Masukณ ลานฝึกในจวนตระกูลอวิ๋น
เช้าวันนี้ หลินเข่อซิงมายืนอยู่กลางลานฝึกซ้อมของจวนอวิ๋น พร้อมกับความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ พร้อมอ้าปากหาวหวอด ๆ อย่างไม่เกรงสายตาใคร เธอหันไปมอง อวิ๋นเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้างม้า ดวงตาคมของเขามองมาที่เธออย่างเรียบนิ่ง "มาสายนะ" แหม ก็เพราะไอ้คำพิลึกกึกกือที่นัดกันนั่นแหละ เธอจะรู้ไหมว่ามันคือตอนไหนกี่โมง ถ้าไม่ได้หลิงเฉินบอกล่ะก็ ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะกำลังหลับอุตุอยู่บนเตียงนุ่มก็เป็นได้ ความคิดก็ส่วนคิด แต่สิ่งที่ออกจากปากของเธอกลับเป็น… "ข้าขอโทษเจ้าค่ะ!" เธอรีบคำนับเขาแล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม "ขึ้นม้า" เธอกลืนน้ำลาย โอ๊ย! ฉันไม่เคยขี่ม้าจริง ๆ มาก่อนนะ! ถ้าตกลงไป นายจะช่วยฉันใช่ไหม!? "เร็วเข้า" อวิ๋นเฟยหลงกล่าวเสียงเรียบ หลินเข่อซิงสะดุ้ง ก่อนจะพยายามปีนขึ้นม้า โอ๊ย! ทำไมมันยากแบบนี้!? แต่ก่อนที่เธอจะเสียหลักล้มลงไปก้นจ้ำเบ้านั้นเอง หมับ! มือแกร่งของอวิ๋นเฟยหลงจับแขนของเธอไว้แน่น ก่อนจะออกแรงดึงเธอขึ้นไปบนหลังม้า พรึ่บ! "...!!!" เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่อยู่ใกล้มากเกินไป! ดวงตากลมกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะพบว่า เธอกำลังนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับเขาเหมือนเมื่อคราวก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่อวิ๋นเฟยหลงนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเธอ "...!!!" เธออ้าปากพะงาบ ๆ "เอ่อ...คุณชายเหตุใดต้องให้ข้านั่งม้าตัวเดียวกับท่านด้วย แยกกันนั่งคนละตัวจะดีกว่าไหม?" "เจ้าขี่ม้าเป็นแล้ว?" หางเสียงของเขาขึ้นสูงนิด ๆ แม้ไม่เห็นหน้าแต่หลินเข่อซิงก็นึกใบหน้าตอนนี้ของชายหนุ่มออก "แล้วท่านไม่สอนข้าก่อนหรือเจ้าคะ!?" "ข้าก็กำลังสอนอยู่นี่อย่างไร" "จับให้แน่นนะ" เสียงทุ้มของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้เป็นที่สุด หลินเข่อซิงใช้สองมือเล็กรีบจับสายบังเหียนไว้แน่น ในขณะที่อวิ๋นเฟยหลงมองคนตัวเล็กที่นั่งข้างหน้าเขาด้วยแววตาที่อ่อนลง เขายื่นมือขวาออกไปกดศีรษะหญิงสาวให้ลดต่ำ แต่มีหรือคนตัวเล็กจะยอม หลินเข่อซิงกันขวับมามองเขาก่อนส่งสายตากราดเกรี้ยวมาให้ แต่มีหรือที่แม่ทัพหนุ่มอย่างอวิ๋นเฟยหลงจะเกรงกลัว สองมือแข็งแรงยื่นออกมาจับสายบังเหียนด้วยเช่นกัน หากใครมาเห็นเข้าคงได้พากันหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกแน่ ๆ เพราะท่าทางตอนนี้ราวกับชายสูงศักดิ์โอบกอดหญิงงามด้วยความรักใคร่ พากันควบขี่ม้าตัวเดียวกันด้วยความสุขเหลือแสน ตึก! ตึก! ตึก! ม้าเริ่มเคลื่อนที่ออกไปอย่างช้า ๆ "เจ้าเคยขี่ม้าหรือไม่?" อวิ๋นเฟยหลงถาม "เอ่อ... ไม่เคยเจ้าค่ะ" "เข้าใจแล้ว" ‘เดี๋ยวนะ! นายเข้าใจแล้วแต่ทำไมนายยังควบม้าต่อไปเรื่อย ๆ เล่า! ฉันยังตั้งตัวไม่ทันเลยนะ!’ เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของเขาที่ขยับตามจังหวะของม้า ‘โอ๊ย! ทำไมฉันต้องสังเกตอะไรแบบนี้ด้วย!? หยุดคิดเดี๋ยวนี้นะหลินเข่อซิง!’ "ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกม้าแน่"ริมฝีปากของเขาแตะชิดริมใบหูเล็กของหลินเข่อซิงโดยไม่ตั้งใจ ‘อวิ๋นเฟยหลงพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ยังไง!? นายไม่รู้เหรอว่าคำพูดแบบนี้มันทำให้ใจฉันเต้นแรงมากเลยนะ!?’ แค่ริมฝีปากเขาแตะโดนเพียงแผ่วเบา หลินเข่อซิงก็สะท้านไปทั้งกาย ขนลุกไปทั้งตัว ‘ใจเย็น ๆ นะ ใจเย็นไว้ ฮึบ!’ ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังพยายามควบคุมสติของตัวเอง เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อหันไปมองก็เห็นสาวใช้ตัวน้อยคนสนิทของหลินเข่อซิง อย่างหลิงเฉินกำลังลอบมองมาที่เธอกับชายหนุ่มเป็นระยะ ๆ แม้จะอยู่ในระยะไกลขนาดนี้ แต่เธอก็นึกภาพออกว่าแววตาของหลิงเฉินเป็นอย่างไร คงจะล้อเลียนเธอเป็นแน่ "ดูเหมือนคุณหนูของเราจะมีความก้าวหน้าทางความสัมพันธ์เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้นะ” หลิงเฉินพูดคุยกับบ่าวในจวนที่กำลังตัดแต่งและรดน้ำให้เหล่าไม้ดอกอยู่ไม่ไกล “ข้านึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นคุณชายมีเรื่องมงคลกับเขาเสียแล้ว ได้เห็นเช่นนี้ก็อุ่นใจไปโข” บ่าวหญิงที่ดูจะอาวุโสกว่าใครในที่นั้นเอ่ยขึ้น “ข้าก็เช่นกัน แม้แต่คุณหนูหยางที่เข้าออกจวนนี้บ่อย ๆ เสียรองเท้าแทบสึก ยังไม่ได้รับความใส่ใจจากคุณชายเช่นนี้เลย” บ่าวหญิงที่อ่อนวัยกว่าเอ่ยสนับสนุนขึ้น “เห็นที ตำแหน่งนายหญิงของจวนนี้คงไม่ว่างเสียแล้ว” หลิงเฉินเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พลางมองไปยังเจ้านายทั้งสองที่ควบขี่ม้าด้วยกันอย่างสนุกสนาน ความชิดใกล้กันเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้หลินเข่อซิงเกิดอาการหวั่นไหว แม้แต่อวิ๋นเฟยหลงเองก็รู้สึกเช่นกัน ยามที่ม้าลดความเร็วลงกลายเป็นเหยาะย่างช้า ๆ ลมพัดโชยมาพาเอาเรือนผมนุ่มสลวยที่ถูกมัดไว้เป็นหางม้าสูงลอยมาสัมผัสกับใบหน้าชายหนุ่ม ทำเอาเขาเผลอสูดลมหายใจเข้าไปเนิ่นนานกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว ‘ผมนาง... มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ' และที่สำคัญกว่านั้นทำไมข้าถึงไม่ได้รำคาญการอยู่ใกล้นางเลย...? อวิ๋นเฟยหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ……. หลังจากการฝึกขี่ม้า หลินเข่อซิงกลับมานั่งพักที่ศาลาในสวน ด้วยสภาพที่แทบจะหมดแรง ‘โอ๊ย! ฉันแค่ฝึกขี่ม้า ทำไมมันเหนื่อยเหมือนออกรบเลยล่ะ!?’ หลิงเฉินยื่นน้ำชาให้เธอพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "คุณหนู ข้าคิดว่าท่านน่าจะเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ถ้าได้ฝึกกับคุณชายทุกวันนะเจ้าคะ" "...!!!" หลินเข่อซิงสำลักชาแทบพ่นออกมา ‘โอ๊ย! นี่หลิงเฉินคิดว่าฉันอยากใกล้ชิดอีตาก้อนหินนี่ทุกวันรึไง!?’ เธอรีบโบกมือปฏิเสธ "ข้าไม่ไหวแล้ว! พอแค่นี้เถอะ!" ขณะที่หลินเข่อซิงนั่งพักอยู่ในสวน อวิ๋นเฟยหลงกลับเดินกลับไปที่เรือนของตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขานั่งลงพลางเทน้ำชาลงในถ้วย แต่กลับไม่ได้ยกขึ้นดื่ม ‘ทำไมข้าถึงนึกถึงนางอยู่ได้...?’ แต่พอเขาหลับตา...ภาพของหลินเข่อซิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ริมฝีปากของนางที่เม้มแน่นด้วยความประหม่า เสียงหัวเราะคิกคักของนางตอนที่ม้าควบเร็วขึ้น... "..." อวิ๋นเฟยหลงขมวดคิ้ว ‘บัดซบ เหตุใดข้าถึงนึกถึงเรื่องพวกนี้!?’เขาส่ายหน้าไปมา ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ...แต่ทันทีที่ชาสัมผัสลิ้นเขาก็สำลักแทบพ่นออกมา! "...!?" น้ำชาร้อนจัดลวกลิ้นเขาแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่!?“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา







