Masuk“โธ่... ข้าก็เป็นเช่นนี้ ท่านอาจารย์ยังไม่ชินอีกหรือ ท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองข้าเลย” ฉางฟู่ทำหน้าตาน่าสงสาร กลับร่างเป็นสุนัขปีศาจเขี้ยวแหลมคมกลิ้งไปมาแลดูน่าเอ็นดู ก่อนคืนร่างบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แลดูเป็นผู้ชั่วร้าย “หากท่านอารมณ์ไม่ดี จะทำโทษข้าก็ได้...”
“ทำโทษเจ้า?” ยินเฟิงเลิกคิ้วขึ้นถาม พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “พวกเจ้ามีแต่จะยิ่งได้ใจ เฆี่ยนตีเท่าไรก็ยิ่งชอบ โดยเฉพาะเจ้าผู้โปรดปรานหลงใหลความเจ็บปวด ฉางฟู่ เจ้าไปให้ปีศาจสตรีเฆี่ยนเจ้าแล้วกัน ข้าเบื่อจะตีเจ้า...”
ในเทือกเขาลับแลนี้มีเรื่องประหลาด ๆ อีกมาก นอกเสียจากศิษย์บางคนโปรดปรานให้เฆี่ยนตี ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากเท่าไรพวกเขายิ่งมีความสุข ยินเฟิงมาอยู่เทือกเขาแห่งวิถีมารใหม่ ๆ เห็นศิษย์ถูกตีถูกเผาด้วยไฟร้อน พวกเขาดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด พอหายจากพิษไฟก็เฝ้าร้องขอให้อาจารย์ทำร้ายพวกเขาอีก
ใช่เพียงเท่านั้น ทั้งอาจารย์และศิษย์ปีศาจทุกผู้ตนต่างไร้จรรยาบรรณ ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม หลงใหลในกามารมณ์ ใช้หวายเฆี่ยนตีกัน สานสัมพันธ์สวาทไม่สนใจใครเป็นใคร ต่างล้วนทำตามใจจนกลายเป็นกิจวัตร
ยินเฟิงรู้แก่ใจดีว่าศิษย์คนโปรดมักสอดแนมเรื่องส่วนตัวของเขา ฉางฟู่เป็นพวกยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่องเสมอ ทุกเรื่องของทุกคนรอบกาย ทั้งที่มีเรื่องวุ่นวายในแต่ละวัน ทั้งการฝึกฝนวิชาปีศาจ หมกมุ่นในราคะกับปีศาจสตรี แลกเปลี่ยนพลังปีศาจ หาเรื่องทะเลาะวิวาทกับเทพหากว่าได้พบปะกันในเทวโลก
“ท่านอาจารย์ คือข้ามีข่าวสำคัญมาแจ้งท่าน...” ฉางฟู่ทำอึก ๆ อัก ๆ จนมองเห็นสายตาดุดันสั่งให้เขาพูด
“มีอะไร?”
“ข้าแอบตามเทพปักษาไปพบนาง... แม่นางไป๋”
“เจ้าพูดอะไร? เจ้าพบใคร...”
“หญิงสาวใบหน้าสะสวย เหมือนปั้นดินเผาท่าน นางเป็นบุตรสาวท่านโหว นางค่อนข้างเก็บตัว จึงไม่มีผู้ใดพบนาง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นแม่นางไป๋...”
“แล้วเจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นนาง?”
“ข้าพบเซียนปักษาโดยบังเอิญ ระหว่างข้ามภพภูมิไปนำศิลาไข่มุก ข้าถือโอกาสลอบตามอี้เจ๋อไป...”
