ซูจิ้งรู้สึกว่าลำคอของตนตีบตัน นางไม่สามารถเอ่ยวาจาตัดรอนองครักษ์หนุ่มได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แม้จะไม่แน่ใจว่าตนเองคิดกับเขาเช่นไร แต่รู้สึกปวดร้าวเหลือเกินที่ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้น
“ผู้น้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ”
คำตอบของซูจิ้งทำให้ซิ่นเฉิงมั่นใจว่านางเองก็มีความรู้สึกให้กับเขาเช่นเดียวกัน องครักษ์หนุ่มพลันกระชับมือแล้วขยับเข้าใกล้นาง นัยน์ตาสีเข้มจดจ้องดวงหน้าสตรีตรงหน้าอย่างแน่วแน่
“ข้ายังมีสิทธิ์ใช่หรือไม่” ซิ่นเฉิงเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านพูดอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” ซูจิ้งหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาคมนั่น หัวใจเต้นระรัวขึ้นทุกขณะ
“หากเจ้ายังคงลังเลไม่แน่ใจ แสดงว่าแท้จริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้รังเกียจข้า เช่นนี้แล้วให้โอกาสข้าคบหากับเจ้าดูสักครั้งได้หรือไม่ และเพื่อไม่ให้มีผู้ใดมาครหา ข้ายินดีหมั้นหมายกับเจ้าไว้ก่อน” ซิ่นเฉิงดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงเข้มขรึมเจือความตื่นเต้นยินดีอยู่รางๆ
“มะ...ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านเลิกพูดเรื่องนี้เถิด คุณชายรองไม่มีวันยอมให้ข้าหมั้นหมายกับท่านแน่” ซูจิ้งเบิกตากว้างด้วยใจหวาดกลัว นางไม่อยากเห็นองครักษ์ผู้นี้ตายอย่างอนาถ
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เหตุใดต้องหวาดกลัวนักเล่า” ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น หากนางไม่ใช่อนุบ่าวของกุนซือหนุ่ม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้านางต้องการสานสัมพันธ์กับตน
“คุณชายรองไม่ชอบท่าน สั่งข้าเอาไว้ไม่ให้ยุ่งกับท่าน” สาวน้อยตอบเสียงเบา
“ข้าไม่สนใจ เจ้ามาอยู่จวนฉินอ๋องในฐานะสินสมรสของหวางเฟย ยามนี้ถือว่าเจ้าเป็นคนของจวนอ๋อง เยี่ยนกุนซือไม่มีสิทธิ์อันใดมาสั่งการเจ้าอีกแล้ว”
“แต่...คุณชายรองไม่มีทางสนใจกฎพวกนี้ เขาสามารถทำได้ทุกอย่างหากต้องการ ในเมื่อเขาบอกว่าเกลียดท่าน ก็จะไม่มีวันยอมเลิกราเด็ดขาด ข้าไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องพบกับเรื่องไม่ดีในภายหลัง”
“ไม่เห็นจะยาก เราทั้งคู่ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับผู้ใดก็สิ้นเรื่อง หากไม่มีข่าวเล็ดลอดไปถึงหูของท่านกุนซือ เจ้ากับข้าก็สามารถคบหากันได้โดยสะดวก เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ข้าจะขอให้ท่านอ๋องออกหน้าให้ เพียงเท่านี้ข้าก็รับผิดชอบเจ้าได้แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ หากท่านจะทำเช่นนี้เพียงเพื่อแสดงความรับผิดชอบเหตุการณ์ในวันนั้น ข้าก็ไม่ต้องการ” ซูจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางไม่พอใจนักที่ทั้งเยี่ยนจิ้นหลิงและซิ่นเฉิงต่างเอาแต่พูดเรื่องความรับผิดชอบ ราวกับนางเป็นเพียงภาระที่พวกเขาต้องจัดการ
