เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซาน
เสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด
“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”
""พ่ะย่ะค่ะ""
“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า
“หนีไปทางหอซิงเฟย”
“ตามไป”
""พ่ะย่ะค่ะ""
หอซิงเฟย
ท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป
“ค้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”
สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อสตรีใบหน้างามดุจโบตั๋นแรกแย้มหันไปคว้าผ้ามาพันกายอีกครั้ง ดาบคมกริบหันไปมองรอบ ๆ ห้อง เขามั่นใจว่าเห็นคนร้ายวิ่งเข้ามาในนี้แน่ ๆ
“เจ้าเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“ข้าไม่เห็น หากจะผิดปกติก็มีเพียงท่าน กรี๊ด!!”
เสียงกรีดร้องของนางดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นนางรำอีกคนในชุดสีขาวที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา เมื่อเห็นท่านอ๋องก็กรีดร้องขึ้นเพื่อเรียกหาคนช่วย
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ มีคนร้ายฆ่าคนในห้อง”
“อะไรนะ! เสี่ยวอวี้รีบไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งไปตามทางที่คณิกาสาวผู้นั้นชี้บอกทาง แต่เมื่อเขาวิ่งไปถึงกลับพบสตรีอีกคนที่วิ่งตามออกมา
“หยุดนะ!”
“ท่านนั่นแหละหลีกไป ข้าจะตามคนร้าย”
“คนร้ายงั้นหรือ นี่เจ้า…”
“ระวัง!”
นางยกดาบขึ้นมาและปัดอาวุธลับเพื่อช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา พร้อมกันก็พุ่งอาวุธบางอย่างเฉียดริมแก้มของบุรุษหนุ่มอย่างเฉินตงหราน และโดนเป้าหมายในทันที
“ไอเย็นนั่น…”
แต่สตรีผู้นั้นมิได้รอ นางวิ่งผ่านเขาไปเพื่อจับคนร้ายที่กำลังล้มลงอยู่ด้านหลัง เมื่อหันไปจึงได้ทันเห็นนางดึงตัวคนร้ายขึ้นมา
“แม่นาง! ยั้งมือก่อน”
“เจ้าชั่วนี่พรวดพราดเข้ามาก็ฆ่าคน ท่านจะให้ข้าปล่อยมันอย่างนั้นหรือ… บอกมา เจ้าฆ่าเขาทำไม!”
“ระวัง เขากำลังจะฆ่าตัวตาย”
“พลั่ก!”
“ฮึก!”
สันมือของสตรีร่างบางฟาดลงไประหว่างคอของคนร้ายจนสลบคาพื้น นางยังใช้เท้าเตะที่ปากของคนร้ายที่พึ่งสลบไป ยาพิษที่อยู่ใต้ลิ้นนั้นกระเด็นออกมา เฉินตงหรานยังไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน
“แค่นี้ก็ฆ่าตัวตายไม่ได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าบอกว่ามันผู้นั้นฆ่าคน… ฆ่าผู้ใดงั้นหรือ”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงเสียงของทหารองครักษ์ที่เรียกเขาก็ทำให้ “หลิ่วอวิ๋นซี” หันมาสนใจเขาในทันที ในคราแรกคิดว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ทหารของทางการที่ตามจับคนร้ายเท่านั้น
‘เขาก็คือพยัคฆ์อุดร เทพสงครามแดนหิมะผู้นั้น “เฉินตงหราน” ท่านอ๋องแห่งหลิงโจว’
“ว่าอย่างไร จับคนร้ายที่เหลือได้หรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง เราพบศพคนร้ายคนหนึ่งอยู่ในห้องข้าง ๆ ศพของใต้เท้าเหรินลั่วหลีพ่ะย่ะค่ะ”
“เหรินลั่วหลี รองเจ้ากรมขุนนางงั้นหรือ เขามาทำอะไรที่นี่”
“เขานัดข้ามาพบที่นี่ ยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็มีคนมาบุกฆ่า คนร้ายผู้นั้นข้าเป็นคนฆ่าเอง”
“เจ้างั้นหรือ”
เฉินตงหรานเดินเข้ามาใกล้เพื่อมองนางชัด ๆ ดรุณีน้อยผู้นี้รูปร่างบอบบางสวมอาภรณ์แดงสลับขาว หากมองผิวเผินคงไม่คิดว่าจะมีแรงถือดาบด้วยซ้ำ แต่ทว่านางกลับกล้ายอมรับต่อหน้าเขาว่าเป็นผู้ลงมือสังหารคนร้ายที่ฆ่าขุนนางในหอนางโลม
“แม่นาง เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
“พบกันเพียงบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องแจ้งกระมัง”
“บังอาจ! ต่อหน้าท่านอ๋องอย่าได้ใช้วาจาโอหัง”
“ที่แท้ท่านก็คือหลิงอ๋อง เทพสงครามแดนเหนือที่เลื่องลือ แต่เหตุใดแค่จับคนร้ายไม่กี่คนถึงทำไม่สำเร็จ หรือสิ่งที่ร่ำลือมานั้นเป็นเพียงคำอวดอ้าง”
“เจ้า!”
