ซูจิ้งรู้สึกว่าลำคอของตนตีบตัน นางไม่สามารถเอ่ยวาจาตัดรอนองครักษ์หนุ่มได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แม้จะไม่แน่ใจว่าตนเองคิดกับเขาเช่นไร แต่รู้สึกปวดร้าวเหลือเกินที่ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้น
“ผู้น้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ”
คำตอบของซูจิ้งทำให้ซิ่นเฉิงมั่นใจว่านางเองก็มีความรู้สึกให้กับเขาเช่นเดียวกัน องครักษ์หนุ่มพลันกระชับมือแล้วขยับเข้าใกล้นาง นัยน์ตาสีเข้มจดจ้องดวงหน้าสตรีตรงหน้าอย่างแน่วแน่
“ข้ายังมีสิทธิ์ใช่หรือไม่” ซิ่นเฉิงเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านพูดอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” ซูจิ้งหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาคมนั่น หัวใจเต้นระรัวขึ้นทุกขณะ
“หากเจ้ายังคงลังเลไม่แน่ใจ แสดงว่าแท้จริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้รังเกียจข้า เช่นนี้แล้วให้โอกาสข้าคบหากับเจ้าดูสักครั้งได้หรือไม่ และเพื่อไม่ให้มีผู้ใดมาครหา ข้ายินดีหมั้นหมายกับเจ้าไว้ก่อน” ซิ่นเฉิงดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงเข้มขรึมเจือความตื่นเต้นยินดีอยู่รางๆ
“มะ...ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านเลิกพูดเรื่องนี้เถิด คุณชายรองไม่มีวันยอมให้ข้าหมั้นหมายกับท่านแน่” ซูจิ้งเบิกตากว้างด้วยใจหวาดกลัว นางไม่อยากเห็นองครักษ์ผู้นี้ตายอย่างอนาถ
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เหตุใดต้องหวาดกลัวนักเล่า” ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น หากนางไม่ใช่อนุบ่าวของกุนซือหนุ่ม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้านางต้องการสานสัมพันธ์กับตน
“คุณชายรองไม่ชอบท่าน สั่งข้าเอาไว้ไม่ให้ยุ่งกับท่าน” สาวน้อยตอบเสียงเบา
“ข้าไม่สนใจ เจ้ามาอยู่จวนฉินอ๋องในฐานะสินสมรสของหวางเฟย ยามนี้ถือว่าเจ้าเป็นคนของจวนอ๋อง เยี่ยนกุนซือไม่มีสิทธิ์อันใดมาสั่งการเจ้าอีกแล้ว”
“แต่...คุณชายรองไม่มีทางสนใจกฎพวกนี้ เขาสามารถทำได้ทุกอย่างหากต้องการ ในเมื่อเขาบอกว่าเกลียดท่าน ก็จะไม่มีวันยอมเลิกราเด็ดขาด ข้าไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องพบกับเรื่องไม่ดีในภายหลัง”
“ไม่เห็นจะยาก เราทั้งคู่ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับผู้ใดก็สิ้นเรื่อง หากไม่มีข่าวเล็ดลอดไปถึงหูของท่านกุนซือ เจ้ากับข้าก็สามารถคบหากันได้โดยสะดวก เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ข้าจะขอให้ท่านอ๋องออกหน้าให้ เพียงเท่านี้ข้าก็รับผิดชอบเจ้าได้แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ หากท่านจะทำเช่นนี้เพียงเพื่อแสดงความรับผิดชอบเหตุการณ์ในวันนั้น ข้าก็ไม่ต้องการ” ซูจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางไม่พอใจนักที่ทั้งเยี่ยนจิ้นหลิงและซิ่นเฉิงต่างเอาแต่พูดเรื่องความรับผิดชอบ ราวกับนางเป็นเพียงภาระที่พวกเขาต้องจัดการ
พอได้ฟังองครักหนุ่มก็ยิ้มที่มุมปาก รู้สึกหวานล้ำในใจ ที่แท้ซูจิ้งก็คิดมากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเขาก็ควรพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา
“หากข้าไม่ชอบเจ้า ก็คงไม่อยากรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ซูจิ้งมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง
“หมายความว่า ซิ่นเฉิงชอบจิ้งเอ๋อร์ ขอโอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ความจริงใจสักครั้งเถิดนะ” เขาดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดแล้วโน้มศีรษะลงแตะจุมพิตบนไรผมหอมกรุ่น
“ท่านองครักษ์ซิ่น...” เสียงนางเบาจนหายไป หัวใจเต้นระส่ำไม่อาจควบคุม ยามนี้บุรุษผู้ชิงจูบแรกจากนางไปกำลังอ้อนวอนขอความรักกับตนเองอยู่
“รับปากเถิด”
“คือว่า...ข้า...” ซูจิ้งอึกอัก
“จิ้งเอ๋อร์...ได้โปรด” องครักษ์หนุ่มเว้าวอน มือเชยคางงสาวน้อยขึ้น เขาสบนัยน์ตาหวานของสตรีตรงหน้าด้วยประกายที่เต็มไปด้วยความวาดหวัง
“กะ...ก็ได้เจ้าค่ะ” ซูจิ้งตอบออกไปราวกับคนละเมอ นางไม่สามารถต้านทานสายตานั้นได้อีกต่อไป
ซิ่นเฉิงโน้มศีรษะลงมาช้าๆ จนหน้าผากของพวกเขาชนกัน ทั้งสองสบนัยน์ตากันเนิ่นนาน ลมหายใจอุ่นรดดวงหน้าของแต่ละฝ่าย ชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นรั้งท้ายทอยของนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งโอบกระชับให้เรือนกายหอมเข้าแนบชิด จนในที่สุดริมฝีปากบางก็ครอบครองกลีบปากสีกุหลาบอย่างสมบูรณ์ เขาบรรจงจุมพิตอย่างทะนุถนอม ไม่ดุดันรุนแรงเท่าตอนที่อยู่ในสวนตะวันออกของวังหลวง
ซูจิ้งเหมือนถูกสูบวิญญาณออกไป สัมผัสครานี้ของชายหนุ่มช่างวาบหวามยิ่งนัก ลิ้นร้อนค่อยๆ ล่อหลอกหยอกเย้าให้นางเผยอริมฝีปากรับ ลิ้นนางเกี่ยวกระหวัดรับรสบุรุษช้าๆ สร้างกระแสรัญจวนยิ่งกว่าครั้งก่อน
ครั้นเห็นว่าตนเองจูบจนนางหายใจแทบไม่ทัน ซิ่นเฉิงจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เขาต้องการจะหยุดเวลาไว้เหลือเกิน
‘นี่หรือคือความรู้สึกยามรักชอบสตรีสักคน’
ครานี้ซิ่นเฉิงพอจะเข้าใจผู้เป็นนายแล้ว เพราะเหตุนี้นี่เองท่านอ๋องจึงได้ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ได้อยู่กับหวางเฟย
“ซูจิ้ง ข้าสัญญาว่าจะดีต่อเจ้า” องครักษ์หนุ่มกระซิบคำมั่น นัยน์ตาสีดำดุจราตรีจ้องจดจ้องนางอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับสตรีใดมาก่อน เจ้าทำให้ข้านึกอยากมีใครสักคนเคียงข้างกาย”
“บุรุษก็ปากหวานเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ความจริงเป็นเช่นไร กว่าสตรีอย่างเราจะล่วงรู้ก็ชอกช้ำใจไปเสียแล้ว” นางกล่าวดัก
“ข้าไม่ใช่บุรุษเช่นที่เจ้าหวาดกลัว” ซิ่นเฉิงกระซิบพลางกระชับอ้อมแขนขึ้นเพื่อให้นางมั่นใจ
“ขอให้จริงดังว่า มิเช่นนั้นข้าจะขอให้ท่านอ๋องสับท่านแล้วโยนลงบ่อไปซะเลย”
“ผู้หญิงของข้า...ช่างโหดร้ายเสียจริง” องครักษ์หนุ่มกลั้วหัวเราะ สาวน้อยยังช่างเจรจา เวลานางพูดประชดประชันก็แลดูน่ารักมาก
“ท่านก็ควรกลัวเอาไว้ จะได้ไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง”
“ซิ่นเฉิงกลัวแล้วขอรับ” องครักษ์หนุ่มหยอกเย้าสตรีตัวน้อยแล้วก้มลงจุมพิตบนพวงแก้มสีชมพูระเรื่อของนางอีกทีหนึ่ง ผิวพรรณของซูจิ้งจัดว่างามมาก เนียนนุ่มและหอมหวานไม่แพ้นางกำนัลชั้นหนึ่งในวังหลวง มือของนางไม่ได้สากด้านเช่นสาวใช้ทั่วไป แสดงว่าจวนไคกั๋วกงดูแลนางเป็นอย่างดี
