INICIAR SESIÓN“อย่าร้องไห้เลยนะจ๊ะ ไปทานอาหารกันดีกว่า คุณปู่ทำของโปรดให้กับแอนนี่เยอะเลย” อนาสตาเซียผละออกจากหนูนาและพยักหน้าทำตาม เพราะเธอเข้าใจความห่วงใยที่คุณปู่และคุณย่ามีให้ แม้จะไม่มีคำและเหตุผลต่อสิ่งที่ทำให้เธอเสียใจ คุณย่ามักจะเป็นแบบนี้ ดึงความสนใจเรื่องอื่นเข้ามาเพื่อลดทอนความเสียใจกับเรื่องที่เธอเป็นอยู่ คุณย่าเคยบอกไว้ว่า เราไม่อาจเข้าถึงความรู้สึกของคนอื่นได้ทั้งหมดอย่างเข้าใจและแจ่มแจ้ง เราจึงไม่อาจที่จะอธิบายได้ถึงการกระทำของเขาคนนั้น...
ทางด้านเอ็ดเวิร์ดที่ตั้งใจทิ้งโทรศัพท์ไว้เขาขับรถมาจอดริมทางที่อนุญาตให้จอดหน้าผับแห่งหนึ่ง เพราะเขามีความตั้งใจที่จะมาดื่มลดความกลัดกลุ้ม ความโกรธ น้อยใจ ไม่พอใจ อารมณ์หลายแบบที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ในตัวเขาซึ่งสาเหตุมาจากหญิงเดียวคืออนาสตาเซีย เอ็ดเวิร์ดเดินเข้าไปในร้านและก้าวขาไปยังบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์ชายผสมเครื่องดื่มยืนอยู่
“รับอะไรดีครับ”
“อะไรก็ได้” เอ็ดเวิร์ดตอบกลับ และเลี่ยงไม่สนใจสาวน้อยสาวใหญ่ที่ทอดสายตามองเขา เพราะตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น แน่นอน! เอ็ดเวิร์ดไม่ได้ถือพรมจรรย์ อายุยี่สิบเก้าของเขาไม่ได้ผ่านมาแบบชายหนุ่มไร้ซึ่งประสบการณ์ทางเพศ เขามีมันอยู่แล้วในแบบความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องแบบนั้นเขาไม่เคยเปิดเผยต่ออนาสตาเซีย ทั้งๆ ที่เขาเสียพรมจรรย์ตั้งแต่เกรดสิบแล้ว ซึ่งครั้งแรกของเขา ตอนนั้นกลับเป็น รุ่นพี่เกรดสิบสอง และเขามีมันมาตลอดกับหญิงสาวที่รักสนุกแต่ไม่คิดผูกพัน และนั่นเป็นสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดต้องการตามประสาผู้ชาย แต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้ เขาไม่ต้องการใครทั้งนั้น รวมถึงหญิงสาวสวยทรงเสน่ห์ที่กล้าหาญเดินมาหาเขาที่บาร์ในตอนนี้ เอ็ดเวิร์ดกรอกน้ำสีทองอำพันฟองฟอดเย็นจัดลงสู่กระเพาะเป็นแก้วที่สองแล้ว
“ต้องการเพื่อนแก้เหงามั้ยคะ?” เอ็ดเวิร์ดหันไปมองด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งไมตรีตอบรับ และนั่นทำให้หญิงสาวเบ้หน้าใส่เอ็ดเวิร์ดที่ไร้มารยาทต่อเธอ...เอ็ดเวิร์ดหันมาสนใจเครื่องดื่มของตนต่อไป เขานั่งต่ออีกสักพักทำให้แก้วที่ห้ามองไม่เห็นน้ำในแก้วเสียแล้ว เอ็ดเวิร์ดหยิบเงินเหรียญสหรัฐดอลล่าวางไว้ที่บาร์ แน่นอนมันมากกว่าราคาจริงเท่าหนึ่ง เพราะส่วนต่างก็จะเป็นของบาร์เทนเดอร์ ที่หยิบเงินพร้อมโน้มศีรษะให้เขาเป็นการขอบคุณ