“เสี่ยวอวี้อย่าเสียมารยาท แม่นางน้อยวาจาช่างคมคาย อีกทั้งไม่ตกใจเมื่อทราบว่าข้าคือผู้ใดเกรงว่าเจ้าคงทราบอยู่แล้วสินะ”
‘ก็ไม่ได้โง่นี่ ดูออกว่าข้ากำลังหยั่งเชิงอยู่ นับว่ายังพอใช้ได้’
“จากแววตาของเจ้าดูเหมือนว่ากำลังลอบด่าข้าอยู่ในใจสินะ ถึงอย่างไรเหตุการณ์ที่นี่เจ้าไม่ได้อยากเกี่ยวก็คงต้องเกี่ยว คงต้องขอให้ตามข้ากลับไปเพื่อสอบถามเล็กน้อย”
“หากว่าข้าไม่ยอมเล่า”
“เข็มปราณเย็นดุจเกล็ดหิมะ รวดเร็วดุจสายลม หากเดาไม่ผิดอาวุธที่เจ้าใช้เมื่อครู่นี้คือ “เข็มพิษวารี” สินะ”
หลิ่วอวิ๋นซีหันมามองหน้าผู้พูดเพื่อประเมินอีกฝ่าย ซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นกัน
“ท่านต้องการสิ่งใด”
“กลับไปกับข้าแล้วค่อยคุยกันเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ก้าวขาเข้ามาในคดีนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วนี่”
‘คิดไม่ถึงว่าจะตกปลาตัวใหญ่อย่างหลิงอ๋องได้ เดิมทีคิดจะมาถามเหรินลั่วหลีไม่กี่ประโยคเท่านั้น ในเมื่อท่านเปิดโอกาสเอง ไฉนเลยข้าจะไม่ตอบรับ’
“หากว่าข้าไม่ยอมไปแต่โดยดี ท่านอ๋องจะสั่งให้ทหารจับกุมข้าและพาไปขังคุกของทางการหรือไม่”
รอยยิ้มมุมปากของท่านอ๋องเผยออกมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเวลายิ้มเขาจะมีรอยบุ๋มตรงแก้มทำให้ใบหน้าของเทพสงครามแดนเหนือผู้นี้น่ามองจนหัวใจนางกระตุกเล็กน้อย
“ในเมื่อข้าเป็นผู้เอ่ยปากเชิญ เท่ากับว่าเจ้าเป็นแขกหาใช่ผู้ต้องสงสัยเหตุใดจึงต้องใช้กำลังบีบบังคับ”
“เช่นนั้นก็ตกลง”
“เชิญ”
ทั้งหมดเดินทางกลับเข้าวังหลวงของหลิงโจว คนร้ายถูกนำตัวไปขังไว้ที่คุกใต้ดินและคุ้มกันอย่างแน่นหนา สามเดือนที่ผ่านมานี้มีขุนนางระดับสูงของหลิงโจวถูกฆ่าตายอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ แน่นอนว่าเรื่องนี้หลิงอ๋องมิได้นิ่งนอนใจเพราะพระองค์ทรงออกสืบคดีนี้ด้วยตัวเอง
วังหลวง
หลิ่วอวิ๋นซีเดินตามท่านอ๋องมายังตำหนักกลางในวังหลวงหลิงโจว เมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงบอกให้ทหารองครักษ์ออกไปทั้งหมดพร้อมกับปิดประตู
“นั่งก่อนสิ”
“เหตุใดท่านอ๋องจึงได้เชิญข้าเข้ามาในนี้ ข้าเป็นเพียงชาวยุทธ์ทั่วไปที่ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก”
“แต่คืนนี้เจ้ากลับไปพบกับขุนนางของข้าและเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนที่จะถูกฆ่ามิใช่หรือ”
อวิ๋นซีนิ่งไป หลิงอ๋องผู้นี้มิใช่ผู้ที่นางจะประฝีปากด้วย ท่วงท่าที่นิ่งสงบตรงหน้าเตือนให้นางคอยระวัง
“นั่งก่อนสิ แม่นาง…”
“หลิ่วอวิ๋นซี เรียกข้าว่าอวิ๋นซีก็ได้ แต่ข้าขอทูลตามตรงว่าไม่สะดวกคุยกับท่านด้วยคำยุ่งยากพวกนั้น”
“หึ ข้าเองก็มิได้อยากจะบังคับให้เจ้าพูดเช่นนั้น นั่งก่อนสิอวิ๋นซี ข้าคิดว่าคืนนี้เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่อง บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าได้”