ฉางฟู่ได้ยินนางเรียกอี้เจ๋อ ๆ หัวเราะร่าเริงเดินซื้อของกันในตลาด เขาตามทั้งสองอยู่ห่าง ๆ จนแน่ใจ ได้ยินนางพูดถึงท่านอาจารย์ยินเฟิง คิดว่าน่าจะเป็นอาจารย์ท่านเดียวกัน
ยินเฟิงเป็นเซียนผู้เดียวที่แปรพักตร์มา เหล่าปีศาจรู้เรื่องนี้ดี ถึงแม้ว่าเขาไม่ใส่ใจใครมากนัก เพราะทำตามจุดประสงค์ของตนเท่านั้น
อาจารย์หัวเราะร่าเริง หลังได้รับข่าวดีจากศิษย์คนโปรด แทนที่เขาจะว่าฉางฟู่ยุ่งไม่เข้าเรื่องอีก กลับเอ่ยคำเชยชม “เก่งมากฉางฟู่ เจ้าทำดีมาก เจ้าสอดรู้จนได้เรื่อง ดีล่ะ ข้ารับปากว่าจะตกรางวัลให้เจ้าในภายหลัง”
------------
รองเท้าแต่งงานปักทอด้วยด้ายทองลวดลายหงส์ขยับอย่างระมัดระวัง ชายกระโปรงเจ้าสาวที่ลากยาวบนพื้นไม้เป็นเงามันทำให้นางก้าวขาเดินไม่สะดวกนัก ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวยังค่อนข้างหนากว่าผ้าคลุมทั่วไป ทำให้ทัศนียภาพพร่าเลือนจนมองเห็นทุกสิ่งกลายเป็นสีชาดไปเสียหมด
“ท่านอ๋องเจ้าคะ...”
ไป๋เหม่ยหลานหันไปเรียกเจ้าบ่าวในชุดสีชาดข้างกายนาง ชายร่างสูงสง่าหันมาให้ความช่วยเหลือ ให้นางวางฝ่ามือบนท่อนแขน นำพานางก้าวเดินในเรือนไม้กว้างขวางเพื่อตรงไปยังห้องหอ
ขนาดว่าสายตาของนางมองสิ่งใดไม่ชัดเจน เห็นจะสมคำเล่าลือว่าอ๋องผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก เป็นไปได้ว่าเขาอาจเป็นเทวดาเดินดิน ทั้งเค้าโครงของปลายจมูกโด่งเป็นสันคม คิ้วเข้มหนาที่โดดเด่นเหนือดวงตาเรียวรี ขณะสัมผัสถึงรอยยิ้มอบอุ่นผ่านใบหน้าหล่อเหลาแลดูคุ้นตานางเป็นอย่างมาก
ทุกสิ่งเป็นธรรมเนียมบนโลกมนุษย์ บุตรสาวที่ดี กตัญญูและเชื่อฟังบิดามารดาจำต้องก้าวผ่าน
ไป๋เหม่ยหลานเฝ้าปลอบใจตน นางนั่งลงบนฟูกนอนด้วยหัวใจตื่นเต้นสั่นไหว เมื่อถึงเวลาของเจ้าบ่าวจะใช้คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้า เพื่อส่งให้กับมารดาเจ้าสาว ในความหมายว่าทางเจ้าสาวเองและผู้ใหญ่มีใจที่ตรงกัน
ท่านอ๋องแลเห็นว่าเจ้าสาวมิได้มีมารดาเหมือนผู้อื่น นางมีเพียงบิดาจึงกล่าวอำลาผู้ใหญ่ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบสุขุม
“ไม่ต้องมากพิธี... รักษาน้ำใจนางเถิดท่านพ่อ ข้าเองก็มิได้มีท่านแม่เช่นเดียวกับนาง”
บิดายิ้มรับและจากไปในแววตาอาลัย จำต้องส่งบุตรสาวให้กับสามีของนางแล้ว เรือนหลังนี้ก็กำลังจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของบุตรสาว
เจ้าสาวในชุดสีชาดปักเย็บอย่างประณีต เพียงนั่งนิ่งงัน นางกำมือเยียบเย็น หลังได้ยินเสียงทุ้มนุ่มละมุนหู ไม่มีสักวันหนึ่งที่นางจะลืมเลือนสักเศษเสี้ยวของความทรงจำ
“แม่นางไป๋”
