หลินเสี่ยวเหยา เดินออกจากห้องมา เธอเห็นหลินเสี่ยวหมิงกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บนพื้นมีตะกร้าสานใบโปรดวางอยู่พร้อมกับขวานตัดฟืนและมีดพร้า หลินเสี่ยวเหยาเดินไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่าๆ มัดผมเรียบง่าย คว้าตะกร้าสานที่บรรจุเครื่องมือและของทานเล่นนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องชาย
พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ป่าไผ่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสองคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อก่อนหลินเสี่ยวหมิงมักจะเข้ามาหาของป่าให้พี่สาวอยู่เป็นประจำ
เมื่อมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ หลินเสี่ยวเหยาก็หยุดลง เธอวางตะกร้าสานลงบนพื้น หยิบขวานอันคมออกมาจากตะกร้า ผู้เป็นพี่สาวเริ่มสอนน้องชายถึงวิธีการตัดต้นไผ่
"เสี่ยวหมิง น้องจับขวานให้มั่นนะ ตีตรงโคนต้นไผ่ ระวังอย่าให้โดนเท้าตัวเอง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาสวมหมวกฟางเก่า ๆ กำขวานแน่นในมือเล็ก ๆ พยายามเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นพี่สาว
"ผลัวะ!" เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า หลินเสี่ยวหมิงฟาดฟันต้นไผ่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าแรงของเขาจะยังไม่มากนัก แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่
"เก่งมากน้องเล็ก!" หลินเสี่ยวเหยาส่งเสียงเชียร์เมื่อต้นไผ่ต้นแรกเริ่มเอียงลง ไม่นานนัก ต้นไผ่ก็ล้มลงกับพื้น หลินเสี่ยวหมิงยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ
หลินเสี่ยวเหยาสลับกันตัดต้นไผ่กับน้องชาย เหงื่อไหลอาบใบหน้า เสียงขวานดังก้องไปทั่วป่า กองต้นไผ่ที่ถูกตัดเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากตัดต้นไผ่ได้พอสมควร หลินเสี่ยวเหยาก็หันเหความสนใจของผู้เป็นน้องชาย ที่จ้องมองพี่สาวตัดไม้ไผ่ด้วยความสนใจ
"เสี่ยวหมิง มาสิ มาพี่จะสอนให้เก็บเห็ดในป่า" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยเรียกน้องชายด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของหลินเสี่ยวหมิงเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เขารีบวิ่งเข้าหาพี่สาวทันที
"เห็ดอะไรเหรอครับพี่สาว?" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เห็ดชนิดนี้เรียกว่าเห็ดระโงก มีสีน้ำตาลอ่อน ขึ้นอยู่ตามโคนต้นไม้ ระวังอย่าเก็บเห็ดที่มีสีสันสดใส เพราะอาจจะเป็นพิษได้นะ" ผู้เป็นพี่สาวอธิบายให้น้องชายฟังอย่างใจเย็น
เด็กน้อยพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ เขามองไปรอบๆ ป่าเพื่อมองหาเห็ด
หลินเสี่ยวเหยาพาเขาไปยังจุดที่เห็ดระโงกขึ้นอยู่เยอะ เสี่ยวหมิงค่อยๆ เก็บเห็ดตามคำสอนของพี่สาวอย่างระมัดระวัง
"น้องเล็กเก่งมาก เก็บเห็ดได้เยอะเลย เดี๋ยวน้องเก็บเห็ดตรงนี้ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่สาวไปหาของป่าแถวๆ นี้ดูเผื่อจะมีอะไรที่เราจะพอทานได้บ้าง"
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้าให้ "ได้ครับพี่สาว"
หลังจากที่หลินเสี่ยวหมิงสนใจเก็บเห็ด หลินเสี่ยวเหยาก็ได้นำไม้ไผ่บางส่วนเข้าไปไว้ในมิติของเธอ ไม้ไผ่เหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการสร้างเฟอร์นิเจอร์และโรงเรือนไก่ในอนาคต
เด็กน้อยก้มมองพื้นป่าอย่างตั้งใจ พยายามค้นหาเห็ดตามที่พี่สาวบอก ในที่สุด เขาก็พบเห็ดระโงกขึ้นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาเก็บเห็ดใส่ตะกร้าอย่างภูมิใจ
"วันนี้ได้ของป่าเยอะเลย เดี๋ยวกลับไปพี่สาวจะทำอาหารอร่อยๆ ให้กินนะ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
หลินเสี่ยวหมิงยิ้มกว้าง เด็กน้อยรู้สึกดีใจที่ได้ช่วยพี่สาวหาของป่า วันนี้พวกเขาทั้งสองคนเก็บได้ทั้งหน่อไม้ ผักป่า และผลไม้ป่ามาได้มากมาย เพียงพอสำหรับมื้อเย็นแสนอร่อย
"พี่สาวครับ ผมอยากช่วยแบกตะกร้าให้ครับ" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้น
หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไร พี่แบกเองได้ เดี๋ยวน้องเล็กช่วยถือต้นไผ่ให้พี่หน่อย พี่ถือคนเดียวไม่หมด"
หลินเสี่ยวหมิงรับต้นไผ่ที่พี่สาวส่งมา ถือไว้แน่นในอ้อมแขน ต้นไผ่ลำยาวนั้นหนักอึ้ง แต่เขาก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยพี่สาวแบกของ
เมื่อใกล้จะพลบค่ำ หลินเสี่ยวเหยาและหลินเสี่ยวหมิงสองพี่น้องรีบเร่งฝีเท้ากลับบ้าน ระหว่างทาง ผู้เป็นพี่สาวครุ่นคิดเรื่องการศึกษาของน้องชาย ตอนนี้ปี 1970 อีก 7 ปีข้างหน้า จะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธออยากจะส่งเด็กน้อยให้เรียนหนังสือ เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามน้องชายขึ้นว่า "เสี่ยวหมิง พี่สาวมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อย"
หลินเสี่ยวหมิง เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า "มีอะไรหรือครับพี่สาว?"
"คือว่า พี่สาวอยากจะส่งน้องเล็กไปเรียนหนังสือที่เมืองจินหลง น้องคิดว่าอย่างไร?" ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลินเสี่ยวหมิงได้ฟังดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันอยู่ในใจ เขาดีใจที่พี่สาวอยากส่งเขาไปเรียนหนังสือ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกกังวล เพราะเขาตระหนักดีว่าครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มีเงินมากเหมือนเมื่อก่อน
"พี่สาวครับ ผม..." หลินเสี่ยวหมิงอึกอัก พูดต่อไม่ถูก
"น้องไม่ต้องพูดอะไร พี่สาวรู้ว่าน้องอยากเรียนหนังสือ และอีกอย่างน้องเล็กไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน พี่สาวมีแหล่งทำเงิน สามารถส่งน้องเล็กเรียนได้จนจบ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวัง
"ขอบคุณครับพี่สาว ผมจะตั้งใจเรียนหนังสือให้หนัก"
สองพี่น้องเดินออกจากป่าทึบ มุ่งหน้ากลับบ้าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ผู้เป็นพี่สาวรีบเอ่ยกับน้องชาย "เดี๋ยวพวกเราเอาไม้ไผ่ไปเก็บไว้ที่สวนหลังบ้านก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะเอาไปสร้างเล้าไก่"
หลินเสี่ยวหมิงพยักหน้ารับด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาเดินตรงไปที่สวนหลังบ้านอย่างร่าเริง
ร่างบางหันมามองตะกร้าสานที่มีหน่อไม้ ผักป่า เห็ดระโงก และผลไม้ป่าที่เก็บมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอนึกถึงเมนูอาหารแสนอร่อยที่เธอจะรังสรรค์ขึ้นมาในวันนี้
แต่ทว่า...
หลินเสี่ยวเหยาไม่เคยทำอาหารป่ามาก่อน เธอจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปในมิติ ทันทีที่เธอปรากฏตัวภายในมิติ เธอก็รีบตรงไปที่ร้านหนังสือขนาดใหญ่ ดวงตาของเธอค้นหาหนังสือสอนทำอาหารป่าอย่างตั้งใจ
ในที่สุดเธอก็เจอหนังสือที่ต้องการ หญิงสาวหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เธอรวบรวมความรู้และเทคนิคการปรุงอาหารป่าอย่างละเอียด
เมื่อกลับมาโผล่โลกแห่งความเป็นจริง ร่างบางก็เริ่มลงมือทำอาหารตามสูตรในหนังสือ เธอใส่ใจทุกขั้นตอน พิถีพิถันคัดสรรวัตถุดิบ ผสมผสานเครื่องปรุงรสจนกลมกล่อม
ไม่นานกลิ่นหอมฟุ้งของอาหารป่าก็โชยตลบอบอวลไปทั่วบ้าน หลินเสี่ยวหมิงที่พึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ เดินตามกลิ่นหอมมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเขาเห็นอาหารที่วางไว้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
"พี่สาว พี่ทำอาหารอะไรน่ะ?" หลินเสี่ยวหมิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
"พี่ลองทำอาหารป่าดูบ้าง เผื่อว่าน้องเล็กจะชอบ" ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินเสี่ยวหมิงตักอาหารป่าเข้าปาก คำแรกที่เขาสัมผัสได้คือรสชาติเผ็ดร้อน กลมกล่อม ผสมผสานกับความหอมของผักป่าและเห็ดระโงก
"อร่อยมากเลยพี่สาว!" เด็กน้อยร้องด้วยความดีใจ
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกดีใจที่น้องชายชอบอาหารที่เธอทำ เธอมองไปที่จานอาหารของคุณตัวร้ายที่วางอยู่ข้างๆ
‘เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยยกอาหารไปให้คุณตัวร้ายแล้วกัน’ เธอครุ่นคิดอยู่ในใจ
"เดี๋ยวพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวพวกเราค่อยมาทานข้าวด้วยกัน" เธอบอกน้องชายก่อนที่จะเดินไปอาบน้ำที่หลังบ้าน
ที่นี่ไม่มีห้องน้ำ มีแค่ไม้กั้นบาง ๆ เท่านั้น เธอคิดว่าถ้ามีเวลาเธอจะทำห้องน้ำ จะให้เธออาบที่โล่งๆ ไม่มีประตูปิด แบบนี้ก็ดูจะวาบหวิวยังไงไม่รู้
เธอนำสบู่หอม ออกมาจากมิติ ก่อนจะจัดการการอาบสระผมทันที ไม่นานนัก หลินเสี่ยวเหยาก็เดินออกมาจากหลังบ้าน ใบหน้าของเธอดูสดใสขึ้นทันที
หลินเสี่ยวหมิงนั่งรอพี่สาวของเขาอย่างใจจดใจจ่อ รอคอยที่จะได้ทานอาหารเย็นแสนอร่อย
ในที่สุด เสียงฝีเท้าของหญิงสาวก็ดังขึ้น เด็กน้อยหันไปมอง เห็นพี่สาวของเขาเดินเข้ามาในห้องครัว
หลินเสี่ยวเหยา สวมชุดสีฟ้าอ่อนเรียบง่าย ผมยาวสีดำขลับของเธอถูกมัดรวบไว้เอย่างเรียบร้อย ใบหน้าของเธอเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข
"เสี่ยวหมิง พี่สาวอาบน้ำแล้ว!" ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
กลิ่นหอมของกับข้าวโชยมาแตะจมูก บนโต๊ะมีกับข้าวหลายอย่าง
"น้องเล็ก เดี๋ยวน้องมาช่วยพี่นำกับข้าวไปจัดวางตรงโต๊ะอาหารที่ลานบ้านให้หน่อย" หลินเสี่ยวเหยาเรียกเสี่ยวหมิง ที่กำลังจ้องมองกับข้าวตาลุกวาว
"ได้ครับพี่เสี่ยวเหยา" เด็กน้อยรับคำ