น้ำชาร้อนถูกรินจากพระหัตถ์ของท่านอ๋องและส่งมาให้นางที่กำลังนั่งลงตรงข้ามโต๊ะในห้อง
“ท่านอ๋องแน่ใจได้เช่นไรว่าข้าจะช่วยท่านได้ ไม่กลัวหรือว่าข้า… จะฆ่าท่าน”
พยัคฆ์ที่รอเวลาเช่นนี้มีหรือที่จะพลาดโอกาส เขารีบลุกขึ้นและโอบรอบเอวพระชายาของตนเองเอาไว้ในทันที และหันไปลาฝ่าบาทกับฮองเฮาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท“ในเมื่อเป็นประสงค์ของพระชายา เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลาก่อน เอาไว้เราค่อยมานั่งสนทนากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถอะ ๆ พวกเจ้ารีบไปเถอะไป ให้ตายเถอะเรื่องเช่นนี้นางก็กล้าพูดออกมา เห็นทีคงปล่อยให้ท่องยุทธภพนานเกินไปสินะ ไม่เหลือคราบองค์หญิงแห่งแคว้นเลยสักนิด”""เช่นนั้นทูลลาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""อวิ๋นซีและท่านอ๋องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาทไป เมื่อยิ่งได้มอง กงซุนหลิงเฮ่อก็เริ่มถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับทั้งสองคนที่พึ่งออกจากตำหนักไป“โตแล้วนะนั่น ยังทำนิสัยไม่ต่างกับเด็ก ๆ เลย”“ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง แต่กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คงกลัวว่าในวันข้างหน้าซีเอ๋อร์จะลำบากเมื่อท่านอ๋องจำเป็นต้องรับพระสนมสินะเพคะ”“ใช่แล้วเพียงแต่ว่าคนอย่างซีเอ๋อร์น่ะ ยอมหักไม่ยอมงอ นางเคยยอมให้ผู้ใดที่ไหน แค่ทะเลาะกับสนมจิ่วครั้งนั้น ถึงกับยอมทิ้งฐานะองค์หญิงออกผจญใต้หล้ากับอาจารย์ไป๋ ข้าก็แค่หาทางรอดให้ท่านอ๋องเท่านั้นแต่เจ้าดูสิ พวกเขาเข้ากันดีกว่าที่ข้
แคว้นจ้าว / สุสานจักรพรรดิ“ซีเอ๋อร์”ท่านอ๋องหันมาประคองกอดพระชายา ที่ยืนร้องไห้หลังจากที่ทำพิธีสักการะอดีตองค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ที่จริงก่อนที่จะเดินทางมาถึงหม่อมฉันฝันถึงเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง”“งั้นหรือ แล้วเจ้าฝันว่าอย่างไรบ้างเล่า พระองค์มาให้กำลังใจหรือว่า… มาบอกลา”“ไม่ใช่เพคะ พระองค์เดิมมากอดหม่อมฉันเอาไว้ แล้วบอกว่า…”‘ใช้ชีวิตให้ดี แม่กับพ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป….’ท่านอ๋องฟังที่พระชายากล่าวก็ดึงนางเข้ามากอด แม้นใบหน้าของอวิ๋นซีจะนิ่งแต่กลับมาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ตงหรานพานางเดินออกมาหน้าสุสานจักรพรรดิ และทอดสายพระเนตรมองไปยังด้านหน้าซึ่งเป็นดินแดนทุ่งน้ำแข็งของแคว้นจ้าวที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ “มีคนเคยกล่าวว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นบุพการี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่เคยจากเราไปไหน ทุกคนอยู่รอบ ๆ กายเราอยู่เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นแต่หากใช้หัวใจสัมผัส ก็จะรับรู้ถึงความรักของพวกเขาได้ทันที”“เช่นนั้นเองหรือเพคะ หม่อมฉันก็คงต้องคิดเช่นนั้น”“เหตุใดแม้แต่ตอนร้องไห้เจ้าก็ยังงดงามไม่สร่าง เห็นทีว่าข้าคงจะหลงพระชายาของตัวเองจนมิอาจห้ามใจได้แล้ว”