พอเข้าใจกันแล้วซิ่นเฉิงก็ยังไม่ยอมปล่อยซูจิ้งออกจากอ้อมกอดง่ายๆ เขาประทับจุมพิตลงตรงใบหูของดรุณีน้อยแล้วขบเบาๆ ร่างบางสั่นสะท้าน เขาได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นถี่จึงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าตน
“จิ้งเอ๋อร์...” ชายหนุ่มกระซิบเรียกชื่อนางเบาๆ แล้วครอบครองกลีบปากสีชมพูอีกครั้งหนึ่ง
ซิ่นเฉิงลิ้มรสจุมพิตอันแสนหวานมิรู้เบื่อ ซูจิ้งจิตใจล่องลอยยอมให้เขาทำตามใจ จนในที่สุดนางก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบบุรุษ
ทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม ซูจิ้งลืมสิ้นซึ่งคำเตือนของเยี่ยนจิ้นหลิง
“ไม่รู้ แล้ววาดออกมาได้อย่างไร” ถางซือเซินเริ่มมึนงง ดูท่าปัญหาของฉินอ๋องคงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าสตรีผู้นี้คือนางในฝันของข้า”“นางในฝัน! นี่ท่านอ๋องหมายถึงในความฝันตอนหลับน่ะหรือ” เขาเบิกตากว้าง พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ ก็ยิ่งตกใจ “ให้ตายเถอะ ท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่ไหม” “อืม” มู่เลี่ยงหรงยอมรับสั้นๆ แล้วพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมกลบเกลื่อนความอับอาย เริ่มนึกเสียใจที่พูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นถางซือเซินสะบัดศีรษะเมื่อภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นทับซ้อนรูปนี้อีกครั้ง บุรุษผู้นั้นมีใบหน้างดงามกว่าสตรี แต่เขาก็ไม่ควรคิดเรื่องบัดสีนี้ขึ้นมาเลย ‘ไม่สิ ท่านอ๋องไม่มีทางรักชอบหลงหยาง แต่หากท่านอ๋องพึงใจสตรีที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่’เห็นสหายครุ่นคิดและทำหน้าแปลกๆ มู่เลี่ยงหรงก็เข้าใจว่าถางซือเซินคงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว ก็แน่ล่ะ จะมีผู้ใดหลงรักผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในความฝันกัน“เอาเถิดซือเซียน ข้าเข้าใจ แม้แต่ข้าเองก็รู้สึกว่าอาจจะกำลังเป็นบ้า” มู่เลี่ยงหรงคว้าภาพวาดสตรีในฝันแล้วม้วนเก็บอย่างทะนุถนอม“ม
แสงเรืองรองสาดส่องจนทั่วบริเวณ แลเห็นความงดงามที่รายล้อม ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิดอกหอมกรุ่นยั่วยวนหมู่ภมร บุรุษในอาภรณ์สีดำหรูหราค่อยๆ ย่างเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้า จนพบต้นหลิวขึ้นอยู่ริมบึงใหญ่ ไอหมอกสีขาวลอยเหนือนผิวน้ำ เขาเดินเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่และย่อกายลงก่อนจะเอนหลังพิงลำต้นอันขรุขระไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยเข้าสู่โสตปลุกชายหนุ่มให้ตื่นตัว เขามองไปยังต้นกำเนิดเสียงเพื่อมองหาผู้มา นัยน์ตาสีนิลสะท้อนเงาร่างของสตรีงามเฉิดฉัน นางเคลื่อนกายมาทางที่เขานั่งเขนกรออยู่ รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏบนใบหน้านางผู้นั้นโฉมสะคราญเยื้องกรายมาทางต้นหลิวอย่างไม่รีบไม่ร้อน สุดท้ายนางก็ย่อกายลงเคียงข้างกับเขา รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้างามราวเทพธิดา ไม่ว่าจะปาก คอ คิ้ว ล้วนไม่มีรอยตำหนิประหนึ่งผลงานชั้นเลิศของช่างฝีมือ“พระจันทร์ดวงน้อยของข้า วันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักทาย“พบกันกี่ครั้งท่านก็พูดเช่นนี้” หญิงงามอมยิ้ม“ข้าไม่เคยโป้ปด หากงามก็บอกว่างาม”“ท่านก็มิเลว”“แค่มิเลวเท่านั้นหรือ ใจร้ายเสียจริง”“ข้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ ท่านก็รู้”“ข้ามิรู้อันใดเลยต่างหาก”“แต่ท่านก็ยังอยากพบข้าไม่ใช
“จงหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงกัมปนาทสะท้านกึกก้อง กระแสกดดันเย็นยะเยือกแผ่ลาม ฮ่องเต้มู่เหวินหลงกับฮองเฮา และถางซือเซินก้าวเข้ามาห้ามได้ทันท่วงทีจ้าวเฟิงเหลยชะงักงัน เก็บดาบในมือลง ยืนก้มหน้านิ่ง เยี่ยนจิ้นหลิงประคองถางซือเซียนให้คุกเข่าลงช้าๆ“เฟิงเหลย ข้าให้เจ้ามาล่าสัตว์ ไม่ได้ให้มาทำร้ายคน” มู่เหวินหลงตำหนิพระญาติ“เป็นเพราะเยี่ยนจิ้นหลิงรังแกเซียนเอ๋อร์ ข้าทนไม่ได้จึงเข้าไปช่วยเหลือ” จ้าวเฟิงเหลยพยายามอธิบาย“เยี่ยนจิ้นหลิง เจ้าทำอะไรน้องสาวข้า” ถางซือเซินหน้าซีด เขามองคนทั้งสองสลับไปมา ในจิตใจรุ่มร้อน ทำไมน้องสาวของตนต้องพบแต่บุรุษที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกับคุณหนูถางเพียงทานขนมกับน้ำชา นั่งชมจันทร์กันอยู่อย่างเปิดเผย เป็นจ้าวจวิ้นอ๋องเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือหนุ่มเล่าเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง“หืม...ว่ายังไงถางซือเซียน” มู่เหวินหลงเอ่ยถามตัวต้นเหตุของเรื่อง นางเพิ่งจะอายุสิบห้า แต่พาให้บุรุษวิวาทกันเสียแล้ว“หม่อมฉันกำลัง...กำลัง...” ถางซือเซียนยังคงงุนงงและตกใจ จึงไม่มีสติพอว่าตอบอย่างไร“เห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางไม่คล้อยตามคนผู้นั้น” จ้าวเฟิงเหลย
“ข้าไม่ชอบพูดมาก ถ้าหากเจ้าจำไม่ได้และไม่ยินดีจะเป็นของข้า เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมกอดทันที เขาลุกขึ้นแล้วขยับเท้าหมายจะจากไปแบบดื้อๆ“คะ...คนบ้า พูดเองเออเองทุกสิ่ง ข้าไม่เคยเป็นของท่าน จะเอาอะไรมาจำได้อย่างไรเล่า” ถางซือเซียนมีโทสะเล็กน้อย เขาทำให้นางงุนงงแล้วก็จะทิ้งตนไว้ข้างหลังอีกครั้งบุรุษผมสีเงินหยุดยืนนิ่งไม่ขยับกายต่อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่กำลังสับสน“คุณหนูถาง ข้าคร้านจะเท้าความ ชอบก็คือชอบแค่นั้นเอง ถึงแม้จะเอ่ยเหตุผลออกไปเจ้าก็ถามต่ออยู่ดี สู้ยอมรับแล้วทำตามจะง่ายกว่า”“แต่ว่าข้าอยากรู้เหตุผลนี่” นางลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มจากด้านหลัง ดรุณีน้อยยืนมองเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย‘อย่างน้อยบอกข้าสักคำว่าท่านชอบข้า’ เสียงในหัวใจของสาวน้อยพยายามอ้อนวอนเขาบุรุษผมสีเงินหันกลับมา เขาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่ยืนจ้องแผ่นหลังของตนเมื่อครู่ ในความคิดของกุนซือหนุ่มสตรีผู้นี้ช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน ตั้งคำถามนั่นนี่ไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าแม้ตนจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงออกไป นางก็คงจะยังกังวลสงสัยไม่จบสิ้น เช่นน
เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งไม่ขยับ บุรุษผมสีเงินจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงไปเรื่อยๆ จนขนมดอกกุ้ยแนบชิดติดกับริมฝีปากของนาง นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอย่างรอคอยหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ บัดนี้ริมฝีปากของเขากับนางมีเพียงขนมชิ้นเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ นางไม่อาจต้านทานอำนาจกดดันของชายหนุ่มได้อีกต่อไป สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงเผยอปากสีแดงระเรื่อที่กำลังสั่นเทาออกช้าๆ แล้วงับลงไปบนขนมทีละคำทั้งที่หวั่นใจถางซือเซียนค่อยๆ กัดเล็มความหวานทีละนิด...ทีละนิด นางไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา อีกทั้งยังไม่กล้าหยุดปากของตนจึงจำต้องละเลียดกินขนมไปเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดชิ้นสาวน้อยชะงัก เมื่อระยะห่างของทั้งสองลดลงจนถึงขีดสุด หากตนกินขนมนี้อีกเพียงคำเดียว ริมฝีปากของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกันอย่างแน่นอน'ข้ากำลังจะจูบเขา'เยี่ยนจิ้นหลิงอดทนรอคอยอย่างใจเย็น ชายหนุ่มไม่ขยับกายถอยหนีแม้แต่ครึ่งชุ่น มือร้อนขยับลูบไล้เอวบางเบาๆ เขายังคงจดจ้องดวงตากลมโตสุกใสของสาวน้อย นัยน์ตาหงส์แสดงความเผด็จการของตนออกมาอย่างชัดเจน‘ลงมือสิสาวน้อย’ถางซือเซียนตัดสินใจกัดขนมคำสุดท้ายอย่างกล้าๆ กลัวๆริมฝีปากอิ่มงามอันสั่นระริกแนบชิดกับริมฝีปากบางใ
ตอนพิเศษ4ใต้แสงจันทร์ริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโชยพัดกิ่งสนไหวโยก ถางซือเซียนนั่งจิบชาพร้อมทานขนมดอกกุ้ย ชมพระจันทร์อย่างเบิกบาน เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สาวน้อยจึงมั่นใจว่าเยี่ยนเยว่ฉีคงไม่ตามมา เลยตั้งใจว่านั่งเล่นอีกสักพักแล้วจะกลับไปพักผ่อน“เสี่ยวลี่ เจ้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ข้าจะนั่งกินขนมอีกพักหนึ่ง จากนั้นจะตามกลับไป”“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวลี่รีบปฏิบัติตามคำสั่งเพราะเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยดี จึงกล้าทิ้งนายหญิงของตนเอาไว้ถางซือเซียนนั่งจิบชาชมจันทร์อย่างอ้อยอิ่ง นางมองลงบนทะเลสาบเห็นคลื่นน้ำสั่นไหวจากแรงลม สะท้อนภาพแสงจันทร์ดูระยิบระยับงดงาม บรรยากาศแสนรื่นรมเช่นนี้เหมาะแก่การแต่งกลอนหรือเล่นดนตรีสักบทเพลงหนึ่ง สาวน้อยพลันนึกเสียดายที่ไม่ได้เตรียมพิณของตนมาจากจวนด้วย“ทำไมเจ้ามานั่งเพียงผู้เดียว” เสียงทุ้มนุ่มปลุกหญิงสาวจากภวังค์ เป็นเยี่ยนจิ้นหลิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาทอดไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า“ซือเซียนรอหวางเฟยอยู่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ“หวางเฟยอยู่กับท่านอ๋อง คงมานั่งเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่เป็นไร ข้ามีพระจันทร์เป