เอ็ดเวิร์ดสูดอากาศยามค่ำคืนเข้าปอดยาวๆ เมื่อเดินออกจากร้านมาแล้ว รถเขาจอดอยู่ห่างไปนิดหน่อยที่หน้าทางเข้าผับ
“โอ๊ะ!!!…” เอ็ดเวิร์ดที่ก้าวขากำลังเดินอย่างช้าๆ ไปยังรถ เขาก็ถูกชนจากด้านหลัง และคนที่ชนเขาก็ล้มกระเด็นไปนั่งก้นกระแทกพื้นทันที เอ็ดเวิร์ดหันมามอง เขาทำเพียงหลี่ตามองร่างเล็กที่สวมเสื้อแบบมีฮู้ดและฮูกนั้นสวมปิดศีรษะเขาไม่เห็นหน้าภายใต้ฮู้ด แต่เสียงฝีเท้าหลายคู่จากฝั่งทางเดินที่ร่างเล็กที่ล้มอยู่ดังตามมา ทำให้ร่างเล็กรีบลุกขึ้นและขยับไปยืนด้านหลังเขาทันที เมื่อมีชายสามคนวิ่งมาทันและเขาก็ขวางทางทั้งสามคนนั้นอยู่
“ชะ...ช่วยด้วย!” เอ็ดเวิร์ดเหลือบตาไปด้านหลัง ผู้หญิงกับเสียงขอความช่วยเหลือนั้นของเจ้าของร่างที่ชนเขา และเธอก็ยืนอยู่ข้างหลังเขา
“ไม่ใช่เรื่องของแก ถอยไป” หนึ่งในสามเอ่ยกับเอ็ดเวิร์ด เมื่อเขายังยืนกั้นระหว่างพวกมันกับหญิงสาวด้านหลัง
“พวกแกเกี่ยวข้องอะไรกับเธอคนนี้”
“ผู้หญิงคนนั้น ล้วงกระเป๋าเรามา...” ชายคนเดิมตอบเอ็ดเวิร์ด
“มะ...ไม่นะ...ไม่ใช่...ไม่จริง...พวกมันโกหก” เอ็ดเวิร์ดคิ้วขมวดเมื่อเสียงด้านหลังปฎิเสธพร้อมมือเล็กดึงชายเสื้อเขาไว้ เสียงเธอดูเหนื่อย อ่อนแรงอย่างชัดเจน
“กระเป๋าแกเป็นแบบไหน เดี๋ยวฉันจะค้นตัวเธอให้” เอ็ดเวิร์ดตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคง เบียร์ห้าแก้วไม่ทำให้คนอย่างเขามึนเมาไร้สติได้
“ไม่ใช่เรื่องของแก แกถอยไปดีกว่า พวกฉันจะจับผู้หญิงคนนั้นส่งตำรวจ” เอ็ดเวิร์ดหลี่ตามองชายสามคนตรงหน้า เพราะลักษณะของพวกมันบ่งบอกให้เขาคิดว่า พวกมันน่าจะอยากอยู่ห่างจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เรียกว่าตำรวจเสียมากกว่า
“อย่าให้พวกมันเอาตัวฉันไปนะ...พวกมันเป็นแมงดา” เสียงเบาๆที่ดังออกมาจากผู้หญิงข้างหลังเขาทำให้เอ็ดเวิร์ดเชื่อเธอมากกว่าพวกชายสามคนตรงหน้าเขาเสียอีก
“พวกแกเลือกเอาว่า ถ้าจะเอาตัวเธอไปให้ได้ พวกแกก็ลองคุยกับสายตรวจสองคนที่กำลังเดินมานั่นมั้ย?” ทั้งสามหันไปตามทิศทางที่เอ็ดเวิร์ดมองอยู่และสายตาของสายตรวจก็มองมาทางนี้ด้วย และนั่นไม่ใช่เพียงชายสามคนที่ตระหนกตกใจ รวมถึงหญิงสาวด้านหลังด้วยที่เธอเองก็ตกใจกลัวเช่นกัน
“ฝากไว้ก่อนยายตัวดี...สาบานเลยว่าแกไม่มีทางรอดแน่นอน” สิ้นเสียงพวกชายทั้งสามก็รีบวิ่งเข้าไปในตรอกเล็กๆ ระหว่างตึกเพื่อไปทะลุถนนอีกฟาก