ห้องส่งตัวถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องก็เดินเข้ามา แม่สื่อจัดการปิดประตูทันที อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับสาวใช้อาลี่และอาเวิน เมื่อเจ้าบ่าวเข้ามาพวกนางก็เดินออกไปทันที “ซีเอ๋อร์ เจ้ารอข้านานหรือไม่”“ไม่เพคะ มีอาลี่กับอาเวินนั่งคุยเป็นเพื่อน หม่อมฉันรอได้… เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนี้”ท่านอ๋องหันมามองเจ้าสาว ที่จริงเขามิใคร่อยากจะบอกกับนางเท่าใดนัก เนื่องเพราะมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเท่าใด อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเขากับนาง“ช่างเถอะ ข้าคงดื่มมากเกินไป เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วสินะ เราไปแช่น้ำอุ่นสักหน่อยดีหรือไม่”“ท่านดื่มมาหนักหรือเพคะ"“เปล่าหรอกข้ากลัวว่าเจ้าจะปวดเมื่อยน่ะ พิธีการในวันนี้ค่อนข้างจุกจิกและวุ่นวาย ก็เลยคิดว่าเจ้าจะเหนื่อย”“ตงหราน ท่านมีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ”“ข้า…”“หากท่านไม่พูด เกรงว่าคืนนี้ข้าจะให้ท่านนอนเฝ้าห้องส่งตัวเพียงลำพัง”“ไม่นะ! ข้าพูดแล้ว ๆ เจ้าก็อย่าขู่ข้านักเลยน่า คืนนี้เป็นคืนเข้าหอเจ้าสาวจะทิ้งไปได้เช่นไร ผิดธรรมเนียม”“เช่นนั้นก็พูดออกมา เราเข้าพิธีคำนับฟ้าดินกันไปแล้วก็ถือเป็นสามีภรรยากันถูกต้อง ท่านสาบานด้
แม้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องมาสู้ศึกบนเตียงกับพยัคฆ์ที่หิวโหยอย่างเฉินตงหราน ก็ทำเอาอวิ๋นซีหมดเรี่ยวแรงไปได้เช่นกัน “พระองค์หยุดพักบ้างเถิด หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้”เกือบฟ้าสางกว่าท่านอ๋องจะยอมให้นางนอนพัก แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้นางก่อนจะนอน แต่ด้วยสติที่แทบจะไม่เหลือจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปประชุมราชสำนักแต่เช้าแล้ว“คนบ้าอะไรกัน ข้านอนหลับหมดเรี่ยวแรงแต่กลับยังตื่นไปประชุมเช้าได้อีกงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลย”สิบวันถัดมาฤกษ์อภิเษกถูกส่งมาจากโหรหลวงจากวังหลวง พระราชทานโดยฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์โตของเหล่าท่านอ๋องทั้งสี่ ในครั้งนี้ฝ่ายกรมพิธีการของวังหลวงเฉินซานมาด้วยตัวเอง และส่งชุดแต่งงานพระราชทานมาพร้อมกับช่างภูษาอีกกว่าสามสิบชีวิต เพื่อช่วยจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สมเกียรติของทั้งสองแคว้น“เนื่องจากฮองเฮาประสูติพระธิดาอีกพระองค์ซึ่งนับเป็นองค์หญิงลำดับที่สองในราชวงศ์เฉิน “เฉินลู่หมิง” จึงมิอาจมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้ของท่านอ๋องได้ กระหม่อมเป็นตัว