ตอนพิเศษ : เศษใบชาในถ้วยกระเบื้องที่มีควันลอยฉุยสลายไปในเวหา อาภรณ์สีนิลสะบัด ยินเฟิงปัดมือเบา ๆ ร่ายเวทปีศาจอย่างระวัง หลังปัดชาใบเล็กไม่ให้ระคายคอภรรยา ขณะก้มหน้ามองนางชักชวนเขาสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในฝั่งตรงกันข้าม ชาบนโต๊ะไม้ไม่พร่องไป นางไม่ดื่มมันเสียที“ไยเจ้าไม่รีบดื่มชาให้หมดถ้วยเสีย เย็นหน่อยก็จะไม่อร่อยแล้ว”“เจ้าค่ะ” นางยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปาก เหลือบตามองสามีที่ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกท้องนทีมืดสนิท บิดาสงสัยว่าบุตรชายของเขาออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน ไม่ทันสังเกตเห็นน้ำในถ้วยหายไป“เจ้าไม่ควรลืมดื่มชาเป็นอันขาด”“ข้าอาจลืมก็ได้”“ไม่ได้”ยินเฟิงได้คำตอบจากภรรยาในรอยยิ้มมีเลศนัย“ข้าจะลืมแน่...”หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าอธิบายเหตุผลของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยากตามใจนาง ซึ่งไม่เป็นผล เมื่อได้พูดคุยเรื่องบุตรกันทีไร ยากจะหาข้อสรุป...ไป๋เหม่ยหลานมิได้เชื่อฟังสามี นางกำลังนึกถึงช่วงเวลาสำคัญ ร้อยกว่าปีที่ผ่านพ้นมา ความเจ็บปวดทรมานจากการคลอดบุตรเพียงครั้ง ไม่เทียมเท่าความสุขล้นในอกมารดาบุตรชายตัวน้อย ‘อี้เฉิน’ เป็นบุตรชายที่น่ารักใคร่ นางเฝ้ามองเจ้าตัวน้อยนอนหลับใหล ในร่างของทารกและเ
หลังผ่านพ้นงานวิวาห์ในภพภูมิปีศาจ ร่างอรชรในอาภรณ์สีชาดงดงามพลันหายไปพร้อมกลุ่มไอหยินไป๋เหม่ยหลานตั้งใจไปนำของวิเศษมาให้สามี เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน นางใส่ใจกับการเป็นปีศาจและปรมาจารย์ปีศาจ สามีของนักเป็นอย่างมากทว่าระหว่างทางมีปีศาจจิ้งจอกฝีมือเก่งฉกาจเข้ามาขวางทาง ยื้อแย่งก้อนหินน่าอัศจรรย์ไป นางตบะไม่ถึงปีศาจตนนั้น ไม่ได้ของวิเศษจากถ้ำประหลาดที่ได้ยินมาว่ามันเพิ่มกำลังวังชา ทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนนานไปอีกนับหมื่นปี นางกลับเมืองเหยียนมือเปล่า พร้อมความเศร้าหมองจนนางเกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างผู้อ่อนแอ ขณะปลายเท้าล่องลอยในเวหา หยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง“วันนี้ข้าไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ไปทำเรื่องสำคัญก็คว้าน้ำเหลว ข้าควรมีวันหยุดเสียบ้าง” เสียงหวานบ่นพึมพำ กรงเล็บสีนิลสะอาดกรีดกรายผ่านริมฝีปากสีชาด การผัดหน้างดงามของนางจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย นางหันไปกล่าวกับสามีที่เหยียบยืนบนพสุธาตามหลังนางมาไม่นาน“ปีศาจควรมีวันหยุดพักผ่อน”“ปีศาจไม่มีวันหยุด”“แล้วจะต้องเหน็ดเหนื่อยไปตลอดกาลเลยหรือ? แค่เฉพาะการบำรุงบำเรอใจสามีอสรพิษในภพภูมิปีศาจ ร่างของข้าแทบป่นเป็นเถ้าธุลี”“นับตั้งแต่เราส
