“อู๊ย!!... ไม่อยากจะเมาท์!!...” เสียงจีบปากจีบคอพูดแผดดังไปทั้งห้องแต่งตัวหลังรันเวย์เดินแบบ หลังจากจบงานแสดงแฟชั่นโชว์ของเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่จัดขึ้นในห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ
กัทลีกำลังนั่งวางท่าอยู่บนเก้าอี้แต่งหน้า สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ รอบๆ ข้างมีบรรดาเพื่อนนางแบบและช่างแต่งหน้าทั้งสาวแท้สาวเทียม พากันมารุมซักไซ้เกี่ยวกับคู่ควงคนใหม่ของเธออย่างตื่นเต้นปนอิจฉา
มูลเหตุมาจากเหตุการณ์สองคืนก่อน เมื่อเจ๊น้ำหวาน เจ้าแม่ผู้คร่ำหวอดในวงการช่างแต่งหน้า บังเอิญไปพบเข้ากับกัทลี ซึ่งกำลังร่วมโต๊ะอาหารค่ำอยู่กับชายหนุ่มต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสของโรงแรมระดับหกดาวแห่งหนึ่ง
และมันก็คงไม่ใช่ประเด็นน่าสนใจอะไร ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ โฮร์มุซ บิน ฮาเร็บ อัล อลาวี เจ้าชายนักธุรกิจชาวตะวันออกกลาง ผู้ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองในฐานะเซเลบริตี้คนใหม่ของวงสังคมขณะนี้
นับตั้งแต่เขาเดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจในประเทศไทยเมื่อเดือนก่อน เจ้าชายหนุ่มก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าดาราและผู้มีชื่อเสียงในหลายสาขาอาชีพ เพราะไม่เพียงแต่เขาจะมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและชาติตระกูลสูงระดับเชื้อพระวงศ์ของต่างประเทศแล้ว นิตยสาร TIMELESS ของอเมริกา ยังจัดให้เขาเป็นหนึ่งในสิบหกอันดับ The Most Passionate Bachelors of the World หรือหนุ่มโสดที่ผู้หญิงทั่วโลกปรารถนามากที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัทลีกับเขาจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวงการนางแบบภายในระยะเวลาแค่ข้ามวันและทันทีที่มีโอกาส ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันเข้ามารุมล้อม รอให้เธอไขข้อสงสัย
“อย่ามาทำเป็นเล่นตัวหน่อยเลยย่ะ ทำอย่างกับหล่อนไม่เคยเมาท์ผู้ชายให้พวกฉันฟังอย่างนั้นแหละ” โกญา นางแบบลูกครึ่งสเปน ย้อนด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ
“พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าฉันเมกเรื่องเอาเองอีก...” กัทลียกแขนขึ้นกอดอกหลวมๆ ขาเรียวยาวยกขึ้นไขว่ห้าง แกล้งถอนหายใจดังๆ เหมือนถูกบังคับให้เล่าเรื่องอะไรน่าเบื่อสักเรื่อง แต่ริมฝีปากอิ่มกลับฉีกยิ้มจนแทบจะมองทะลุไปถึงลิ้นไก่ จนหลายคนในกลุ่มต้องลอบเบ้ปาก ขมุบขมิบด่าเป็นคำว่า ‘อีตอแหล’
“เจ้าชายโฮร์มุซน่ะ ตัวจริงล้อหล่อ กลิ่นตัวก็ฮ้อมหอม...” หลับตาทำหน้าเคลิ้ม เพื่อนสาวลูกครึ่งสเปนจึงฉวยโอกาสขากเสลดอย่างไร้เสียง ก่อนจะหันมาปั้นหน้ายิ้มให้เธอเหมือนเดิม “ท่านบอกว่าในบรรดาผู้หญิงไทยที่ท่านเคยไปดินเนอร์ด้วยฉันเป็นคนที่สวยสะดุดตาที่สุด... เสียดายที่ท่านมาทำธุระที่เมืองไทยแค่ไม่กี่อาทิตย์ ไม่อย่างนั้นท่านก็คงจะขอคบฉันเป็นแฟนออกหน้าออกตาไปแล้ว...”