อวิ๋นซียิ้มแต่มิได้พูดอะไรตอบกลับไป นางรู้สึกว่ามีบางอย่างกั้นเอาไว้ที่คอ หากแค่เพียงเอ่ยออกไปคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้เขาเท่านั้น“ซีเอ๋อร์… ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”“ข้าเองก็รักท่าน” “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราก็รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” “ท่านก็แค่จะหาเรื่องกินเต้าหู้ข้าเท่านั้น”“อย่าทำเป็นรู้ดี ข้าอยากทำมากกว่านั้นเยอะเลยพระชายาที่รัก เจ้าคงต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ”ท่านอ๋องรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มและพาเดินเข้าไปด้านในตำหนักทันที ท่านอ๋องทั้งสามพร้อมกับฝ่าบาทที่นั่งอยู่ที่ตำหนักรับรองหันไปมอง เฉินรั่วเฟิงเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก“พี่สามเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่านี่มันค่อนข้างผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย มิใช่ว่าจะต้องมีพิธีซ่อนเจ้าสาวหรือแยกกับพระชายาก่อนเข้าพิธีหรอกหรือ แต่นี่เขาแทบไม่ห่างจากว่าที่พระชายาของเขาเลยนะ”“เฮ้อ… น้องเก้าเจ้าอิจฉาก็ยอมรับมาตรง ๆ เถอะน่า”“พี่แปดท่านพูดก็พูดเรื่อยเปื่อย ข้าน่ะหรือจะอิจฉาเขา ความรักคือเรื่องวุ่นวายข้าไม่สรรหามาให้ปวดหัวหรอก ดูอย่างโม่ชิงเซียนสิ ผิดหวังถึงกับต้องออกบวชเลยนะ เพราะรู้ว่าสู้พี่สะใภ้ไ
โม่หยางหันมาคุกเข่าทั้งน้ำตา เขารู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่พ้นโทษตายอยู่แล้วจึงมิได้คิดจะกล่าวโทษท่านอ๋อง“ท่านอ๋องขอพระองค์โปรดให้กระหม่อม ได้มีโอกาสจัดงานศพให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ โทษหลังจากนี้กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดแทนบิดาแต่เพียงผู้เดียว”โม่หยางคุกเข่าและกราบลงแนบพื้นอีกครั้ง อวิ๋นซีจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น “คุณชายโม่เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเราทลายคลังอาวุธและบอกที่ซ่อนของกองกำลังของสกุลโม่ทั้งหมด ท่านควรจะให้โอกาสเขา อีกอย่างผู้ที่ทำผิดมีเพียงบิดาของเขา แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ไม่รู้เรื่อง”“ข้าเข้าใจที่เจ้าจะพูด ข้าไม่ได้จะลงโทษเขา”ท่านอ๋องเดินมาและจับตัวโม่หยางขึ้นมาทันที พร้อมกับอนุญาตสิ่งที่เขาขอ“โม่หยาง เจ้าเป็นบุตรกตัญญู เป็นผู้ที่ช่วยข้าเรื่องเบาะแสของกบฏและยังช่วยจับตัวผู้กระทำผิด คำขอของเจ้าข้าอนุญาต ส่วนเรื่องความผิดบิดาของเจ้ารับไปทั้งหมดแล้ว พาศพเขากลับไปทำตามที่สมควรเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางที่เข้าร่วมกับกบฏในครั้งนี้มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ทุกคนถูกประหารและครอบครัวถูกเนรเทศออกจากหลิงโจวเพื่อเป็นการลงโทษ มีการแต่งตั้งขุนนางใหม่อีกหลายคนในร