เรื่องการผิดพลาดในการวางตารางงานของเลขาใหม่แล้วเขาเกือบเตะผ่าหมากลูกน้องให้มันนอนดิ้นตายกับความผิดพลาดของมัน มันคิดว่าเขาจะแยกร่างตรวจงานที่กรุงเทพฯ ไปด้วย แล้วถอดวิญญาณไปเปิดการประชุมที่ต่างจังหวัดด้วยได้หรือยังไงกัน แล้วงานประชุมที่มันจัดซ้อนกันนั้นก็เลื่อนไม่ได้ เพราะเป็นงานใหญ่ที่มีผลต่อชื่อเสียงของเขา
ดังนั้นเขาจึงต้องบึ่งออกจากห้องประชุมตอนเช้ามาเพื่อขึ้นเครื่องบินไฟลท์ที่เลขาจองไว้ให้ลงภาคใต้ แล้วให้ไอ้เลขาเจ้ากรรมไปตรวจงานแทนเขาที่โกดัง ไม่รู้ว่าเลขาใหม่คนนี้จะทำงานได้เรื่องหรือเปล่า แต่เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขาต้องรีบไปที่สนามบินให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเขาได้เอาเขาตายแน่
ระหว่างที่รถเขาจะเลี้ยวเข้าถนนอีกเลนนั้นเขาชะลอความเร็วลง แต่ว่ารถอีกคันที่ตามมาไม่ทันได้ตั้งตัวก็พุ่งตรงดิ่งมาที่รถเขา เสียงรถเบรกดังลั่นจนแสบแก้วหู โชคดีที่รถคันหลังไม่ได้ขับด้วยความเร็วสูงนัก เมื่อถึงจุดที่รถปะทะกันจึงไม่ได้ชนกันรุนแรงเท่าไหร่... ท้ายรถเบนซ์สีดำคันโตของหม่อมราชวงศ์หนุ่มที่จอดสนิทอยู่นั้นมีรถยนต์ยี่ห้อเดียวกันที่เป็นสีขาวจูบท้ายอย่างพอดิบพอดี
ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย... เขารีบทีไรเป็นได้เรื่องทุกทีซิน่า
เขาเดินลงจากรถไปดูรถคันหลังและเคาะกระจกเมื่อเห็นว่าคนที่ขับรถอีกคั้นนั้นฟุบอยู่กับพวงมาลัย... คำขอโทษที่ตั้งใจจะพูดนั้นเป็นอันต้องพับไปเพราะควรจะเป็นการไต่ถามว่าหล่อนยังอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่าแทนมากกว่า...
“คุณครับ คุณ” หม่อมราชวงศ์เขตแดนเคาะกระจกหล่อนเพื่อความแน่ใจ เขามองไปรอบๆ รถคันอื่นก็ขับเลยรถเขาและหล่อนไปโดยไม่แยแสว่าต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า... เขาส่ายหัวกับความแล้งน้ำใจของคนกรุงก่อนจะหันมาสนใจแม่สาวในรถต่อ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาจากพวงมาลัยแล้วเงยหน้ามองเขา หล่อนสวมชุดของเจ้าหน้าที่สายการบินที่เขาคุ้นเคย ใบหน้าสวยแต่ซีดเซียวนั้นมองเขา... เหมือนว่าความตกใจของหญิงสาวจะหายไป เหลือเพียงแต่ความเกรี้ยวกราดแทน หล่อนชักสีหน้าใส่เขาอย่างเต็มเหนี่ยวจนคนที่มองอยู่ขนลุก กระจกรถถูกเลื่อนลงมาเมื่อหล่อนพร้อมจะคุยกับเขา
“ซื้อใบขับขี่มาหรือไงถึงได้ขับรถห่วยแตกอย่างนี้... อยากตายทำไมไม่ไปขับที่อื่น มาขับตรงที่คนดีๆ เค้าขับทำไม” ถ้อยคำด่าทอผุดออกมาจากปากหล่อนทั้งๆ ที่เขาไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ แทนที่จะโกรธเขากลับหัวเราะที่หล่อนด่าเขามากกว่า ปากเก่งอย่างนี้ท่าทางจะไม่ได้เจ็บได้ปวดอะไรกระมัง...
ผู้หญิงบ้าอะไรสวยชะมัด ขนาดตอนโกรธก็ยังสวย
“เป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่” หล่อนตอบเสียงสูง “แต่รถฉันเป็น คุณโทรเรียกประกันมาด้วย”
“ผมไม่มีเวลา ต่างคนต่างซ่อมแล้วกัน”
“ต่างคนต่างซ่อม” หล่อนทวนคำเขาเสียงสูง “บ้าหรือไงคุณ ฉันต้องรับผิดชอบสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำด้วยหรือไง... คุณนี่ก็หน้าตาก็ดีทำไมชอบปัดสวะไม่รู้จักรับผิดชอบบ้างเนี่ย”
อืม...อย่างน้อยหล่อนก็ชมว่าเขาหน้าตาดี... แสดงว่าหน้าตาเขาก็คงใช้ได้อยู่เหมือนกัน หม่อมราชวงศ์หนุ่มยิ้มน้อยๆ กับความคิดของตน
“ผมรู้ว่าผมผิด ผมไม่ได้บอกว่าจะให้คุณจ่ายค่าซ่อมเอง... ผมรับผิดชอบแน่ๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาและก็รีบมากครับ”
“ตอนนี้ฉันก็รีบเหมือนกัน ต้องไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องจะมีปัญหาก็เพราะคุณนี่ล่ะ”
“ผมก็ต้องรีบไปขึ้นเครื่องเหมือนกัน... เอาอย่างนี้... ผมจะให้เงินคุณไปซ่อมในฐานะที่ผมผิด” เขาล้วงสมุดเช็คจากเสื้อสูทออกมา ปากกาทองฝังเพชรที่อยู่บนอกเสื้อด้านหน้าถูกดึงมาด้วยมือหนาแต่นิ้วเรียวเสลาดุจลำเทียน...เขาเซ็นเช็คให้หล่อนแกรกๆ แล้ววางลงใส่คอนโซลรถของหล่อนโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร
“ในวันที่เราไม่รีบค่อยพบกันใหม่นะครับ”
แล้วเขาก็ผลุนผันจากไป จากไปพร้อมกับเช็คราคาหนึ่งแสนบาทในมือของรินรดา
“รถไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ให้มาเป็นแสน บ้าหรือเปล่าเนี่ย” รินรดาบ่นตามหลังเขาด้วยความไม่เข้าใจ... วางเช็คนั้นใส่กระเป๋าใบโปรดแล้วขับรถตามรถคันสีดำมุ่งหน้าไปเส้นทางเดียวกัน เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเพราะว่าตอนนี้หล่อนก็รีบไม่ต่างจากเขา
ช่างทำผมสองคนกำลังช่วยกันใช้ไดร์เป่าผมยาวเหยียดไปถึงกลางหลังของรินรดาเพื่อเตรียมจัดแต่งทรงต่อไป... วันนี้หล่อนเปลี่ยนทรงผมมาสามทรงแล้ว รินรดาเริ่มรับรู้แล้วว่าไม่ว่าจะก้าวมาทำอาชีพใดมันก็ไม่มีคำว่าสบาย... ขึ้นชื่อว่าการทำงานหาเงินแล้ว มันก็เหนื่อยเหมือนกันหมด... แม้แต่การเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงที่ใครๆ ต่างก็อยากเฝ้าฝันว่าจะมาทำและคิดว่าสบายได้เงินมาง่ายๆ นั้น มันก็ยังถือว่าเหนื่อยขาดใจสำหรับหล่อน... แต่ถึงอย่างไร รินรดาก็ต้องขอบคุณพี่อาร์ท ผู้จัดการดาราชื่อดังหลายคนที่หล่อนพบในลานจอดรถของโรงแรม แกรนด์อมร ปรินซ์เซส หล่อนเจอเขาในวันที่ต้องการทำอะไรสักอย่างและต้องการยืนด้วยตัวเอง... เขามาพร้อมงานที่ได้ค่าตอบแทนมากมาย งานที่หล่อนหาเงินได้ด้วยสองมือของตัวเอง... พร้อมคำสัญญาที่ว่าจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดีหากหล่อนยอมเข้าวงการ รินรดาจะไม่ต้องไปเป็นตัวประกอบ ไม่ต้องไปเป็นดาราปลายแถว... แต่พี่อาร์ทจะปั้นหล่อนเพื่อมาเป็นนางเอก เขาบอกหล่อนอย่างนั้น...ไม่ใช่แค่ว่าต้องการทำงาน ไม่ใช่แค่ว่าอยากมีชื่อเสียง แต่หล่อนนั้นรู้สึกว่าคุยถูกคอกับผู้จัดการส่วนตัวดาราคนนี้จนคิดว่าไว้ใจได้ และด้วยคว
