ทางด้านหลี่เจียวที่อาศัยอยู่ตำหนักกุ้ยเฟย ทันทีที่ทราบข่าวเรื่อง จัดงานอภิเษกขององค์หญิงเก้า แม้จะรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง แน่นอนว่านางไม่รู้ความลับระหว่างเซ่าสวีเฮ่าและเซ่าหรง นางเพียงรู้สึกไม่ยินยอม เหตุใดทั้งสองคนถึงได้ลงเอยกันได้ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ทำไมช่วงนี้ถึงชอบทำหน้าบึ้ง” ระหว่างที่อยู่ในห้อง ฉินซินก็เอ่ยถามเจ้านายด้วยความเป็นห่วง
“ได้ข่าวองค์ชายแปดบ้างหรือไม่” หลี่เจียวไม่ตอบคำถาม ทว่ากลับถามข่าวคราวของเซ่าหมิงหยวนแทน นางอยากจะถามเขาสักหน่อย ว่าเหตุใดถึงลงเอยเช่นนี้ไปได้
“ไม่คิดว่าพระชายาจะคิดถึงข้าเพียงนี้” เซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องช้า ๆ “ออกไป” พร้อมทั้งสั่งนางกำนัลด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นางกำนัลในห้องออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉินซินซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทเพียงคนเดียว นางหันหน้าไปมองหลี่เจียว แต่เห็นคุณหนูของนางพยักหน้า จึงถอยหลังยืนขึ้นแล้วยอบกายเดินจากไป
“เหตุใดท่านชอบเข้ามาเงียบ ๆ” หลี่เจียวรู้สึกไม่พอใจเขาอยู่ นางจึงไม่ใช้ภาษาทางการกับเขา แต่นั่นทำให้เซ่าหมิงหยวนรู้สึกพอใจยิ่งนัก
“หากไม่เข้ามาเงียบ ๆ ก็คงไม่รู้ว่าพระชายาคิดถึงข้าอยู่” คนหน้าหนาตอบอย่างหน้าไม่อาย
“เหตุใดฮ่องเต้ถึงกำหนดวันอภิเษกให้องค์หญิงเก้าเร็วถึงเพียงนี้ล่ะเพคะ” หลี่เจียวรู้ว่าถึงทู่ซี้ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงเปลี่ยนเรื่องถามในสิ่งที่คาใจนางยังจะดีเสียกว่า
“จิตใจกษัตริย์ยากแท้หยั่งถึง อาจเพราะทรงเป็นห่วงหรงหรง เห็นว่าช่วงนี้นางขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ฮองเฮาอยากให้นางอภิเษกกับ รัชทายาทแดนใต้ ดีที่เสด็จพ่อมีราชโองการลงมา จึงไม่สามารถทำอะไรได้อีก” เซ่าหมิงหยวนรู้ว่าไม่สามารถเลี่ยงตอบคำถามนางได้ จึงยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง
“นั่นสิเพคะถึงเรียกว่าแปลก รู้ทั้งรู้ว่ามีราชโองการออกมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องได้อภิเษกแน่ แต่เหตุใดถึงได้ฉุกละหุกเพียงนี้ เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าพวกเขาต้องอภิเษกหลังพวกเราเสียอีก” หลี่เจียวขมวดคิ้วคิดตาม ไม่ได้สังเกตว่าใครอีกคนเดินมาประชิดตัวนางแล้ว
“พระชายาใจร้อนอยากอภิเษกให้กับข้าเพียงนี้เชียวหรือ” เสียงกระซิบดังแผ่วเบาข้างหู อีกฝ่ายสูดดมความหอมจนฉ่ำปอด แต่กระนั้นก็รู้สึกว่ายังไม่พอ อยากจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางให้หายคิดถึง แต่ก็ไม่อยากทำให้นางถูกนินทาว่าปล่อยตัวปล่อยใจจนต้องเสียเกียรติ
“อย่ารุ่มร่าม” หลี่เจียวเอี้ยวตัวหลบ รู้สึกขนลุกเกรียว
“หรือว่าข้าจะไปขอเสด็จพ่อ ให้จัดงานอภิเษกพร้อมกันเลย ข้ารู้สึกรอให้ถึงเดือนแปดไม่ไหวแล้ว” เซ่าหมิงหยวนคว้าเอวบางลงมานั่งที่ตัก จากนั้นก็โอบกอดนางเอาไว้ ใช้คางเกยที่ศีรษะพร้อมพูดจาออดอ้อน
“งานใหญ่ยังรอให้พระองค์จัดการ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน หม่อมฉันไม่รีบเพคะ” หลี่เจียวย่นคอลง เนื่องจากรู้สึกว่าคางสากจะเลื่อนมาที่ซอกคอของนางแล้ว
“อือ” กลิ่นหอมของสตรียั่วยวนเพียงนี้ มีหรือที่จะทนทานได้ไหว
หลี่เจียวปล่อยให้เขาแทะโลม ไม่ได้โต้แย้งอันใด แต่หากรู้สึกว่ามันมากเกินไป นางก็จะหยุดแล้วมองตาขวาง เขาก็จะหยุดการกระทำนั้นไปเอง
“เจียวเจียว เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด” เซ่าหมิงหยวนกัดฟันพูด อยู่ต่อหน้านางสองต่อสอง เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ดิบเถื่อนได้จริง ๆ
นางไม่รู้จะตอบเช่นไรดี ผู้ใดใช้ให้เขาหื่นกามเช่นนี้เล่า
“อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นชินบ้างแล้วหรือไม่” เมื่อแทะโลมจนพอใจแล้ว ก็ชวนนางพูดคุยให้หายคิดถึง แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ในวัง ทว่ากลับต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในตำหนัก ไม่สามารถปรากฏตัวให้ผู้คนพบเห็นได้
อยากจะตบตาชินอ๋อง ให้เข้าใจว่าตนเองอยู่ในค่ายทหาร เตรียมความพร้อมรอรับมือ ให้เขาออกไปจัดเตรียมนำทัพอย่างวางใจ จะได้ไม่ระแวดระวังว่าตนจะมาจัดการเรื่องในเมืองหลวง
