LOGINยีสต์ น้ำมันมะกอก ชีส ซอสมะเขือเทศ อย่างอื่นนางมีบดแล้ว แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ สิ่งที่ใช้ตวงปริมาณ นางขอมาจากกล่องโบราณ และอาศัยว่าเคยทำงาน อยู่ร้านพิซซ่ามาก่อน ความรู้ความชำนาญจึงติดตัวมา
“พวกเจ้าผสมและนวดให้เข้ากัน” นางเอ่ยบอกลี่อินและเจียวจู พอเข้ากันดีแล้วก็นำไปใส่ถังและใช้ฝาปิดเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ซิ่วอิงผสมแป้งให้ลี่อินและเจียวจูนวดต่อไป เพราะในจวนมีคนเยอะ ต้องทำเผื่อทุกคน เมื่อพักแป้งที่นวดให้พองตัว ซิ่วอิงก็มาเตรียมของที่ใส่ในหน้าพิซซ่า นางให้ป้าหวังพาเด็กสาวบางส่วน ช่วยกันสับหมูแล้วนำทำให้สุก ซิ่วอิงให้ทุกคนช่วยกันหั่นผัก หอมใหญ่ พริกหวาน เห็ด มะเขือเทศ ชีสหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ของบางอย่างนางต้องไปขอในกล่องโบราณ แต่ว่าถาดรองพิซซ่า นางจะใช้อะไรได้นะจานพวกนี้ทนความร้อนไม่ได้ต้องแตกเป็นแน่ ก่อนนางจะนึกถึงถาดพิซซ่า ให้มาอยู่ในกล่องโบราณ ไม่ใช่ว่านางนึกแล้วทุกอย่างจะมาปรากฎ นางก็แค่ต้องลองดู แต่ว่าได้ผลมีถาดรองพิซ่ามาอยู่ในนั้นจริง ๆ ขอบคุณนะเจ้าคะ นางเอ่ยออกไปในใจ แต่พอมีถาด นางก็ยังขาดช้อนตักพิซซ่าด้ามยาว ที่มีไว้สำหรับ นำพิซซ่าเข้าไปในอบ และเป็ดย่างก็ต้องใช้เช่นเดียวกัน นางจึงขอกล่องโบราณมาอีกครั้ง คราวนี้ครบจบสมบูรณ์ ทุกคนจะได้กินของอร่อยแล้ว ซิ่วอิงเดินไปดูเตาอบว่าร้อนมากน้อยเพียงใด ก่อนจะให้อู่ถงลดไฟ ด้วยการทำถ่านบางส่วนลงไว้ชั้นใต้ล่าง ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องครัว แล้วหยิบก้อนแป้งที่นวดไว้มาแบ่ง แล้วกดคลึงให้เป็นวงกลม จากนั้นวางลงในถาดพิซซ่า แล้วทาซอสมะเขือเทศ ใส่หมูสับ หอมใหญ่ พริกหวาน เห็ด มะเขือเทศสดชิ้นบาง ๆ ผงพริกไทย แล้วก็ชีส ก่อนจะนำเข้าเตาอบ กลิ่นหอมของพิซซ่าหอมตลบอบอวล ทำเอาทุกคนพากัน มายืนห้อมล้อมรอบ ๆ เตาอบ เมื่อซิ่วอิงเปิดเตาและยกสองถาดแรกออกมา นางก็ใส่ถาดใหม่เข้าไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็ตัดแจกทุกคน “เจ้าทำอะไรกลิ่นหอมไปถึงหน้าจวน?” เฉินเจ๋อหยวนที่เดินมาพร้อม หลานชายอีกสามคน ซิ่วอิงกลอกตามองบน ตามกลิ่นมาหรือ “อันนี้เรียกว่าพิซซ่าเจ้าค่ะ ท่านปู่ลองชิมดู” ซิ่วอิงคีบชิ้นพิซซ่าใส่จานใบเล็กส่งให้เขา แล้วก็ส่งให้เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง จากนั้นก็ตัดแบ่งให้คนอื่น ๆ “ซิ่วอิง อาหารนี่เรียกว่าพิซซ่าอย่างนั้นรึ อร่อย ๆ ข้าชอบ” ซิ่วอิงคิดในใจมีอะไรที่ท่านปู่ไม่ชอบบ้าง สองถาดแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว นางจึงให้อู่ถง เปิดเตาแล้วนำอีกสองถาดออกมา แล้วใส่อันใหม่อีกสองถาดเข้าไปแล้วปิดฝา ซิ่วอิงตัดแจกคนละชิ้นไปก่อน เพราะยามนี้เตาพิซซ่ามีเพียงแค่หนึ่งเตาจึงต้องรอ เมื่อช่างสร้างเตาอบเพิ่ม ต่อไปก็ไม่ต้องรอแล้ว “อันนี้ทำขายที่โรงเตี๊ยมด้วยหรือไม่?” “ไม่เจ้าค่ะ อันนี้เป็นอาหารที่ง่ายสะดวกและรวดเร็ว ข้าจะหาร้านติดถนน แล้วทำขายเจ้าค่ะ” “ข้าหุ้นด้วย!” สี่บุรุษเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำเอาซิ่วอิงหัวเราะออกมา “ได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ มีอาหารมากมายที่ข้าอยากจะทำ แต่ว่าต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป รอให้อาหารที่โรงเตี๊ยมอยู่ตัว แล้วเราค่อยขยับขยายทำอย่างอื่นกันเจ้าค่ะ” “เจ้าพูดได้ดี และมีเหตุผล หากรีบร้อนอาจจะพังไม่เป็นท่า” ชายชราเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย “ข้ามีข่าวดีจะบอก มีคนแห่มาจองโต๊ะกันมากมาย แต่ว่าโรงเตี๊ยมเรามีห้าสิบโต๊ะ จะทำอย่างไรดี?” ซิ่วอิงได้ยินก็ครุ่นคิด “เราต้องดูว่าคนจองเวลาเท่าใดเจ้าค่ะ คนกินอาหารส่วนใหญ่ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม รวมเวลาที่รออาหารด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องกะเวลาคราวเผื่อเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้าไปหยิบกระดาษแผ่นใหญ่ มาให้ข้าหน่อย พู่กันและแป้นหมึกด้วย” ซิ่วอิงหันไปสั่งเด็กน้อยคนหนึ่ง เมื่อเขาวิ่งมาพร้อมของที่นางสั่ง นางวางกระดาษบนโต๊ะ ลี่อินรีบเข้ามาฝนหมึกให้ ซิ่วอิงจึงตีเส้นแบ่งเป็นช่อง ๆ “ท่านปู่ดูนะเจ้าคะ ช่องแรกหมายเลขหนึ่ง เป็นชื่อคนที่มาจอง ช่องถัดไปเป็นเวลาที่จอง หากทางโรงเตี๊ยม เปิดขายเริ่มที่หกโมงเช้า เราก็กะเวลา โต๊ะละสองชั่วโมง แบบนี้เจ้าค่ะ” “แล้วถ้าหากคนมาจองในช่วงเวลาที่ไม่ได้ระบุ ก็นั่งได้แค่ครึ่งชั่วยามเองนะสิ (ครึ่งชั่วยาม1ชั่วโมง) ” “เราก็ให้จองเฉพาะเวลา ที่เรากำหนดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะวุ่นวายมากเจ้าค่ะ เราต้องจัดสรรเวลา ให้พนักงานเก็บโต๊ะและจัดโต๊ะรอลูกค้าคนใหม่ ที่สำคัญหากลูกค้าจองเต็มแล้ว อย่ารับเพิ่มเด็ดขาด ปัดไปเป็นเวลาถัดไปเลย หากลูกค้ายอมรับเวลาได้ก็รับจองเจ้าค่ะ หากว่าลูกค้าต้องการเวลานั้นจริง ๆ ก็ต้องเป็นวันอื่นแล้วเจ้าค่ะ” เฉินเจ๋อหยวนมองวิธีที่นางอธิบาย ก็พยักหน้าเข้าใจ วิธีนี้ดีจริง ๆ ป้องกันความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น “แล้วทางโรงเตี๊ยมต้องราคาให้ชัดเจนเจ้าค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา คนคิดเงินต้องคล่องและรวดเร็ว และจะผิดพลาดไม่ได้ การตั้งราคาจึงต้องต้องตั้งให้ง่าย ต่อการคิดเงินด้วยเจ้าค่ะ” แต่แล้วลู่เฉิงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “นายท่านขอรับ นายอำเภอและท่านเจ้าเมือง ส่งคนมาจองโต๊ะชั้นพิเศษ แต่ว่าเวลาที่จองเต็มหมดแล้ว ทำอย่างไรดีขอรับ?” “เจ้าเอาสมุดจองมาดูสิ” เฉินเจ๋อหยวนเห็นรายชื่อที่ติดกันเป็นพรึดก็ตกใจ เว้นคนละครึ่งชั่วยาม เป็นเช่นนี้ต้องเกิดเหตุวุ่นวายแน่ เขายื่นสมุดมาให้ซิ่วอิง ด้วยสีหน้าเป็นกังวล พอนางเปิดดู ก็จะถอนใจออกมา “ปิดรับจองไปก่อนเจ้าค่ะ” “แล้วนายอำเภอกับท่านเจ้าเมือง จะทำอย่างไรขอรับ?” “ท่านลุงท่านรับจองแน่นขนาดนี้ วันแรกท่านรับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ ท่านรับลูกค้าติด ๆ กันเช่นนี้ ไม่เผื่อเวลาให้ลูกค้าได้นั่ง หรือพนักงานได้มีเวลาหายใจ เลยหรือเจ้าค่ะ?” ลู่เฉิงมองหน้านางอย่างไม่เข้าใจ “ท่านลุง ลูกค้าท่านหนึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วยาม หรืออาจจะมากกว่า เพราะบางคนมาทั้งครอบครัว ท่านไม่ให้เวลาพนักงานเก็บโต๊ะ และเตรียมจัดโต๊ะ ให้ลูกค้าท่านใหม่เลยหรือเจ้าคะ?” ลู่เฉิงพอได้คำอธิบาย ก็หน้าซีดเผือด แย่แล้วเขาลืมคิดถึงตรงนี้ไปเลย แล้วจะทำอย่างไรละทีนี้ “นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว ทำอย่างไรดีขอรับ?” ลู่เฉิงรีบคุกเข่าลงทันที ที่เขาไม่คิดถึงจุดนี้ก็เพราะ ไม่เคยมีคนมาจองมากมาย ขนาดนี้มาก่อน เฉินเจ๋อหยวนหันไปมองซิ่วอิง เวลานี้ คงต้องพึ่งนางแล้ว “แล้วท่านรับลูกค้าเยอะมากในวันเดียว พนักงานของท่าน มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด เฮ้อ! แค่คิดข้าเหนื่อยแทนแล้วเจ้าค่ะ” “แล้วเจ้าคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง? อีกทั้งนานอำเภอและท่านเจ้าเมือง หากไม่มีที่นั่ง ต้องเกิดปัญหาแน่” เฉินเจ๋อหยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ซิ่วอิงถอนใจออกมาอย่างหนักใจเช่นกัน “พี่อู่ถงเอาพิซซ่าออกจากเตา แล้วเอาถาดใหม่ใส่เข้าไปเจ้าค่ะ แล้วเจ้าไปเอากระดาษมาให้ข้าอีกเอามาหลาย ๆ แผ่น” นางเอ่ยบอกอู่ถงแล้วหันไปสั่งเด็กคนเดิม ให้ไปเอากระดาษ ซิ่วนั่งคัดลอกรายชื่อลูกค้าใหม่ ตามที่นางขีดเส้นตีตาราง มีโต๊รองรับห้าสิบโต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้หกคน นางต้องเผื่อเอาไว้ด้วย เพราะบางคนอาจมาทั้งครอบครัวและมีหลายคน “ท่านลุงลู่เวลารับจอง ท่านต้องถามลูกค้าด้วยเจ้าค่ะ ว่ามากันกี่คน” พอนางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ลืมถามไปจริง ๆ เพราะมัวแต่ตื่นเต้น เฉินเจ๋อหยวนถอนใจออกมา นึกเห็นใจซิ่วอิง ที่ต้องมาแก้ปัญหาให้เช่นนี้ แทนที่นางจะให้ความใส่ใจกับการทำอาหารเพียงอย่างเดียว “ท่านลุงลู่ส่งคนไปแจ้ง ทางนายอำเภอและท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ ว่าทางโรงเตี๊ยมจัดโต๊ะพิเศษให้ก่อนหนึ่งวัน ในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรง และข้าจะเป็นคนทำอาหารให้กินเองเจ้าค่ะ หากเขาถามก็บอกว่า ลูกค้าจองมามากมาย ทางเรากลัวจะบริการไม่ทั่วถึง จึงให้มาก่อนหนึ่งวันเจ้าค่ะ” “ส่วนรายชื่อที่ข้าคัดแยกออกมาต่างหากนี้ ให้คนไปแจ้งว่า ทางโรงเตี๊ยมต้องขออภัย ที่ต้องขอเลื่อนเป็นอีกวันถัดไป แต่ในเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทางโรงเตี๊ยมจึงขอโทษด้วยการ ห่อเป็ดให้นำกลับบ้านหนึ่งชุด หากลูกค้าต้องการ จะยกเลิกให้แจ้งได้ทันที” “และพนักงานยกอาหารมีกี่คนหรือเจ้าคะ? “เอ่อ…พนักงาน10คน พ่อครัว5คน” “เราอย่าเพิ่งรับจอง เอาแค่นี้ไปก่อนเจ้าค่ะ ตอนแรกข้าว่าจะไม่ยุ่งในส่วนนี้ แต่ว่าข้าไม่ยุ่งไม่ได้ ท่านปู่มีความคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ?” “เจ้าเข้ามาจัดการเลย ข้าอนุญาต หรือเจ้าจะคิดแย้ง” ชายชราหันมาถามลู่เฉิง ซึ่งเขาก็ส่ายหัวยอมรับความผิด เขารู้ว่าทำพลาดไปมากจริง ๆ เมื่อก่อนมีคนมากิน แต่ไม่ได้มาทีเดียวมากมายแบบนี้ เขาเลยตั้งตัวไม่ทัน ทางด้านเฉินเจ๋อหยวนไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้ใหญ่เช่นพวกเขาต้องมา อาศัยความสามารถของเด็กน้อยผู้หนึ่งเช่นนี้ แต่ในความรู้สึกของเขา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นเด็ก เขาเชื่อมาโดยตลอดว่านาง คือเทพมาจุติในร่างของนางกลิ่นเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปรอบบริเวณ ซิ่วอิงให้พวกเขาไปนับจำนวนคน รวมทั้งช่างก่อสร้างและช่างตัดต้นไม้ รวมแล้วเกือบสองร้อยชีวิต ทางโรงเตี๊ยมลู่เฉิงและลู่ไฉ่ดูแล นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก “ซิ่วอิงเจ้าดูข้าลองเปลี่ยนใบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ เป็นเช่นไรฝีมือข้า” ลี่อินพาอดีตฮ่องเต้ อดีตฮองเฮาและพระสนม อีกทั้งข้ารับใช้คนสนิท ออกมาจากมิติ นางทำการเปลี่ยนใบหน้า ให้พวกเขาทั้งหมด ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “คนอื่น ๆ ก็เดี๋ยวค่อยให้พี่จือหยวนและพี่จือไฉ ยกอาหารเอาไปให้ก็แล้ว ออกมากันหมดผู้คนอาจจะสงสัยเอาได้” “เข้าใจแล้ว” ลี่อินตอบรับ ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่ง แล้วหาไปยกน้ำชามาให้ “หลานสะใภ้คนงาม เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” ซิ่วอิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นท่านปู่เดินยิ้มร่าเข้ามา อย่างอารมณ์ดี “อันนี้เรียกว่าขนมเค้กเจ้าค่ะ” “สีสันงดงามน่ากินจริง ๆ” ชายชรามองเค้กอย่างพอใจ “วันนี้ข้าทำหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ ทุกคนจะได้กินกันอย่างทั่วถึงเจ้าค่ะ” “ดี ๆ ข้าไม่ได้กินอาหาร ฝีมือเจ้าทำมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าข้าผอมลงไปเยอะเลย” ทุกคนได้ยินเขาพูดก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูวันนี้อาหารที่นางทำ ถึงแม้จะมีคนเยอะ แต่คนช่ว
ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ





![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