“ต๊าย!!...” ทุกคนต่างพร้อมใจกันอุทานออกมา...
ถ้าพูดกันตามตรงก็คงจะไม่มีใครในกลุ่มนั้นที่เชื่อคำโฆษณาของกัทลี... แต่ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ... ไม่ค่อยจะยอมเชื่ออะไรง่ายๆ แต่ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้รู้เหมือนกัน..
“แล้วหลังจากกินข้าวกันเสร็จล่ะ... เขาพาหล่อนไปที่ไหนต่อยะ”
“อุ๊ย ความลับย่ะ!!... ที่เหลือก็หัดไปคิดกันเอาเองบ้างเถอะ” กัทลีพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้พูดต่อ เพราะถ้าขืนสาวกันไปสาวกันมามากกว่านี้ ดีไม่ดีจะไปกระทบกระเทือนเข้ากับอาชีพพิเศษของเธอและเพื่อนหลายๆ คนในที่นี้ ซึ่งต่างก็รู้เช่นเห็นชาติกันดีอยู่แล้ว...
ก็มารยาทของผู้ทำธุรกิจบริการต้องคอยปกปิดข้อมูลของลูกค้าไม่ให้แพร่งพรายออกไปไม่ใช่หรือ...
“อย่ามัวแต่ชักเข้าชักออกอยู่เลย ฉันอยากรู้จะตายอยู่แล้ว...”
“ใช่ๆ เล่าต่อสิคะคุณน้อง... เขาว่าพวกแขกขาวน่ะไซส์ XL ทุกคนไม่ใช่เหรอคะ แล้วของอีตาเจ้าชายอะไรนี่น่ะเป็นยังไงบ้าง... ลีลาเด็ดดวงแค่ไหน... เล่าให้เจ๊ฟังเป็นบุญหูหน่อยเถอะค่ะคุณน้อง...” เจ๊กบ ช่างแต่งหน้าสาวไม่แท้ที่นั่งคาบอมยิ้มช็อกโกแลต ฟังอยู่เงียบๆ มานาน ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว รีบดึงอมยิ้มออกจากปากแล้วโพล่งถามอย่างเข้าประเด็น เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดถูกอกถูกใจจากฝูงชะนีสาว
“ตายแล้วเจ๊! ถามอย่างนี้ เจ๊เห็นเกรซเป็นผู้หญิงยังไงกันคะ!” หญิงสาวอุทานเสียงแหลม ชักสีหน้า ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดเหมือนไม่พอใจอีกฝ่าย
“โถ ใครจะคิดอย่างนั้นกันคะคุณน้อง... ก็เจ๊อิจฉานี่นา... ไหนๆ เจ๊ก็ไม่มีวาสนาได้เห็นกับตา เจ๊ก็อยากฟังจากปากหนู เผื่อเอาไปจินตนาการเองที่บ้านบ้าง...” เจ๊กบฝืนยิ้ม ‘จริงใจ’ ให้ จนรองพื้นและแป้งฝุ่นที่ฉาบไว้บนใบหน้ากลมๆ อวบอูมเหมือนซาลาเปาไซส์จัมโบ้ แตกยับเป็นริ้วๆ
ใครๆ เขาก็รู้กันอยู่ทั้งวงการว่าแม่นางแบบตรงหน้าน่ะ เน่าในแค่ไหน... ที่ทุกคนอุตส่าห์ยอมตีสองหน้า ทำเป็นชื่นชม ยกหางให้เธออยู่อย่างนี้ ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นหรอก...
“โอ๊ย! อย่าลีลานักเลย ทีตอนไปฟาดนักดนตรีอเมริกันที่เทศกาลเพลงแจ็สเมื่อเดือนก่อนน่ะ หล่อนยังเล่าออกมาได้เป็นฉากๆ” แจ็กเกอลีน เพื่อนนางแบบลูกครึ่งจีนที่เริ่มจะรำคาญ โพล่งขึ้นมาบ้าง “หรือว่าจริงๆ ที่ไม่กล้าเล่าเพราะว่าหล่อนโดนเทตั้งแต่บ๋อยยังไม่ทันเสิร์ฟของหวานล่ะยะ”
“ว้าย อีบ้า!!” กัทลีกรีดร้องอย่างลืมตัว หันไปถลึงตาใส่เจ้าของคำสบประมาท “คนอย่างฉันเนี่ยนะจะโดนถีบหัวส่ง ไม่มีเสียล่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกประดิษฐ์เสียทีย่ะ สรุปว่าหลังจากกินข้าวกันเสร็จ อีตาเจ้าชายนั่นพาเธอไปสะบึมต่อที่ไหน ดุเด็ดเผ็ดมันยังไงเผื่อคราวหน้าคราวหลังบังเอิญเจอกัน ฉันจะได้หาโอกาสลองกินดูบ้าง...” โกญา นางแบบสายเลือดสเปนหัวเราะคิกคัก พูดทีเล่นทีจริง ทำเอากัทลีต้องหันมองขวับอย่างไม่พอใจ
ถึงจะเป็นแค่งานพิเศษชั่วคราว ไม่ได้มีการผูกมัดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่สัญชาตญาณลูกผู้หญิงก็ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหึงหวงในตัวเจ้าชายชาวตะวันออกกลาง จนอยากจะปรี่เข้าไปกระชากผมเพื่อนแล้วตบสั่งสอนสักฉาดสองฉาด
ขณะเดียวกันนั้นเอง สายตากัทลีก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเงาของใครบางคน กำลังทำทีเป็นเดินไปมาอยู่ที่ด้านนอกของประตูทางออกห้องแต่งตัว ประสบการณ์บอกให้เธอรู้ว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นนักข่าวที่กำลังพยายามหาข้อมูลจากหลังเวทีเดินแบบอยู่อย่างแน่นอน
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงก่อนเวลาเลิก องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี บิน ฮามัด อัล อลาวี ก็ถือโอกาสขึ้นไปเป็นประธานบนเวที เรียกเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าแขกในงาน“เราในฐานะของคนเป็นพ่อต้องขอขอบใจสหายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายเรา วันนี้นับว่าโฮร์มุซได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบคนในครอบครัวต่อไปภายหน้า...” องค์สุลต่านหันไปมองบุตรชาย“ประเทศชาติก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจาเบลุซนั้น ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง... ซึ่งในเวลานี้เรามั่นใจแล้วว่าโฮร์มุซพร้อมที่จะทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นเราจึงถือโอกาสอันดีในคืนนี้ประกาศคืนตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้แก่ เจ้าชายโฮร์มุซ อัล อลาวี และมอบหมายให้ เจ้าชายมาตราห์ อาลี เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของเราดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต...”สิ้นคำประกาศขององค์สุลต่าน ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้ชาวไทยที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงในฐานะแขกและส
พิธีมงคลสมรสตามประเพณีของจาเบลุซไม่แตกต่างอะไรจากประเทศอื่นๆ ในดินแดนอาหรับมากนัก... นั่นคือ... ประกอบไปด้วยพิธีการทั้งสิ้นจำนวนเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอในวันแรกตามหลักศาสนาแล้ว ก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะต้องนำครอบครัวไปพูดคุยสู่ขอกับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่บ้าน แต่เนื่องจากอรนลินและมารดาไม่ใช่ชาวจาเบลุซ งานสู่ขอจึงถูกจัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการภายในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก นั่นเอง โดยมี องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี และองค์สุลตาน่าโซเฟีย เป็นผู้ดำเนินพิธีสู่ขอกับอินทิราท่ามกลางเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งวันที่สองเป็นพิธีดูตัว ซึ่งตามปกติจะเป็นโอกาสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงทำเพียงพอเป็นพิธี ส่วนวันที่สามซึ่งเป็นวันหมั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำการแลกแหวนหมั้นของแต่ละฝ่าย โดยสวมใส่มิชลาห์และอบายาสีที่เข้าคู่กัน เพื่อเป็นนิมิตมงคลบอกถึงความเหมาะสมกันวันที่สี่ พิธีให้สัตย์ปฏิญาณ หรือพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปจะจัดในมัสยิด หากเจ้าบ่าวเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้แทนศาสนาจึงถ
กำหนดการพิธีแต่งงานระหว่างซินเดอเรลลาสาวจากประเทศไทยกับเจ้าชายนักธุรกิจใหญ่แห่งอาหรับกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้งโลก และก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจากทุกแขนงจะพากันตามมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนรัก โฮร์มุซก็ตัดสินใจพาเธอกับผู้เป็นแม่บินกลับไปเตรียมการที่ประเทศของเขาล่วงหน้าเกือบสองสัปดาห์แม้ว่าอินทิราจะค่อนข้างประหม่าและอึดอัดใจกับชีวิตในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องตื่นตาตื่นใจไปกับทุกๆ สิ่งที่ได้สัมผัส รวมถึงอดที่จะกังวลไม่ได้กับขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เธอเองมีส่วนผลักดันให้ลูกสาวเป็นคนเลือกในช่วงแรกๆ ที่ได้กลับมาพำนักในปราสาทหินทรายสีชมพู อรนลินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อต้องถูกคนครึ่งประเทศจับจ้องด้วยสายตาคับข้องใจและไม่เห็นด้วย ว่าเหตุใดเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัฐสุลต่าน บาห์ลา จาเบลุซ จึงเลือกผู้หญิงต่างชาตินอกศาสนามาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยกำลังใจจากผู้ชายที่เธอรักรวมถึงท่าทีของสุลต่านและสุลตาน่าที่วางตนเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ทำใจได้อรนลินต้องเข้าพิธีกับยัลซูผู้เผยแผ่ เปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนลำดับความรักและความเคารพบ
“ต๊าย... ทีอย่างนี้ล่ะทำหวง คนอะไร้...”“ที่จริงลินเองก็ไม่สะดวกหรอกค่ะ พี่ปุ๊กกี้ก็รู้ว่าตอนนี้ลิน...” ก้มลงมองหน้าท้องที่แทบจะยังไม่ขยายตัวให้เห็น มือของเธอก็ลูบคลำเบาๆ ไปด้วยอย่างรักใคร่ “ลินคงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คุณชายพิษณุไม่ได้หรอกค่ะ อายเขาตายเลย...”“เออ จริงสิ... ตั้งแต่มีข่าวเรื่องน้องสาวฆ่าตัวตาย คุณชายพิษณุก็หายเงียบไปเลยนะ... เดี๋ยวนี้ไม่เห็นออกงานสังคมที่ไหนบ้างเลย...”“จริงด้วย แล้วคุณหญิงรัตน์ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลยเหมือนกัน...” ใครคนหนึ่งถามขึ้น“เห็นพี่ชัยรัตน์บอกอยู่เหมือนกันว่าหนีไปรักษาสภาพจิตใจที่เมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยก็คงอายคนนั่นแหละ...” หัวหน้าฝ่ายคอสตูมเป็นคนตอบ “แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิท คุณชายพิษณุต้องไปด้วยแน่ๆ อาจจะได้เจอคุณหญิงรัตน์ในงานด้วย ใครจะไปรู้...”“จะว่าไปที่ผ่านมาคุณชายพิษณุก็ไม่เคยมีข่าวคาวกับผู้หญิงซักคนนะ ดีไม่ดีจะเป็นเก้งเอาหรือเปล่ายะ” ปกรณ์ยกมือทาบอกกระดกปลายนิ้วก้อย รำพึงรำพันกับตัวเองในลำคอ “ผู้ชายอะไรหน้าว้านหวาน ถูกสเปกอีปุ๊กกี้สุดฤทธิ์... สาธุ... ไม่ใช่เก้งก็เป็นกวางทีเถอะ งานนี้แม่จะได้ลุ้นลับตับแตกกับเ
สามเดือนต่อมา... หลังจากบรรดาผู้คนในวงการนางแบบต่างพากันช็อกกับข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำของกัทลี... ชื่อของ เกรซ กัทลี อดีตนางแบบชื่อดังระดับประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจดจำได้อีก...นับว่าโชคดีที่ครั้งนั้นหญิงสาวไม่ถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากคนของโฮร์มุซช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทว่าใบหน้าของอดีตนางแบบสาวก็ถูกแรงกระแทกทำให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงกับเสียโฉม ที่หนักที่สุดก็คือขาซึ่งหักทั้งสองข้าง แม้จะรักษาจนหายขาดแล้ว ก็ยังต้องเดินกะโผลกกะเผลกอย่างคนพิการไปตลอดชีวิตสภาพที่ต้องนอนมีผ้าพันแผลและเข้าเฝือกแทบทั้งตัวเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้อรนลินและมารดารู้สึกเสียใจกับเธอ และตกลงใจที่จะอโหสิกรรมให้ ไม่ดำเนินคดีความหรือเอาเรื่องใดๆ อีกกลาร์มัวร์ ไดมอนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไหม่ ถึงจะยังไม่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกับกัทลีตั้งแต่ตอนที่วางตัวเธอเอาไว้ แต่หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ ก็ได้มอบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับเธอเพื่อเป็นกีแสดงความเห็นใจ หากเงินหลักล้านและเงินเก็บอีกหลายแสนที่มีในบัญชีของหญิงสาว หลังจากการรักษาตัวแล้ว ก็มีอันต้องอันตรธานไปอย่างร
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็เปิดออก เนื่องจากปกรณ์และอินทิราที่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันแว่วออกไปถึงด้านนอก รู้ว่าผู้ป่วยได้สติแล้วก็รีบเข้ามาขัดตาทัพเสียก่อน“ไอ้ลิน... ฟื้นแล้วหรือลูก...”“ยัยลิน... เจ๊กำลังเป็นห่วงเลยเชียว...”มองเห็นสีหน้าและน้ำตาของลูกสาว คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าก็พอจะคาดเดาเรื่องระหว่างหนุ่มสาวสองคนนี้ได้หลายส่วน เธอจึงกระซิบให้ปกรณ์ทำหน้าที่ล่าม เชิญเจ้าชายหนุ่มออกไปสงบสติอารมณ์หน้าห้องก่อน ส่วนเธอเองก็เห็นทีจะต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความให้ทั้งคู่เสียแล้วมองลูกเขยโดยพฤตินัยเดินหงุดหงิดออกไปพร้อมกับรุ่นพี่ใจแหววของลูกสาวก็นึกเวทนา ความจริงอินทิราไม่อยากให้อรนลินไปพัวพันกับคนระดับนั้นหรอก แต่สายตาของเธอยังไม่ถึงกับฝ้าฟาง... ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ดวงตามืดบอด ก็คงไม่แคล้วเป็นลูกสาวของเธอนั่นแหละ...“มีเรื่องอะไรกัน แกเล่าให้แม่ฟังซิ ไอ้ลิน...”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่...” หญิงสาวไม่กล้าสู้สายตา“แกทำให้แม่เสียใจมากนะลิน... จนป่านนี้แล้วยังคิดจะปิดแม่อีกหรือไง... แกได้เสียกับเขาแล้ว แล้วตอนนี้แกก็ท้องลูกของเขาอยู่ใช่ไหม...” เสียง