พอได้ฟังองครักหนุ่มก็ยิ้มที่มุมปาก รู้สึกหวานล้ำในใจ ที่แท้ซูจิ้งก็คิดมากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเขาก็ควรพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา
“หากข้าไม่ชอบเจ้า ก็คงไม่อยากรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ซูจิ้งมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง
“หมายความว่า ซิ่นเฉิงชอบจิ้งเอ๋อร์ ขอโอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ความจริงใจสักครั้งเถิดนะ” เขาดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดแล้วโน้มศีรษะลงแตะจุมพิตบนไรผมหอมกรุ่น
“ท่านองครักษ์ซิ่น...” เสียงนางเบาจนหายไป หัวใจเต้นระส่ำไม่อาจควบคุม ยามนี้บุรุษผู้ชิงจูบแรกจากนางไปกำลังอ้อนวอนขอความรักกับตนเองอยู่
“รับปากเถิด”
“คือว่า...ข้า...” ซูจิ้งอึกอัก
“จิ้งเอ๋อร์...ได้โปรด” องครักษ์หนุ่มเว้าวอน มือเชยคางงสาวน้อยขึ้น เขาสบนัยน์ตาหวานของสตรีตรงหน้าด้วยประกายที่เต็มไปด้วยความวาดหวัง
“กะ...ก็ได้เจ้าค่ะ” ซูจิ้งตอบออกไปราวกับคนละเมอ นางไม่สามารถต้านทานสายตานั้นได้อีกต่อไป
ซิ่นเฉิงโน้มศีรษะลงมาช้าๆ จนหน้าผากของพวกเขาชนกัน ทั้งสองสบนัยน์ตากันเนิ่นนาน ลมหายใจอุ่นรดดวงหน้าของแต่ละฝ่าย ชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นรั้งท้ายทอยของนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งโอบกระชับให้เรือนกายหอมเข้าแนบชิด จนในที่สุดริมฝีปากบางก็ครอบครองกลีบปากสีกุหลาบอย่างสมบูรณ์ เขาบรรจงจุมพิตอย่างทะนุถนอม ไม่ดุดันรุนแรงเท่าตอนที่อยู่ในสวนตะวันออกของวังหลวง
ซูจิ้งเหมือนถูกสูบวิญญาณออกไป สัมผัสครานี้ของชายหนุ่มช่างวาบหวามยิ่งนัก ลิ้นร้อนค่อยๆ ล่อหลอกหยอกเย้าให้นางเผยอริมฝีปากรับ ลิ้นนางเกี่ยวกระหวัดรับรสบุรุษช้าๆ สร้างกระแสรัญจวนยิ่งกว่าครั้งก่อน
ครั้นเห็นว่าตนเองจูบจนนางหายใจแทบไม่ทัน ซิ่นเฉิงจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เขาต้องการจะหยุดเวลาไว้เหลือเกิน
‘นี่หรือคือความรู้สึกยามรักชอบสตรีสักคน’
ครานี้ซิ่นเฉิงพอจะเข้าใจผู้เป็นนายแล้ว เพราะเหตุนี้นี่เองท่านอ๋องจึงได้ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ได้อยู่กับหวางเฟย
“ซูจิ้ง ข้าสัญญาว่าจะดีต่อเจ้า” องครักษ์หนุ่มกระซิบคำมั่น นัยน์ตาสีดำดุจราตรีจ้องจดจ้องนางอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับสตรีใดมาก่อน เจ้าทำให้ข้านึกอยากมีใครสักคนเคียงข้างกาย”
“บุรุษก็ปากหวานเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ความจริงเป็นเช่นไร กว่าสตรีอย่างเราจะล่วงรู้ก็ชอกช้ำใจไปเสียแล้ว” นางกล่าวดัก
“ข้าไม่ใช่บุรุษเช่นที่เจ้าหวาดกลัว” ซิ่นเฉิงกระซิบพลางกระชับอ้อมแขนขึ้นเพื่อให้นางมั่นใจ
“ขอให้จริงดังว่า มิเช่นนั้นข้าจะขอให้ท่านอ๋องสับท่านแล้วโยนลงบ่อไปซะเลย”
“ผู้หญิงของข้า...ช่างโหดร้ายเสียจริง” องครักษ์หนุ่มกลั้วหัวเราะ สาวน้อยยังช่างเจรจา เวลานางพูดประชดประชันก็แลดูน่ารักมาก
“ท่านก็ควรกลัวเอาไว้ จะได้ไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง”