“ย่อมได้ เมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น เราจะไปเยี่ยมบิดาของเจ้าด้วยกัน เราสาม...” รับปากแล้วมือหนาพลันปลดเปลื้องอาภรณ์ กองหล่นบนพื้นไม้เป็นเงามัน เลื่อนสายตามองไปทั่วทุกอณูกายขาวผ่องงาม หน้าท้องแบนราบปรากฏกลุ่มอายสีดำวนเวียนอยู่เหนือสะดือสวยยินเฟิงเข้าใจภรรยาว่าคงไม่คุ้นชินกับร่างกายซึ่งค่อย ๆ กลายเป็นอสรพิษร้าย ที่มีความอิจฉาริษยาเช่นปีศาจสตรี นางใจร้อน ไม่โอนอ่อนตาม นางกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวนไม่น้อยขณะมือเรียวลูบบ่ากว้างของบุรุษร่างกำยำ สตรีในอาภรณ์งดงามสีนิลปักทอด้วยลวดลายอสรพิษ เผยอริมฝีปากรับจูบอ่อนหวานของสามีจูบของนางกลับกลายเป็นเร่าร้อนเมื่อเขาเป็นฝ่ายริเริ่ม หลังมื้ออาหารในทุกเช้าค่ำ นางคืบคลานเข้าหา หากสามีไม่เป็นฝ่ายเปิดศึกสู้รับกับนางบนฟูกนอนยับเยิน พร่ำบอกคำรักด้วยการสานราคะ จนกว่าจันทราสีชาดจะลับคล้อยไปในความมืดของเมืองเหยียนในภพภูมิปีศาจ ซึ่งไม่เคยพบแสงตะวันเมื่อสะโพกกลมกลึงยกขึ้น บุรุษร่างกำยำถูกผลักติดกับหัวเตียงไม้สนแดง นางใช้พลังเวททั้งหมดบังคับให้เขาอยู่ใต้อาณัติ ลวดลายที่สลักอย่างงดงามเหล่านั้นกลายเป็นอสรพิษที่มีชีวิต เลื้อยไหลผ่านฟูกนอนและสองเรือนร่างที่สอดประสาน
“ท่านจะไม่สูญเสียข้าไป ส่วนข้าก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามท่าน ข้ามีความคิดว่า...” สองมือเรียวผลักอกสามีให้ออกห่างนาง นัยน์ตาสีชาดเบิดกว้างทอประกายชิงชัง “ทำลายใบหน้าหล่อเหลาของท่านเสีย น่าจะสิ้นเรื่องกระมัง”ไม่พูดเปล่า กรงเล็บสีนิลผงาดกางขึ้น ขณะดวงตาคู่สวยสีชาดสั่นไหวลังเล แม้ใจนางปรารถนาจะกรีดใบหน้าหล่อเหลาให้เสียโฉมนัก ด้วยความโง่เง่าของนาง ยังคิดว่าสมควรตัดเจ้ามังกรร้ายทิ้งไปให้หมดทั้งยวง เพราะคงมิใช่เพียงใบหน้าคมคาย บุรุษผู้นี้สามารถสรรค์สร้างความสำราญใจให้สตรีสามีเพียงจับข้อมือเล็ก ๆ ของนางไว้ จูบกรงเล็กและเขี้ยวขาวคมตรงมุมปากสีชาด“เก็บเขี้ยวเล็บของเจ้าไว้ขบกัดสามีจะดีกว่าไหมเล่า? ข้ายังมิได้ต้อนรับการกลับมาของเจ้าเลย ศิษย์ไป๋”แววตารุ่มร้อนทอประกาย จ้องมองแก้มแดงซ่านของภรรยา หลบเลี่ยงสายตาของเขาไปไป๋เหม่ยหลานอดกลั้นจิตใจ มองผ่านหน้าตาบานกว้างสลักลายอสรพิษและปีศาจ สุดสารพัดจะจินตนาการ ท้องนภาปรากฏดวงดาราทอแสงระยิบระยับ ไม่ต่างไปจากยามราตรีโลกมนุษย์ ทว่ากลางนภากว้างมีจันทราสีชาด ส่องสว่างงดงาม สะท้อนลงบนผืนน้ำสีนิลสะอาด------------บทสุดท้าย终章สามียินยอมพร้อมรับการจิกข่วนจากก