“ทำไม?...อยากจะแกล้งอะไรเขาอีกละ...” “เปล่าสักหน่อย...ยายนั้นมาฟ้องคุณย่าเหรอครับ” “คิดว่าเชือกฟางทำแบบนั้นเหรอ” ไอเดนยิ้มและส่ายหน้า ถึงเขาจะเจอกับเชือกฟางได้ไม่นาน แต่เขารู้ว่าเชือกฟางไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน “นะครับคุณย่า” “จะดูแลเขาได้เหรอ?” หนูนาถามกลับทันที “ได้ครับคุณย่า” หนูนายิ้มให้กับหลานชาย หนูนามองเข้าไปในดวงตาของไอเดน เธอรู้ว่าไอเดนคิดยังไง และเมื่อไอเดนกล้ามาคุยกับเธอ นั้นก็แสดงให้เธอรู้ว่า ไอเดนคิดยังไงโดยที่ไม่ต้องมีคำพูดมากมาย “คุณปู่และย่าภูมิใจในตัวหลาน
“ไอเดน ฉันชอบเธอ” ไอเดนเบิกตากว้างขึ้น อย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้จากผู้หญิงอีกคน เชอร์รี่บอกออกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เธออยากจะบอกไอเดนมาตั้งนาน เธอไปขอให้เชือกฟางร่วมมือ ให้เปิดทางให้เธอได้อยู่กับไอเดนเพียงลำพัง แต่... “เธอควรจะหาทางเองดีกว่า” เชือกฟางบอกกับเชอร์รี่ไป หลังจากที่เชอร์รี่บอกให้เชือกฟางกลับบ้านไปเองตามลำพัง ไม่ต้องรอไอเดน “เชือกฟางมันจะยากอะไรนักหนา เธอก็กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปบอกไอเดนแทนเธอเองว่า เธอฝากมาบอกว่ากลับแล้ว” “ไม่ได้!” เชือกฟางตอบเชอร์รี่เพียงแค่นั้น เพราะถ้าเธอขืนทำแบบนั้น ชีวิตเธอคงไม่สงบไปอีกสักพักเป็นแน่ “ทำไมไม่ได้” &ldq
“อุ้ย!” คริสตี้ร้องออกมา เมื่อเธอพยายามจะปิดประตูแต่ฝ่ามือของเอริคก็ดันมันไว้อย่างรวดเร็ว และแน่นอนเธอต้านแรงของเขาไม่ได้ “คุณมาที่นี่ทำไม...” คริสตี้เอ่ยถามด้วยเสียงที่เธอคิดว่าดังมากแล้ว“เป็นอะไรเหรอเปล่า?” เอริคกลับตอบคำถามของเธอด้วยการตั้งคำถามกลับ เพราะคริสตี้ดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด “ออกไปนะ!” คริสตี้ไม่สนใจฟังและไม่สนใจใบหน้าที่ดูเป็นกังวลอย่างชัดเจนถ้าเธอจะสังเกตุ และมองใบหน้าของคนตรงหน้าตรงๆ “กินอะไรเหรอยัง?” เอริคหลี่ตามองและตั้งคำถามอีกครั้ง ไม่สนใจคำไล่ของเธอ “ออกไปนะ!...” คริสตี้อ่อนแรง อ่อนเพลีย เธอเหมือนจะเป็นลม และเธอก็เจ็บปวดเมื่อยตามร่างกาย เธอคงกำลังจะไม่สบาย “อ๊ะ!” เอริคขยับรับร่างที่กำลังจะล้มหมดสติได้ทัน 
เฮเลนที่ลอบมองจากหน้าต่าง ล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมา และกดโทร.ออกทันทีเมื่อเจ้านายขับรถออกไป “คุณมุก...เรื่องน่าจะเลยเถิดไปมากกว่าที่คุณอลันคาดไว้แล้วล่ะคะ” เฮเลนเอ่ยบอกปลายสายทันที เมื่อได้รับเสียงตอบรับมา “เอริค ทำอะไรเหรอคะ?” ปิ่นมุกถามกลับทันที ในขณะที่เธอและ อลันอยู่ที่ญี่ปุ่น “ป้าคิดว่า คุณเอริคมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นที่เป็นลูกบุญธรรมของดีน เลอนาร์ด...และตอนนี้คุณเอริคก็ออกจากบ้านไปตามลำพังแล้วค่ะ” “ตายจริง!...ขอบคุณนะคะเฮเลน คนที่ก่อเรื่องต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ พี่อลันทำเกินไปแล้ว...มุกฝากเฮเลนช่วยดูแลเธอคนนั้นหน่อยนะคะ... คริสตี้เป็นเด็กดี...มุกได้แต่หวังว่าเอริคจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำลงไป...แต่ตอนนี้มุกต้องไปจัดการคนที่สร้า