“ซิ่นเฉิงกลัวแล้วขอรับ” องครักษ์หนุ่มหยอกเย้าสตรีตัวน้อยแล้วก้มลงจุมพิตบนพวงแก้มสีชมพูระเรื่อของนางอีกทีหนึ่ง ผิวพรรณของซูจิ้งจัดว่างามมาก เนียนนุ่มและหอมหวานไม่แพ้นางกำนัลชั้นหนึ่งในวังหลวง มือของนางไม่ได้สากด้านเช่นสาวใช้ทั่วไป แสดงว่าจวนไคกั๋วกงดูแลนางเป็นอย่างดี
พอเข้าใจกันแล้วซิ่นเฉิงก็ยังไม่ยอมปล่อยซูจิ้งออกจากอ้อมกอดง่ายๆ เขาประทับจุมพิตลงตรงใบหูของดรุณีน้อยแล้วขบเบาๆ ร่างบางสั่นสะท้าน เขาได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นถี่จึงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าตน
“จิ้งเอ๋อร์...” ชายหนุ่มกระซิบเรียกชื่อนางเบาๆ แล้วครอบครองกลีบปากสีชมพูอีกครั้งหนึ่ง
ซิ่นเฉิงลิ้มรสจุมพิตอันแสนหวานมิรู้เบื่อ ซูจิ้งจิตใจล่องลอยยอมให้เขาทำตามใจ จนในที่สุดนางก็เรียนรู้ที่จะจูบตอบบุรุษ
ทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม ซูจิ้งลืมสิ้นซึ่งคำเตือนของเยี่ยนจิ้นหลิง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตะวันเคลื่อนคล้อยจนทอแสงเป็นสีส้ม เยี่ยนเยว่ฉีทำถุงใส่เครื่องหอมให้มู่เลี่ยงหรงเสร็จพอดีจึงตั้งใจจะไปพบสามีที่ห้องหนังสือ นางลุกขึ้นเดินไปทางตำหนักใหญ่ ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นกล่องใส่ขนมใบหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ริมสระบัวภาพขนมดอกกุ้ยกระจัดกระจายอยู่บนพื้นหญ้า‘เกิดอันใดขึ้น ทำไมกล่องขนมจึงถูกทิ้งเล่า’เมื่อครู่ไม่ใช่ถางซือเซียนบอกกับนางว่าจะนำขนมดอกกุ้ยกล่องนี้ไปให้เยี่ยนจิ้นหลิงหรอหรือ แต่เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาวน้อยอาจจะเผลอทำกล่องขนมหลุดมือ หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพี่ชายคนรองของนางกันระหว่างที่เยี่ยนเยว่ฉีกำลังครุ่นคิด มู่เลี่ยงหรงก็ออกมาจากห้องทำงานพอดี เขาก้าวเท้าเข้ามาหาพระชายาของตนทันที แต่พอเห็นนางสนใจสิ่งอื่นอยู่จึงมองตามสายตานั้นไป แล้วก็พบกับกล่องขนมนั่นด้วยเช่นกัน“เด็กๆ จงเก็บกล่องขนมนั้นขึ้นมา แล้วทำความสะอาดบริเวณนี้เสีย” มู่เลี่ยงหรงออกคำสั่ง ข้ารับใช้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรีบทำตามประสงค์ของเขาในทันที“ช่างเถิด มันไม่ใช่เรื่องของเรา” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเรียบแต่ข้าสงสัยว่าเซียนเอ๋อร์อาจจะมีเรื่องบางอย่างกับพี่รอง” ในที่สุด
“เพคะ” ถางซือเซียนรับคำ แล้ววางกล่องขนมใบใหญ่ไว้บนโต๊ะทำงานของมู่เลี่ยงหรง จากนั้นนางก็เดินจากไปเมื่อออกมาที่หน้าประตู นางหันไปบอกพี่ชายให้เข้าไปพบมู่เลี่ยงหรงได้ นางปรายสายตามองบุรุษผมสีเงินชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็ยังเสมองไปทางอื่นอยู่ดี ถางซือเซียนถอนหายใจ นางส่งตะกร้าให้เสี่ยวลี่ แล้วสาวเท้าไปตามทางเดินสู่เรือนพักของเฉิงจื่อหรูลมวสันต์พัดผ่านเหล่าบุปผานานาพันธุ์กระจายกลิ่นอันสดชื่นฟุ้งไปทั่วทั้งจวน ตำหนักจันทราถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ฉินอ๋องสร้างสะพานเชื่อมระหว่างตำหนักเพื่อความสะดวก อีกทั้งยังขุดสระบัวขนาดใหญ่พร้อมปลูกศาลาเอาไว้ให้พระชายาเอกนั่งเล่นพักผ่อน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความรักและใส่ใจสตรีของตนได้เป็นอย่างดีเยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งแต่งเข้าจวน