พอเลขาออกจากห้องไปอรรถากรก็ลากหญิงสาวมาอย่างทุลักทุเลเพื่อเอาเข้าไปคุยกันในห้องเขาซึ่งเก็บเสียงได้ดีกว่า... เขาไม่ได้พาหล่อนไปนอนบนเตียงนุ่มแต่ลากหล่อนกระเตงมาแล้วโยนลงสระว่ายน้ำกลางห้องพักจนน้ำล้นกระเพื่อมออกนอกสระกระเด็นกระดอนกระจายมาโดนแม้กระทั่งเขา... จะได้ใจเย็นลงบ้าง เขาคิดในใจ “ไอ้บ้า ไอ้เลว แกทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง... ไอ้คนไม่รักษาสัญญา... แกทำให้ฉันเดือดร้อนแค่ไหนรู้ไหม” หล่อนทั้งด่าทั้งกรี๊ดอย่างขัดเคืองใจ... เขาไม่ชอบผู้หญิงอย่างหนึ่งก็ตรงที่มักจะโวยวายไม่มีเหตุผล... ไม่ฟังอะไร ชอบแต่จะร้องกรี๊ดหนวกหูอยู่ท่าเดียว... สรุปว่า น้ำไม่ช่วยอะไร... เขาจึงถอดสูทออกแล้วกระโจนลงสระตามไปลากหล่อนขึ้นมาจากสระแล้วโยนร่างที่เปียกราวกับลูกมาตกน้ำไปที่โซฟาไม่ไกลจากสระนัก... “หยุดโวยวายแล้วมีอะไรก็พูดมาดีๆ... ผมเป็นคนไม่มีความอดทน เท่าที่ปราณีคุณไว้ชีวิตคุณมาหลายต่อหลายครั้งน่าจะทำให้คุณสำนึกได้ว่าควรจะหุบปากไม่ทำให้ผมโมโหนะ” “ฉันไม่หยุด ฉันจะโวยวาย... ถึงฆ่าฉันตาย ฉันก็จะตามเป็นผีมาหลอกหลอนคุณไม่ยอมไปผุดไปเกิด เพราะคุณมันเลว พูดดีๆ ด้
รินรดาไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษพูดหล่อนก็สามารถเข้ามาที่ลิฟต์ผู้บริหารได้ สิ่งทำให้รู้จากคนที่อยู่เฝ้านั้นทำให้หล่อนส่ายหัวกับพฤติกรรมของสองพี่น้อง ตอนแรกหล่อนกังวลว่าจะฝ่าด่านเข้ามาหาเขายาก แต่พอเอาเข้าจริง หล่อนไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เป็นผู้หญิงสวยๆ ก็สามารถผ่านไปได้ เพียงแค่บอกว่ามาหาคุณใหญ่หรือว่าคุณเล็กเท่านั้น พอบอกว่ามาหาคุณใหญ่ เขาก็บอกชั้นอย่างเสร็จสรรพโดยไม่ต้องโทรบอกล่วงหน้าเพราะว่าเป็นอภิสิทธิ์สำหรับผู้หญิงที่จะเข้าไปได้ทุกเมื่อ เพราะว่ามีผู้หญิงแวะเวียนเข้ามาหลายหน้าหลายตาจนเจ้าหน้าที่จำไม่ไหวนั่นเอง... หล่อนมาที่หน้าห้องทำงานเขา ไม่มีใครอยู่หน้าห้อง ว่างเปล่าทั้งโต๊ะทำงานของเลขา และโต๊ะเลขาผู้ช่วยไม่มีเงาของใครสักคน แต่หล่อนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้ไปไหน เพราะคนที่เฝ้าลิฟต์และดูแลความปลอดภัยบอกหล่อนอย่างนั้น ก็ดีจะได้ไม่ต้องต่อความยาวให้มากความ จะได้พบเขาเลย... หล่อนคิดในใจก่อนจะเดินเข้ามาเปิดบานประตูห้องทำงานของเขาที่ไม่ได้ล็อกเข้าไป ภาพแรกที่เห็นหลังจากที่ถือวิสาสะเข้าห้องทำงานคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นทำให้หล่อนถึงกับตาค้าง คนที่หล่
รินรดาต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่จะตามหาตัวต้นเหตุแห่งความโกรธกรุ่นโมโหของหล่อนเจอ... เวลาที่ผ่านมาระยะหนึ่งนั้นไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกโกรธแค้นคนที่ทำให้หล่อนเสียหายน้อยลง แต่มันกลับเป็นว่าหล่อนสะสมทุกอย่างรอวันระเบิดพร่างพรายออกมาให้เขาไหมเป็นจุลเท่านั้นเอง... หญิงสาวสวยในชุดสีเท่าอ่อนแต่ไม่จืดเพราะสวมปราด้าส้นสูงปรี๊ดสีแดงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าโรงแรมแกรนด์ อมร ปรินซ์เซส หล่อนเงยหน้ามองตึกสูงใหญ่ข้างๆ โรงแรมที่เป็นสำนักงานใหญ่ของอมรกรุ๊ป ดวงตาของหล่อนหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นบนสุดที่เป็นห้องทำงานและเป็นที่พักของเจ้าของกิจการอย่าง หม่อมราชวงศ์อรรถากร เลิศยศอมร แล้วเราจะได้เจอกัน ไม่คุณก็ฉัน... ต้องตายไปข้างหนึ่ง หญิงสาวคิดในใจอย่างหมายมาดก่อนที่จะก้าวเดินฉับๆ ไปในตัวอาคารที่มีทางเข้าเดียวกันกับโรงแรมห้าดาวสุดหรูด้วยความมั่นใจ... เป็นเรื่องน่าบังเอิญที่วันนี้ระรินทิพย์ก็มาที่นี่เช่นเดียวกัน... หลังจากที่ตกลงคบกับทายาทคนเล็กของอมรกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ หล่อนก็ใกล้ชิดกับเขามากขึ้นและมีบางครั้งที่ออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง แต่ก็ยังไม่ลืมคำเตือนของผู้เป็นย่า
ระรินทิพย์เคาะห้องผู้เป็นย่าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามา... หล่อนคุ้นเคยกับห้องนี้เป็นอย่างดีเพราะว่าเข้ามาบ่อย และบางครั้งก็นอนเสียที่นี่เลยเมื่อยามที่เข้าห้องมาแล้วคุยกับผู้เป็นย่าเพลินแล้วง่วงจนขี้เกียจเดินกลับห้อง... ตอนนี้นางเพียงใจนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง... นางเห็นหลานสาวคนโปรดก็ยิ้มแย้มรับ ก่อนจะเรียกหลานมานั่งข้างๆ บนเตียงด้วยกัน... “คุณย่าเรียกระรินมามีอะไรหรือคะ” หล่อนถามผู้เป็นย่าเกรงๆ เพราะว่ามีชนักติดหลังอยู่ “ย่าจะคุยเรื่องสองคุณชายบ้านเลิศยศอมร” นางมองหน้าหลานสาว วันนี้เห็นว่าหลานสาวอยู่กับหม่อมราชวงศ์เขตแดนเพียงลำพังแล้วเป็นอย่างไร แต่นางไม่ได้ว่าอะไรระรินทิพย์ “ย่ารู้เห็นว่าหนูกับคุณเล็กสนิทสนมกันดี แต่ย่าไม่ชอบคุณเล็ก” “ทำไมหรือคะ” ความตั้งใจที่จะบอกผู้เป็นย่าตรงๆ ว่าคุณเล็กขอหล่อนเป็นแฟนเป็นอันต้องพับลงเมื่อผู้เป็นย่าพูดดักคอมาเสียก่อน “คุณเล็กดูท่าทาง ไม่จริงใจ เจ้าชู้ ไม่หนักแน่นเหมือนคุณใหญ่ ย่าชอบคุณใหญ่มากกว่า” “แต่คุณใหญ่ไม่ได้สนิทกับระรินนี่คะ ไม่ได้คุยกันเลย...” “และระรินก็สนิทกับคุณเล็
ชายหนุ่มมองหล่อนตาพราวระยับ... ท่าทางของหล่อนถูกใจเขา... น่ารัก อ่อนหวาน... และไม่พุ่งโผนกระโจนเข้าหาเขาจนน่ารำคาญเหมือนคนอื่น เขาจึงอยู่กับหล่อนบ่อยได้ไม่เบื่อ และสนุกที่จะต่อล้อต่อเถียงกับหล่อนเพราะมันพลอยทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะโดยไม่ต้องฝืน แต่คนน่าแกล้งก็ช่างทำหน้าแดงใส่เขา และก็ขยันค้อนให้เขาจนเขาเอ็นดูหล่อนมากเหลือเกิน... มือหนารั้งมือหล่อนมาถือไว้จนได้... คราวนี้ระรินทิพย์อึกอักหันรีหันขวางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้... “ปล่อยนะคะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” “งั้นก็ย้ายไปหลังบ้านสิ จะได้ไม่มีคนเห็น” “ไม่เอาหรอกค่ะ... หลังบ้านมืดจะตาย” ระรินทิพย์บิดมือหนีมือเขาเบาๆ แต่ไม่หลุด.. หล่อนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อนิ้วของเขาที่กุมมือหล่อนอยู่นั้นไล้หลังมือเนียนบางของหล่อนเบาๆ อย่างหยอกเอิน เขาทำเล่นเพลินๆ เพราะชอบมือเล็กนุ่มนิ่มและอยากแกล้ง... ระรินทิพย์ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะกระแสร้อนจากมือเขา แล้วยังดวงตาที่แวววับที่จดจ้องมองมาจนไม่กล้ามองตอบนั่นอีก “ถ้าไม่กลัวว่ามีคนเห็นนะ จะจับหอมแก้มเลย เด็กไม่ดี ไล่แขกกลับบ้าน” “ระรินไม่ไล่ก็ได้