ในน้ำเสียงเศร้าหมองนั้น มือหนาเฝ้าลูบไล้ผิวกายนุ่มเนียน ละเอียดไปทั่วทุกอณู ซึ่งถูกหยุดอายุขัยไว้เพียงสิบเก้าปี ถึงแม้ว่าอารมณ์ราคะกำหนัดจะรุมเร้าอย่างหนัก เขาขยับอ้อมแขนกระชับกอดนางให้รู้สึกอุ่นปลายจมูกโด่งเป็นสันคมเฝ้าซุกไซ้หาความสำราญจากเรือนร่างนุ่มหอม ราวกับว่านางเป็นปั้นดิน แตกต่างที่นางยังคงเป็นนาง เป็นกลิ่นของนางยินเฟิงมีความเชื่อว่านางเพียงหลับใหลในนิทรา อันจะนำพาสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่พบเห็นว่านางพักผ่อนมากขึ้นเมื่อจำต้องต่อสู้กับพลังอาฆาตแค้นและราคะของปีศาจ นับตั้งแต่ปลูกถ่ายกระดูกเซียนให้นางบนโลกมนุษย์มาเจ็ดเดือนกว่า ครั้งสุดท้ายนั้นเป็นลูกแก้วอสรพิษนางควรลืมตาขึ้นในอีกไม่ช้า เขาจำต้องเฝ้ารอนางอย่างใจเย็น‘หากข้าเศร้าหมองใจ เจ้าคงเป็นทุกข์ไปด้วย เมื่อใดเจ้าลืมตาตื่น ก็ควรจะเป็นวันที่ดีของเจ้า ไป่ไป๋...’สตรีในอ้อมแขนเป็นผู้เดียวในทั่วทุกพรหมโลกที่ทำให้บุรุษร่างกำยำโศกศัลย์อาลัย เขาจ้องมองใบหน้างดงามนิ่งสงบเช่นเดิม มือหนาสะบัดไปมาในอากาศ ปรากฏผ้าผืนใหญ่สีนิลสนิท ห่มคลุมเรือนกายอรชรมิดชิด ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวเหมันต์ ผ่อนลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา“อื้อ...”
เมื่อมองอีกครั้งหนึ่งงูเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีนิลสนิท ในห้วงฝันนางพบสตรีในอาภรณ์งดงามหัวเราะร่าเริง นางมีใบหน้างดงามอ่อนหวาน‘โอ้... ไป๋เหม่ยหลาน... ศิษย์ไป๋ของท่านเหลือเพียงโครงกระดูก’‘ท่านอาจารย์จะยอมลืมเลือนเรื่องราวระหว่างท่านและนางหรือ?’สตรีอสรพิษคลับคล้ายคลับคลาที่นางเคยพบจากโถดึงความทรงจำ แลเห็นอาจารย์ยินเฟิงในสภาพน่าอดสู ร่างกายผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น ทำร้ายหัวใจดวงน้อย ๆ ของนางนักนางได้ยินทั้งสองยื่นข้อเสนอต่อรอง ซึ่งสำหรับอาจารย์ยินเฟิงขอเพียงจดจำนางไว้ในห้วงความทรงจำ หากเป็นไปได้ก็จะออกตามหานางสุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่เข้าใจ...ไยท่านอาจารย์ไม่ลืมนางไปเสีย เมื่อมีวาสนาต่อกันย่อมได้กลับมาพบกันอีกในภพหน้า เขากลับยอมกลายเป็นอสรพิษ เพื่อเก็บความทรงจำระหว่างอาจารย์-ศิษย์ เพื่อให้ได้กลับมาครองคู่นางอย่างสามีภรรยา...---------------ยินเฟิงคงไม่อยู่รอพบหมอหลวงจากราชสำนัก เพียงรอท่านโหวผู้มาเยี่ยมเยียนบุตรสาว ก่อนที่จะหันหลังกำมือแน่นแล้วเดินจากไปฉางผิงโหวรู้แก่ใจดีว่าวันนี้จะมาถึงในสักวัน ไม่สามารถรั้งบุตรสาวซึ่งไม่ใช่บุคคลบนโลกมนุษย์เอาไว้ได้ นาง