“คริสตี้ ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอให้ดี...” เอริคพูดพร้อมกับที่เขาจัดการตัวเองโดยการเอาเกราะป้องกันที่ยังคงมีคราบเลือดพรหมจรรย์ของเธอติดอยู่ให้เห็นจางๆออกไป “เธอต้องกลับไปบอกพ่อของเธอว่า วันนี้เธอมาทำหน้าที่ของเธอที่บ้านของฉัน และมันยังไม่เรียบร้อย พรุ่งนี้เธอต้องเดินทางมาที่นี่อีก...” เอริคแต่งตัวไปพร้อมๆ กับพูดในสิ่งที่คริสตี้ต้องทำ เขาหยิบเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาจากพื้นและวางบนลงเตียง “...แต่งตัวซะ” เอริคสั่งการทันที เมื่อคริสตี้ยังไม่ขยับ แต่เธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด คริสตี้ขยับร่างกายที่บอบบางและอ่อนล้านั้นทันทีเท่าที่เธอจะสามารถขยับได้เร็วพอแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวดมาก เสียงพูดของเขายังดังต่อไป โดยที่เขาไม่แม้แต่จะมองเธอเลย คริสตี้รีบแต่งตัวตามคำสั่งนั้น เธอไม่มีคำถามต่อคำสั่งนั้น แต่... “ฉันยังต้องมาที่นี่อีกเหรอ?” คริสตี้ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ&
สองมือของเอริคไล้เลื่อนไปยังมือเล็กที่เกร็งดึงรั้งผ้าปูที่นอนดั่งกับต้องการหาหลักที่ยึดเหนี่ยว มือที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ากอบกุมมือเล็กไว้ ก่อนที่ เอริคจะทำลายกำแพงนั้น ‘พรหมจรรย์’ “อื้มมมมม...” เสียงร้องในคอของคริสตี้ดังออกมา พร้อมกับดวงตาที่ปิดลงอีกครั้ง น้ำตาของเธอไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อโพรงสาวถูกล่วงล้ำโดยแก่นกายของเขาจนแนบสนิทกันและกัน เอริคดูดรั้งริมฝีปากของเธอ เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดและอาการเกร็งของเธอทั่วทั้งเรือนร่างภายใต้ร่างกายเขา ให้ตายเถอะ! เอริคเกลียดความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ เพราะเขาพยายามหักห้ามตัวเอง เขาจะไม่ปลอบประโลมเธอเด็ดขาด คริสตี้ร้องออกมาเพียงครั้งเดียว จากความเจ็บปวดที่เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าเซ็กส์ มันมีดีอะไร ในเมื่อตอนนี้เธอทรมานกับสิ่งที่ได้รับอยู่ ร่างกายเธอแทบจะระเบิดออกมา ยามที่เขาเข้ามาในกายเธอ เธอเจ็บจนเกินบร