"เดี๋ยวพี่สาวยกกับข้าวให้สหายหยางก่อนนะ เดี๋ยวพวกเราค่อยมาทานข้าวด้วยกัน" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยขึ้น
เสี่ยวหมิงพยักหน้ารับ "ครับพี่สาว"
หลังจากน้องชายเธอยกกับข้าวไปไว้ที่ลานหน้าหน้าบ้าน หลินเสี่ยวเหยามองกับข้าวของคุณตัวร้าย
"หวังว่าหยางเฟิงจะชอบเหมือนกันนะ" เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง
หญิงสาวตักอาหารป่าใส่ถ้วยกระเบื้อง เติมน้ำซุปอุ่นๆ ราดลงบนข้าวสวย รังสรรค์เป็นเมนูพิเศษสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
ร่างบางยกอาหารของคุณตัวร้ายเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเธอที่ตอนนี้โดนชายหนุ่มยึดครองอยู่
เมื่อมาถึงห้องนอน เธอจ้องมองดูคนร่างสูงที่นอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซีดเผือด เต็มไปร่องรอยด้วยรอยแผลขีดข่วนทั่วตัว แต่ก็ยังดูหล่อเหลาอยู่
คนร่างบางวางชามข้าวลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวไปแตะหน้าผากของหยางเฟิง ร่างกายของเขายังคงอุ่นๆ แสดงว่าอาการไข้เริ่มลดลง
"สหายหยาง... ตื่นมากินข้าวก่อนนะคะ"
หยางเฟิง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เปลือกตาหนักอึ้งจากฤทธิ์ยา เมื่อสายตาของเขามองเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ภาพแรกที่สะท้อนให้เห็นจอประสาทคือรอยยิ้มหวานละมุนของคนร่างบาง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมของเธอโชยมาแตะจมูก เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ
"สหายหยางรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมคะ?" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลเมื่อเห็นเขาทำหน้าตาแปลกๆ
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ร่างกายของเขายังรู้สึกอ่อนเพลียจากบาดแผลที่ถูกยิง
"คุณทานข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวจะได้ทานยาต่อ" หลินเสี่ยวเหยาวางชามอาหารป่า ที่ใส่วัตถุดิบบำรุงเลือดไว้ตรงหน้าเจ้าของรอยสักรูปมังกร
หยางเฟิงจ้องมองดูอาหารป่าที่เต็มไปด้วยสมุนไพร น้ำซุปสีเหลืองทองอร่ามส่งกลิ่นหอมเย้ายวน น้ำลายของเขาเริ่มไหล
คนร่างสูงเริ่มตักอาหารเข้าปาก น้ำซุปกลมกล่อมช่างอร่อยเหลือเกิน
"คุณทานเยอะๆ นะคะ คุณจะได้มีแรง" เธอเอ่ยกับคุณตัวร้าย
หลังจากหยางเฟิงทานอาหารเสร็จ หลินเสี่ยวเหยาก็เอายาแก้ปวดมาให้เขาทาน
"สหายหยางคุณทานยานี้ก่อนนะคะ เผื่อจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้บ้าง"
"ขอบคุณนะครับสหายหลิน" เขากล่าวด้วยความซึ้งใจ
หยางเฟิงกลืนยาแก้ปวดลงคอ คนร่างสูงรู้สึกว่าอาการปวดของเขาเริ่มจะดีขึ้น
"นี้ก็ดึกแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะนะคะ" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มมองตามหลังเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาล ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขาอย่างเงียบๆ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