มู่เลี่ยงหรงยังไม่ต้องการให้นางรับช่วงดูแลเรือนหลังในตอนนี้ อีกทั้งพระชายายังป่วยด้วยโรคลำดับเดือนของสตรี เขาจึงต้องการให้นางพักผ่อนให้มากที่สุดวังอ๋องอันใหญ่โตมีคนมากมายให้ต้องจัดการ เยี่ยนเยว่ฉีจึงคิดใช้โอกาสนี้สังเกตผู้คนไปก่อน เมื่อถึงเวลารับมอบหน้าที่ต่อจากเฉิงจื่อหรู นางจะได้จัดระบบใหม่ทั้งหมดหลังจากตื่นในตอนเช้า พระชายารองทั้งสาม
เมื่อถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ขาดแคลนกำลังทรัพย์ พวกคนร้ายย่อมระส่ำระสาย นอกจากนี้มู่เลี่ยงหรงสั่งให้ซิ่นเฉิงส่งองครักษ์ฝีมือดีไปลอบสืบข่าวที่จวนเอี้ยนอ๋อง หากสิ่งที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด อีกไม่นานย่อมต้องมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่นั่นอย่างแน่นอนเพื่อเป็นการชดเชยที่ก่อนหน้านี้เพียงพอนกับเจ้าจิ้งจอกบังอาจเห็นเขาเป็นตัวตลก ถึงแม้พระเชษฐาจะเป็นต้นคิด แต่เขาจะทำอันใดโอรสสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องให้ทั้งสองทำคุณไถ่โทษเสียแล้ว ส่วนถางซือเซียนหลังจากถูกเยี่ยนจิ้นหลิงช่วยเอาไว้ตอนงานชมงิ้ว นางก็เริ่มมีท่าทีที่แปลกไป หากนางฟ้าน้อยใจอ่อนกับเจ้าจิ้งจอกง่ายๆ เขาคงไม่ได้ชมความครึกครื้น เช่นนั้นคงต้องหาวิธีให้ความสัมพันธ์นี้สะดุดลงเสียก่อนล่วงเข้ายามซื่อ[1] อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับถางซือเซียนก็เดินทางมาถึงจวนฉินอ๋อง ทั้งคู่คิดว่ามู่เลี่ยงหรงเพียงชวนพวกเขาพี่น้องมาสังสรรค์ กินอาหารกลางวันร่วมกันดังเช่นที่ผ่านมา หารู้ไม่ว่าอ๋องหนุ่มต้องการเอาเรื่องสหายตัวดีอยู่สองพี่น้องตระกูลถางเดินมาตามระเบียงสู่ห้องหนังสือ พวกเขาประหลาดใจเมื่อพบเยี่ยนจิ้นหลิงยืนอยู่หน้าห้องอยู่ก่อนแล้ว ถางซือเซียนสาวเท้าเดินไปหาเขาพ
“พี่รอง...เยว่ฉีรักท่านมากกว่าผู้ใด ก่อนทำอันใดลงไปย่อมต้องคิดถึงความปลอดภัยของศีรษะท่าน ส่วนใต้เท้าถาง ก็มีน้ำหนักในใจของท่านอ๋องอยู่มาก เขาคงไม่เป็นอะไรเช่นกัน ส่วนถางซือเซียนนั้น...น้องสาวไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องจะเรียกนางมาด้วยเหตุใด”“เขาต้องการจะให้ข้าวิตกกังวลอย่างไรเล่า พรุ่งนี้ข้าคงต้องตามกลับไปด้วย”“นี่พี่รองจริงจังอย่างนั้นหรือ น้องสาวคิดว่าพี่รองแค่ทำเจ้าชู้ไปตามปกติเท่านั้น จึงไม่เคยสังเกต” เยี่ยนเยว่ฉีขมวดคิ้ว ปกติพี่ชายคนนี้มักมีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยจริงจัง และไม่มีผู้ใดจะทำให้จิ้งจอกเป็นกังวลได้“...” เยี่ยนจิ้นหลิงเม้มริมฝีปาก“ว่าอย่างไรเล่า นางคือคนที่ท่านหมายตา หรือว่าเป็นแค่เครื่องมือ”“น้องเล็ก เจ้าถามเหมือนเป็นห่วงนาง”“ถางซือเซียนเป็นเพียงหญิงสาวไร้เดียงสา หากท่านพี่จะหลอกลวงนางเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ข้าก็อยากจะขอให้ท่านทบทวนดูใหม่”“ใช่ นางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วอย่างไรเล่า”“หากท่านไม่บริสุทธิ์ใจก็ควรปล่อยนางไป”“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแทรกแซงเรื่องของข้า” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดตัดบท“พี่รอง ท่านอย่าได้ล้อเล่นกับหัวใจผู้อื่นให้มากนัก”“ฉีเอ๋อร์ หากข
“ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” มู่เลี่ยงหรงตกใจมาก เพราะสามหัวหน้าห้องเครื่องของวังหลวงเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่ทำอาหารโดยตรงเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นราชองครักษ์ใกล้ชิดผู้คอยควบคุมความปลอดภัยของอาหารที่จะถูกส่งไปให้ฮ่องเต้“เอ๋...ท่านอัครเสนาบดีไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ท่านพี่ฟังหรือ”“เกี่ยวอะไรกับซือเซิน”“ก็ท่านตาของข้าเป็นสหายกับเซวียนผิงโหวบิดาเขา เมื่อปีก่อนใต้เท้าถางยังไปเยี่ยมท่านแม่แทนท่านโหวกับท่านตาที่เมืองหานจีอยู่เลย”มู่เลี่ยงหรงโกรธถางซือเซินไม่น้อย แท้จริงแล้วพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ แต่เจ้าเพียงพอนตัวดีกลับเผยความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเหมือนไม่เห็นเขาในสายตา“ครอบครัวของพวกเจ้าคงสนิทกันมากสินะ”“แน่นอนสิเพคะ จะว่าไปท่านอ๋องก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าใต้เท้าถางถือเป็นศิษย์พี่ของพี่รองด้วย”“อืม ซือเซินคงเห็นว่าไม่สำคัญจนต้องเล่ากระมัง” มู่เลี่ยงหรงรักษาท่าทีสงบเอาไว้ ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน ทั้งที่ถางซือเซินสารภาพมาแล้วกึ่งหนึ่ง เพราะต้องการจะดูปฏิกิริยาของจิ้งจอกสีเงิน‘น้องเล็ก เจ้าต้องการสิ่งใดกัน’เยี่ยนจิ้นหลิงอยากจะห้ามน้องสาวก็ไม่ทันการณ์เสียแล้
“ทุกคนตามสบาย วันนี้ข้ามาในฐานะบุตรเขย ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายไม่ต้องมากพิธี” มู่เลี่ยงหรงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ“ท่านอ๋องพาพระชายากลับมาก่อนเวลา อาหารกลางวันจึงยังไม่เรียบร้อย ท่านตามพวกผู้ชายไปสนทนากันก่อน ส่วนหม่อมฉันขอพาหวางเฟยไปพูดคุยตามประสาแม่ลูกนะเพคะ” ไป๋หลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม“ย่อมได้” อ๋องหนุ่มพยักหน้าตอบรับไป๋หลันจึงจูงมือฉินหวางเฟยไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางมีเรื่องมากมายอยากจะถามไถ่ ด้วยแท้จริงเป็นห่วงบุตรสาวที่ต้องดูแลจวนอ๋องอันใหญ่โต คงจะลำบากมากทีเดียว ส่วนพวกผู้ชายก็เชิญฉินอ๋องไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกลบรรยากาศไม่ค่อยอึมครึมแล้ว หลังจากมู่เลี่ยงหรงแกล้งเมามายพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงแต่งงาน เยี่ยนหยางเจวี๋ยก็ดูจะพออกพอใจ ผู้เป็นอ๋องหวังว่าวันนี้พ่อตาจะไม่ทดสอบอะไรเขาอีกบุรุษทั้งสี่สนทนากันอย่างออกรส แม่ทัพใหญ่รู้สึกทึ่งบุตรเขยอยู่ไม่น้อย ฉินอ๋องมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เรื่องรบทัพจับศึกก็เชี่ยวชาญ ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้อย่างมาก เขานึกว่าอ๋องผู้นี้คงดีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปวันๆ ที่ได้ตำแหน่งสำคัญมาก็คงอาศัยพระบารมีของฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนตนจะมองผิด