ไม่ช้า คนที่ตรวจสอบเสร็จก็ประกาศออกมา “ไม่มีสิ่งใดหายไป ของทุกชิ้นอยู่ครบเจ้าค่ะ”
เสียงซุบซิบเงียบลงทันที สายตาของคนในจวนเริ่มหันไปทางหยางเฟยฮุ่ยแทน ใบหน้าของนางเริ่มซีดลงเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะพูดความจริงมาตลอด ข้าไม่เคยคิดจะขโมยอะไร ข้าแค่ถูกพามาที่นี่เพื่อชมของล้ำค่าเท่านั้น... แต่ถ้าใครคิดจะใส่ร้ายข้า ก็คงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้” แม้ว่าคนในจวนจะตรวจสอบของในห้องแล้วและไม่พบว่ามีอะไรหายไป แต่หยางเฟยฮุ่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ นางกัดฟันแน่นและยิ้มเย็นออกมา “ก็แน่อยู่แล้ว... ของยังอยู่ครบ เพราะเจ้าโดนจับได้ก่อนน่ะสิ! หากไม่มีใครมาพบ เจ้าคงฉวยโอกาสขโมยไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหายไปบ้าง” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวจบพลางยิ้มเย้ย ดูซิว่านางจะแก้ตัวยังไง ถึงจะผิดคาดที่ตอนแรกนางกล้าเถียงก็เถอะ คำพูดของหยางเฟยฮุ่ยทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนมองไปทางหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่สงสัย สถานการณ์เริ่มกลับมากดดันอีกครั้ง หลินเข่อซิงรู้สึกถึงความกดดันจากสายตาของผู้คนรอบตัวที่จับจ้องมาที่เธอ แต่เธอพยายามไม่แสดงความวิตกกังวลออกมา แม้หยางเฟยฮุ่ยจะพยายามสร้างข้อกล่าวหาเพิ่ม เธอรู้ดีว่ายังมีวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ เธอสูดหายใจลึกๆ และตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “คุณหนูหยางพูดเช่นนี้แปลว่าท่านไม่มีหลักฐานอื่นนอกจากข้อสันนิษฐานของท่านเองใช่ไหม? ข้าถูกพามาที่นี่ ไม่ได้พยายามขโมยอะไรเลย และถ้าท่านไม่มีหลักฐานว่าข้ามีเจตนาร้าย ท่านจะกล่าวหาข้าได้อย่างไร?” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันเล็กน้อย นางพยายามหาทางทำให้หลินเข่อซิงต้องจนมุม แต่หลินเข่อซิงยังคงรักษาท่าทีสงบเหมือนเดิม นางจึงตอบกลับอย่างเย้ยหยัน “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีเจตนาขโมยก็ได้ แต่ทุกคนในงานนี้รู้ว่าเจ้าถูกจับได้ในห้องนี้ เจ้าเข้าไปทำอะไรในนั้นกันแน่?” หลินเข่อซิงหันมองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าคนในงานเริ่มหันกลับมาจับตามองเธออีกครั้ง สถานการณ์กำลังกลับมาเป็นทางลบอีกครั้ง เธอต้องคิดหาทางออกที่แนบเนียนและใช้สติปัญญาเพื่อพลิกสถานการณ์นี้ให้ได้ ทันใดนั้นเอง แววตาของหลินเข่อซิงเป็นประกายขึ้นเมื่อคิดแผนบางอย่างได้ เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูผ่อนคลาย “คุณหนูหยาง ข้าต้องขอขอบคุณที่เจ้าช่างเป็นห่วงความปลอดภัยของสมบัติล้ำค่าเหล่านี้นัก แต่ในเมื่อตอนนี้ของยังอยู่ครบไม่มีอะไรหายไป ข้าคิดว่าควรให้ทุกคนได้รู้ว่าคนที่ถูกใส่ความควรได้รับโอกาสอธิบายตัวเอง” เธอหันไปหาคุณหนูใหญ่จวนป๋อด้วยสีหน้ามั่นใจ “คุณหนูใหญ่ ข้าขอเรียนถามท่านว่า หากข้ามีเจตนาร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา ทำไมข้าถึงยังอยู่ในห้องนี้นานจนถูกพบ? หากข้ารู้ดีว่านี่เป็นห้องลับ และหากข้าคิดจะขโมยจริง ข้าย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะออกไปก่อนถูกจับได้ ท่านว่าไหม? อีกอย่างข้าคงหาอะไรมาอำพรางใบหน้า หรือเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แต่ว่า ข้ากลับเปิดเผย และตอนพวกท่านเปิดประตูเข้ามา ไม่สังเกตหรือว่าประตูล็อคจากภายนอก” คุณหนูใหญ่จวนป๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น นางพยักหน้าเบาๆ “นั่นก็จริง หากเจ้ามีเจตนาร้าย เจ้าคงไม่มีท่าทีเช่นนี้ จริงสิ! เรื่องประตูเฟยฮุ่ยเป็นคนเปิด ข้าเลยไม่ได้สังเกต” หลินเข่อซิงหันไปหาคนในงานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “และถ้าข้าคิดจะขโมยของจริง ข้าจะเลือกขโมยจากสถานที่ที่มีคนเฝ้ามองอยู่ตลอดเช่นนี้ไปเพื่ออะไร? ข้ามีสติพอที่จะไม่ทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้น” คำพูดของหลินเข่อซิงเริ่มทำให้คนในงานเลี้ยงลังเล พวกเขาเริ่มเห็นถึงความสมเหตุสมผลในคำอธิบายของเธอ ขณะเดียวกัน หยางเฟยฮุ่ยเองก็เริ่มรู้สึกว่าคำกล่าวหาของเธอไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย แต่หลินเข่อซิงยังไม่หยุด เธอยิ้มอย่างมั่นใจและพูดต่อ “และเพื่อให้ทุกอย่างกระจ่าง ข้าขอเสนอให้ตรวจค้นตัวข้าและห้องนี้อีกครั้งหนึ่ง หากพบสิ่งใดที่บ่งชี้ว่าข้ามีเจตนาขโมยของ ข้ายินดีที่จะรับโทษ แต่หากไม่มี หยางเฟยฮุ่ยก็ควรจะรับผิดชอบต่อคำกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน!” คนในงานเริ่มกระซิบกันเสียงดังขึ้น คุณหนูใหญ่จวนป๋อหันไปมองหยางเฟยฮุ่ยด้วยแววตาสงสัย “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ หยางเฟยฮุ่ย? ถ้าเราตรวจค้นอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วไม่พบหลักฐานใด เจ้าจะยอมรับความผิดพลาดของเจ้าเองหรือไม่?” หยางเฟยฮุ่ยเริ่มหน้าซีด เธอไม่คิดว่าหลินเข่อซิงจะตอบโต้กลับมาได้อย่างเฉียบขาดเช่นนี้ หากยอมให้ตรวจค้นอีกครั้ง เธอจะไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะกล่าวหาหลินเข่อซิงอีกต่อไป นางรู้ว่าถ้าปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้ นางจะต้องเสียหน้าอย่างหนัก หยางเฟยฮุ่ยพยายามเก็บอาการก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น “ไม่จำเป็นหรอก... ข้าคิดว่าเราควรปล่อยเรื่องนี้ไป ข้าไม่ต้องการยืดเยื้อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีกแล้ว” หลินเข่อซิงยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นหยางเฟยฮุ่ยพยายามหลบเลี่ยง แต่เธอก็ยังคงตอบกลับอย่างสุภาพ “เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายไปมากกว่านี้ ข้าเพียงแต่หวังว่า...ในอนาคต ทุกคนจะระวังคำกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานให้มากขึ้น” คำพูดของหลินเข่อซิงทำให้ทุกคนในงานพยักหน้าเห็นด้วย หยางเฟยฮุ่ยได้แต่ยืนนิ่ง ไม่สามารถตอบโต้กลับได้อีก นางกัดฟันแน่นก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องด้วยความโกรธเคือง ส่วนหลินเข่อซิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาที่เริ่มชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและความมั่นใจของเธอ“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา