พยัคฆ์ที่รอเวลาเช่นนี้มีหรือที่จะพลาดโอกาส เขารีบลุกขึ้นและโอบรอบเอวพระชายาของตนเองเอาไว้ในทันที และหันไปลาฝ่าบาทกับฮองเฮาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท“ในเมื่อเป็นประสงค์ของพระชายา เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลาก่อน เอาไว้เราค่อยมานั่งสนทนากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถอะ ๆ พวกเจ้ารีบไปเถอะไป ให้ตายเถอะเรื่องเช่นนี้นางก็กล้าพูดออกมา เห็นทีคงปล่อยให้ท่องยุทธภพนานเกินไปสินะ ไม่เหลือคราบองค์หญิงแห่งแคว้นเลยสักนิด”""เช่นนั้นทูลลาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""อวิ๋นซีและท่านอ๋องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาทไป เมื่อยิ่งได้มอง กงซุนหลิงเฮ่อก็เริ่มถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับทั้งสองคนที่พึ่งออกจากตำหนักไป“โตแล้วนะนั่น ยังทำนิสัยไม่ต่างกับเด็ก ๆ เลย”“ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง แต่กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คงกลัวว่าในวันข้างหน้าซีเอ๋อร์จะลำบากเมื่อท่านอ๋องจำเป็นต้องรับพระสนมสินะเพคะ”“ใช่แล้วเพียงแต่ว่าคนอย่างซีเอ๋อร์น่ะ ยอมหักไม่ยอมงอ นางเคยยอมให้ผู้ใดที่ไหน แค่ทะเลาะกับสนมจิ่วครั้งนั้น ถึงกับยอมทิ้งฐานะองค์หญิงออกผจญใต้หล้ากับอาจารย์ไป๋ ข้าก็แค่หาทางรอดให้ท่านอ๋องเท่านั้นแต่เจ้าดูสิ พวกเขาเข้ากันดีกว่าที่ข้
แคว้นจ้าว / สุสานจักรพรรดิ“ซีเอ๋อร์”ท่านอ๋องหันมาประคองกอดพระชายา ที่ยืนร้องไห้หลังจากที่ทำพิธีสักการะอดีตองค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ที่จริงก่อนที่จะเดินทางมาถึงหม่อมฉันฝันถึงเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง”“งั้นหรือ แล้วเจ้าฝันว่าอย่างไรบ้างเล่า พระองค์มาให้กำลังใจหรือว่า… มาบอกลา”“ไม่ใช่เพคะ พระองค์เดิมมากอดหม่อมฉันเอาไว้ แล้วบอกว่า…”‘ใช้ชีวิตให้ดี แม่กับพ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป….’ท่านอ๋องฟังที่พระชายากล่าวก็ดึงนางเข้ามากอด แม้นใบหน้าของอวิ๋นซีจะนิ่งแต่กลับมาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ตงหรานพานางเดินออกมาหน้าสุสานจักรพรรดิ และทอดสายพระเนตรมองไปยังด้านหน้าซึ่งเป็นดินแดนทุ่งน้ำแข็งของแคว้นจ้าวที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ “มีคนเคยกล่าวว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นบุพการี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่เคยจากเราไปไหน ทุกคนอยู่รอบ ๆ กายเราอยู่เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นแต่หากใช้หัวใจสัมผัส ก็จะรับรู้ถึงความรักของพวกเขาได้ทันที”“เช่นนั้นเองหรือเพคะ หม่อมฉันก็คงต้องคิดเช่นนั้น”“เหตุใดแม้แต่ตอนร้องไห้เจ้าก็ยังงดงามไม่สร่าง เห็นทีว่าข้าคงจะหลงพระชายาของตัวเองจนมิอาจห้ามใจได้แล้ว”
ห้องส่งตัวถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องก็เดินเข้ามา แม่สื่อจัดการปิดประตูทันที อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับสาวใช้อาลี่และอาเวิน เมื่อเจ้าบ่าวเข้ามาพวกนางก็เดินออกไปทันที “ซีเอ๋อร์ เจ้ารอข้านานหรือไม่”“ไม่เพคะ มีอาลี่กับอาเวินนั่งคุยเป็นเพื่อน หม่อมฉันรอได้… เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนี้”ท่านอ๋องหันมามองเจ้าสาว ที่จริงเขามิใคร่อยากจะบอกกับนางเท่าใดนัก เนื่องเพราะมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเท่าใด อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเขากับนาง“ช่างเถอะ ข้าคงดื่มมากเกินไป เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วสินะ เราไปแช่น้ำอุ่นสักหน่อยดีหรือไม่”“ท่านดื่มมาหนักหรือเพคะ"“เปล่าหรอกข้ากลัวว่าเจ้าจะปวดเมื่อยน่ะ พิธีการในวันนี้ค่อนข้างจุกจิกและวุ่นวาย ก็เลยคิดว่าเจ้าจะเหนื่อย”“ตงหราน ท่านมีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ”“ข้า…”“หากท่านไม่พูด เกรงว่าคืนนี้ข้าจะให้ท่านนอนเฝ้าห้องส่งตัวเพียงลำพัง”“ไม่นะ! ข้าพูดแล้ว ๆ เจ้าก็อย่าขู่ข้านักเลยน่า คืนนี้เป็นคืนเข้าหอเจ้าสาวจะทิ้งไปได้เช่นไร ผิดธรรมเนียม”“เช่นนั้นก็พูดออกมา เราเข้าพิธีคำนับฟ้าดินกันไปแล้วก็ถือเป็นสามีภรรยากันถูกต้อง ท่านสาบานด้
แม้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องมาสู้ศึกบนเตียงกับพยัคฆ์ที่หิวโหยอย่างเฉินตงหราน ก็ทำเอาอวิ๋นซีหมดเรี่ยวแรงไปได้เช่นกัน “พระองค์หยุดพักบ้างเถิด หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้”เกือบฟ้าสางกว่าท่านอ๋องจะยอมให้นางนอนพัก แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้นางก่อนจะนอน แต่ด้วยสติที่แทบจะไม่เหลือจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปประชุมราชสำนักแต่เช้าแล้ว“คนบ้าอะไรกัน ข้านอนหลับหมดเรี่ยวแรงแต่กลับยังตื่นไปประชุมเช้าได้อีกงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลย”สิบวันถัดมาฤกษ์อภิเษกถูกส่งมาจากโหรหลวงจากวังหลวง พระราชทานโดยฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์โตของเหล่าท่านอ๋องทั้งสี่ ในครั้งนี้ฝ่ายกรมพิธีการของวังหลวงเฉินซานมาด้วยตัวเอง และส่งชุดแต่งงานพระราชทานมาพร้อมกับช่างภูษาอีกกว่าสามสิบชีวิต เพื่อช่วยจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สมเกียรติของทั้งสองแคว้น“เนื่องจากฮองเฮาประสูติพระธิดาอีกพระองค์ซึ่งนับเป็นองค์หญิงลำดับที่สองในราชวงศ์เฉิน “เฉินลู่หมิง” จึงมิอาจมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้ของท่านอ๋องได้ กระหม่อมเป็นตัว
อวิ๋นซียิ้มแต่มิได้พูดอะไรตอบกลับไป นางรู้สึกว่ามีบางอย่างกั้นเอาไว้ที่คอ หากแค่เพียงเอ่ยออกไปคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้เขาเท่านั้น“ซีเอ๋อร์… ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”“ข้าเองก็รักท่าน” “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราก็รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” “ท่านก็แค่จะหาเรื่องกินเต้าหู้ข้าเท่านั้น”“อย่าทำเป็นรู้ดี ข้าอยากทำมากกว่านั้นเยอะเลยพระชายาที่รัก เจ้าคงต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ”ท่านอ๋องรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มและพาเดินเข้าไปด้านในตำหนักทันที ท่านอ๋องทั้งสามพร้อมกับฝ่าบาทที่นั่งอยู่ที่ตำหนักรับรองหันไปมอง เฉินรั่วเฟิงเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก“พี่สามเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่านี่มันค่อนข้างผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย มิใช่ว่าจะต้องมีพิธีซ่อนเจ้าสาวหรือแยกกับพระชายาก่อนเข้าพิธีหรอกหรือ แต่นี่เขาแทบไม่ห่างจากว่าที่พระชายาของเขาเลยนะ”“เฮ้อ… น้องเก้าเจ้าอิจฉาก็ยอมรับมาตรง ๆ เถอะน่า”“พี่แปดท่านพูดก็พูดเรื่อยเปื่อย ข้าน่ะหรือจะอิจฉาเขา ความรักคือเรื่องวุ่นวายข้าไม่สรรหามาให้ปวดหัวหรอก ดูอย่างโม่ชิงเซียนสิ ผิดหวังถึงกับต้องออกบวชเลยนะ เพราะรู้ว่าสู้พี่สะใภ้ไ
โม่หยางหันมาคุกเข่าทั้งน้ำตา เขารู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่พ้นโทษตายอยู่แล้วจึงมิได้คิดจะกล่าวโทษท่านอ๋อง“ท่านอ๋องขอพระองค์โปรดให้กระหม่อม ได้มีโอกาสจัดงานศพให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ โทษหลังจากนี้กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดแทนบิดาแต่เพียงผู้เดียว”โม่หยางคุกเข่าและกราบลงแนบพื้นอีกครั้ง อวิ๋นซีจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น “คุณชายโม่เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเราทลายคลังอาวุธและบอกที่ซ่อนของกองกำลังของสกุลโม่ทั้งหมด ท่านควรจะให้โอกาสเขา อีกอย่างผู้ที่ทำผิดมีเพียงบิดาของเขา แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ไม่รู้เรื่อง”“ข้าเข้าใจที่เจ้าจะพูด ข้าไม่ได้จะลงโทษเขา”ท่านอ๋องเดินมาและจับตัวโม่หยางขึ้นมาทันที พร้อมกับอนุญาตสิ่งที่เขาขอ“โม่หยาง เจ้าเป็นบุตรกตัญญู เป็นผู้ที่ช่วยข้าเรื่องเบาะแสของกบฏและยังช่วยจับตัวผู้กระทำผิด คำขอของเจ้าข้าอนุญาต ส่วนเรื่องความผิดบิดาของเจ้ารับไปทั้งหมดแล้ว พาศพเขากลับไปทำตามที่สมควรเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางที่เข้าร่วมกับกบฏในครั้งนี้มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ทุกคนถูกประหารและครอบครัวถูกเนรเทศออกจากหลิงโจวเพื่อเป็นการลงโทษ มีการแต่งตั้งขุนนางใหม่อีกหลายคนในร