สำหรับเรื่องกองทัพ เซ่าหมิงหยวนไม่ห่วง เนื่องจากมีท่านตาคอยคุ้มกันเป็นทัพหน้ารับมือ แล้วให้เขามาจัดการเรื่องราวในวังหลวง ในเมื่อรู้ความเคลื่อนไหวล่วงหน้า เหตุใดจะไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เล่า เกรงว่าชินอ๋องจะไม่มีโอกาสแม้แต่ยึดหางโจวเป็นที่ตั้ง กองทัพของท่านตาก็คงโจมตีจนแตกพ่ายไปเสียก่อน
จัดการเรื่องงานอภิเษกของเซ่าสวีเฮ่ากับเซ่าหรงเสร็จ เขาก็จะเป็นคนห้อม้าไปแจ้งข่าวเรื่องบุตรทั้งสองของชินอ๋องร่วมหอกันด้วยตนเอง ถึงเวลานั้นจะรอดูชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กระอักเลือดด้วยความเจ็บปวด ที่สุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เขาเฝ้าเพียรพยายามทำเพื่อครอบครัวนั้นได้สูญเปล่า
หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ผู้ใหญ่สองคนหลงมัวเมาในกาม ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาเชื่อว่าหากชินอ๋องทูลขอกับเสด็จพ่อไปตามตรง เรื่องซุยฮองเฮา เรื่องคงไม่ออกมาบิดเบี้ยวเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ลักลอบมีสัมพันธ์กันครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งพลาดมีบุตรด้วยกันถึงสองคน
ถ้าจะพูดให้ถูกมันคือความตั้งใจ เสด็จอาดูแคลนว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้ไร้ความสามารถ ลุ่มหลงในสตรี แต่ความจริงแล้ว กษัตริย์ไม่สามารถมอบความรักแด่ผู้ใดผู้หนึ่งอย่างโจ่งแจ้งได้ เขาทราบถึงความกล้ำกลืนข้อนี้ดี
“สบายมากเพคะ เสด็จแม่เอาใจใส่หม่อมฉันเป็นอย่างดี” ดีกว่าคนในครอบครัวเสียอีก แต่ประโยคนี้นางจะพูดให้เขาฟังได้เช่นไร หากถูกตีความว่านางพูดเพื่อเอาใจให้เขาโปรดปราน แล้วนางจะทำเช่นไร
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว รอให้งานมงคลของหรงหรงจบลง ข้าต้องไปทำภารกิจสำคัญ เจ้ารอข้ากลับมานะ” แม้ว่าจะวางแผนรัดกุมเพียงใด ทว่าเขาก็ไม่รู้สึกวางใจ เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาก็ย่อมวางคนเอาไว้ตามตำหนักต่าง ๆ
“พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันจะดูแลตัวเองอย่างดี รอท่านกลับมา”
เซ่าหมิงหยวนไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้อีก เมื่อเห็นริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็โน้มหน้าเข้ามาครอบครอง ดูดดึงความหวานจากโพรงปาก ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดไปมา คล้ายกำลังหยอกเย้ากันอยู่ เสียงหัวใจของทั้งสองคนเต้นรัวเร็วแข่งกัน
หลี่เจียวรู้สึกตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าเขาจะบุ่มบ่ามทำเรื่องเช่นนี้ อย่างมากก็แค่หอม ทว่าลิ้นสากเข้ามาดูดดึงความหวานจากโพรงปากของนางครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้รู้สึกชา ไม่รับรู้อะไรอีก นางปล่อยให้คนหื่นกามทำตามอำเภอใจ
เขากินจนพอแล้วก็หยุดลง แต่เสียงหายใจหอบถี่ยังคงดังอยู่ เซ่าหมิงหยวนอยากจะจับนางกดลงที่เตียง เพื่อระบายความอัดอั้น ซึ่งตอนนี้มันพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ นางช่างหวานล้ำจนห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่ แต่จำเป็นต้องหยุดลง เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก ดูเหมือนว่ามารดาจะให้เวลาเขาแทะโลมเพียงเท่านี้
เซ่าหมิงหยวนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ประสาทสัมผัสจึงค่อนข้างดี อีกกระทั่งแยกจังหวะการเดินของคนที่สนิทออกว่าเป็นผู้ใด
หลี่เจียวมุดหน้าอยู่ในอก นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงที่เป็นสตรีใจง่าย ยอมให้บุรุษฉวยโอกาส หากผู้ใดล่วงรู้เข้านางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว
“เจียวเจียวลุกขึ้นเถิด เสด็จแม่กำลังมาทางนี้” เสียงกระซิบข้างหู ทำเอาหลี่เจียวฟาดกำปั้นไปที่อกแกร่ง จากนั้นก็ได้สติลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทาง
“เพราะท่านคนเดียว ต่อไปนี้ห้ามเข้ามาในห้องข้าโดยพลการอีก” หลี่เจียวรีบสาวเท้าออกไป ไม่ยอมให้เสวียนกุ้ยเฟยมาเห็นฉากน่าอายนี้เป็นอันขาด ทิ้งให้คนหน้าไม่อายจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เพราะหากเดินออกไปตอนนี้ เสด็จแม่ต้องรู้แน่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน