LOGINหลานเยว่มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ชะตาชีวิตคลี่คลายไปตามลมฟ้า หรือยอมก้มหน้ารับมือโชคชะตาอย่างว่างเปล่านางเป็นผู้วางหมาก ไม่ใช่หมากในกระดาน หลังจากเฝ้ามองพฤติกรรมของจักรพรรดิหรงจวิ้นอยู่เนิ่นนาน นางก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้พระองค์มิใช่ผู้โง่งม ทว่ายังขาดความเด็ดขาด ด้วยพระทัยที่อ่อนยวบจนมิอาจมองความผิดของคนใกล้ตัว
โดยเฉพาะ ฟู่เหวินโหลว ปราชญ์หลวงผู้สูงศักดิ์ผู้ซึ่งพระองค์นับถือดั่งพี่ชายและอาจารย์ผู้มีพระคุณนั่นทำให้การตักเตือนใด ๆ มิใช่เพียงเสียงสะท้อนของเหตุผล แต่มันเปรียบเสมือนการยื่นหอกแทงทะลุศรัทธาและนั่น... คือสิ่งที่หลานเยว่จะไม่เลือกทำหากราชบัลลังก์ยังคงหลับใหลนางก็จะปล่อยให้เสือในเงามืด เป็นฝ่ายกระตุกหางมังกรเสียเอง
ในคืนเดือนดับ จดหมายลับหลายฉบับถูกส่งออกจากจวนหลานเยว่ปลายทางคือขุนนางผู้ทรงอำนาจผู้เคยมีบาดแผลลึกฝังใจต่อฟู่เหวินโหลวที่จวนหลังหนึ่ง ภายในห้องโถงอันเงียบงัน ขุนนางชรานั่งนิ่งกลางแสงตะเกียงในมือมีเพียงจดหมายหนึ่งฉบับไร้นามผู้ส่ง แววตาเคร่งเครียดกำลังไล่เรียงถ้อยความอย่างรอบคอบ
“จะเป็นเรื่องจริง... ได้งั้นหรือ...” เขาพึมพำ สีหน้าเปลี่ยนแปรเป็นครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“ฟู่เหวินโหลว... คิดลอบปลงพระชนม์? ในคราวออกล่าสัตว์อีกสามวันข้างหน้า?” ข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่เงียบ ๆ ด้านข้าง รีบก้มหน้ารอคำสั่งจนในที่สุด คำถามก็มาอย่างไม่ผิดคาด
“เจ้าได้มันมาจากที่ใด?”
“เวรยามพบวางไว้หน้าจวนขอรับ ซองผนึกแน่น ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวให้เห็น”
ขุนนางชรานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจดหมายลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ดวงตาฉายแววครุ่นคิดระคนเยียบเย็นเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นจากห้องด้านใน น้ำเสียงนั้นเย็นชาแน่นหนัก“หากข่าวลือเรื่องเส้นลมปราณของฟู่เหวินโหลวถูกทำลายเป็นจริง เจ้าคิดหรือว่าเขาจะนั่งรอความตายเฉย ๆ?”
ข้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล
“นายท่าน เช่นนั้น... พวกเราควรกราบทูลเบื้องบนหรือไม่? หากสิ่งที่กล่าวมาเป็นจริง องค์ฮ่องเต้อาจตกอยู่ในอันตราย!”
คำถามนั้นกลับเรียกรอยยิ้มเหยียดเย็นขึ้นบนใบหน้าของชายชรารอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูแคลน มากกว่าความห่วงใย
“หรงจวิ้นในตอนนี้... ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด ที่ยังหลงคิดว่าตนมองเห็น”เขาพลิกจดหมายเล่นในมือราวกับมันเป็นเพียงเศษกระดาษ
“ต่อให้ทั้งราชสำนักพร้อมใจกันกราบทูล พระองค์ก็ยังจะเลือกหลับตาเสียเองอยู่ดี” ในน้ำเสียงนั้น ไม่มีแม้แต่วี่แววของความภักดีมีเพียงไฟแค้นเรื้อรังที่พร้อมเผาผลาญศัตรูเก่าให้มอดไหม้
“ต่อให้เนื้อหาในจดหมายนี้ไม่จริง... แต่เพียงความเป็นไปได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะต้องรับมือ” เขาหันไปทางข้ารับใช้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งราวคำพิพากษา
“จัดคนของเราให้พร้อมในวันล่าสัตว์เราจะติดตามฝ่าบาทเงียบ ๆ หากสิ่งใดเกิดขึ้น เราจะได้เห็นแผนการของเจ้าเฒ่านั่นอย่างชัดเจน”
แม้ในใจของเหล่าขุนนางที่ได้รับจดหมายเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยคำถามแต่สิ่งที่จารึกอยู่ภายในกลับเร่งเร้าเพลิงในใจให้ลุกโชนข่าวลือเรื่องแผนลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิ อาจยังคลุมเครือแต่สำหรับผู้ที่รอจังหวะมาเนิ่นนาน... มันคือ โอกาส
หากเนื้อหาในจดหมายนั้นคือความจริงพวกเขาก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องราชบัลลังก์หากไม่เป็นความจริงฟู่เหวินโหลวจะถูกลากลงจากแท่นสูงอย่างไม่มีวันหวนคืนในโลกของราชสำนัก ไม่มีสิ่งใดล้ำค่ากว่า จังหวะและเมื่อถึงเวลาที่ต้องหลับตาเชื่อสักครั้งหนึ่งพวกเขาก็พร้อมจะวางเดิมพัน โดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
แสงตะวันแรกของเช้าวันล่าสัตว์สาดส่องผ่านม่านหมอกบาง บนเนินเขาอันเงียบงัน ขบวนเสด็จขององค์ฮ่องเต้หรงจวิ้นเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงลมหายใจของม้าและเสียงกีบเหล็กกระทบผืนดิน พระองค์ทรงฉลองพระองค์เรียบง่ายแบบนักล่า ทว่ากลิ่นอายแห่งอำนาจยังคงเปล่งประกายไม่จาง
เคียงข้างพระองค์ คือฟู่เหวินโหลว ปราชญ์หลวงผู้อาวุโส ผู้เคยได้รับการยกย่องประหนึ่งแสงประทีปของราชสำนัก แม้กาลเวลาและบาดแผลจะสลักร่องรอยไว้ทั่วร่าง แต่ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขายังคงสงบนิ่ง ไม่ต่างจากคนผู้มากประสบการณ์ที่ซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ภายใต้รอยยิ้ม
“กระหม่อมไม่คิดเลยว่าเราจะได้ออกล่าสัตว์ด้วยกันอีกครั้ง ฝ่าบาท... วันเวลาเดินไกลเสียเหลือเกิน” ชายชราเอ่ยเสียงนุ่ม เคียงข้างม้าในตำแหน่งไม่ใกล้ไม่ไกล
หรงจวิ้นทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน “อาจารย์ยังคงแข็งแรงดั่งเดิม แม้กาลเวลาจะผ่านไป ข้ายังจำได้... ตอนที่ท่านเคยผลักข้าให้ถือธนูเป็นครั้งแรกมือข้าสั่นราวกับลูกนก”
“ตอนนั้นฝ่าบาททรงเล็งเป้าอยู่ครึ่งชั่วยาม ก็ยังยิงไม่โดนกระต่ายแม้ตัวเดียว” ฟู่เหวินโหลวแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ ฝ่าบาททรงกำลังปกครองแผ่นดินด้วยพระหัตถ์อันมั่นคง... เช่นนี้แล้ว ข้าจะไม่ภาคภูมิใจได้อย่างไรเล่า”
เสียงหัวเราะเจือด้วยความอบอุ่น ทว่าในดวงตาของชายชรา กลับปรากฏประกายที่แตกต่าง ราวกับสุนัขเฒ่าที่กำลังรอจังหวะขย้ำเจ้าของโดยที่ทั้งสองไม่ล่วงรู้เลย... ว่ามีสายตาหลายคู่ กำลังจับจ้องอยู่ในเงาไม้
ในผืนป่าลึกด้านหลัง แสงสะท้อนจากเกราะเบาบางของเหล่าทหารลับวูบวาบอยู่ใต้เงาใบไม้ กลุ่มขุนนางและมือปราบที่ได้รับ จดหมายลับ จากแหล่งที่ไม่เปิดเผย บัดนี้รวมพลเงียบงัน ท่ามกลางยอดไม้และกอหญ้าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อร่วมล่า... แต่เพื่อรอดูจังหวะ ว่าข้อความในจดหมายนั้นจะกลายเป็นความจริงหรือไม่
บรรยากาศอันอบอุ่นในยามเช้า เหมือนหมอกบางที่โอบล้อมความหลังไว้แค่ชั่วขณะ… ทว่าความสงบสุขนั้น กลับพังทลายลงในชั่วพริบตาเสียงกรีดร้องแหลมคมดังขึ้นจากแนวหลัง
“อ๊ากกกก!!”
เสียงหนึ่ง... ตามด้วยอีกเสียง...
“อ๊ากกกกก!!!”
ทหารคุ้มกันล้มลงทีละคน ทีละคน เลือดสาดกระเซ็นบนพื้นหญ้า เข็มพิษ พลังลมปราณแผดเผา และเงาทมิฬในพริบตา พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะยกดาบขึ้นตั้งรับ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” องค์ฮ่องเต้หรงจวิ้นตวาดถาม ดวงเนตรเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง พระวรกายทรงแข็งค้างราวถูกตรึงด้วยหายนะที่กำลังคลืบคลานและทันใดนั้น... ชายชราผู้ทรงเกียรติในสายพระเนตรตลอดชีวิตก็หันกลับมามองพระองค์ดวงตาคู่นั้น... มิใช่ดวงตาของผู้จงรักภักดีอีกต่อไป
ริมฝีปากแห้งเหี่ยวยกยิ้มช้า ๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อาบยาพิษของความแค้น
“ฝ่าบาท...” เสียงของฟู่เหวินโหลวฟังดูชัดเจนอย่างน่าขนลุก ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของเหล่าทหารที่ล้มตาย
“ข้าเชื่อว่า บุปผาเมฆคืนชีพ... ซ่อนอยู่ในร่างของพระองค์ ส่งมันมา... และทิ้งชีวิตของพระองค์ไว้ในป่าแห่งนี้เถิด”
คำพูดนั้นเฉียบคมยิ่งกว่าปลายดาบ น้ำเสียงของชายชราสั่นสะเทือนทุกสิ่ง
องค์ฮ่องเต้แทบไม่อยากเชื่อสายพระเนตร... คนผู้นี้ ผู้ที่พระองค์เรียกว่า อาจารย์ ผู้ที่เคยพิงไหล่แลกเปลี่ยนเรื่องราวในวัยเยาว์ บัดนี้กลับยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ในฐานะเพชฌฆาตพระหัตถ์ที่เคยโอบอุ้ม... กลับเหวี่ยงหอกแห่งการหักหลังใส่พระองค์โดยไม่ลังเล
“ท่าน... ทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร…”
พระสุรเสียงของหรงจวิ้นแผ่วลง ดวงเนตรแปรเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความเจ็บปวดลึกซึ้ง และในห้วงเวลาอันเยียบเย็นนั้น… พระองค์เพิ่งเข้าใจว่า คำว่า คนใกล้ตัวนั้นอันตรายที่สุด
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







