ในขณะที่สวีเจียงหลัวกำลังวิงวอนท่านพญายมและสาปแช่งสวรรค์ให้อี้หานปลอดภัย ดวงจิตของชินอ๋องหนุ่มกลับถูกแรงลึกลับฉุดดึงสู่ห้วงมิติพิศวงเขาก้าวฝ่าม่านหมอกหนาทึบ เท้าเหยียบลงบนผืนดินแห้งแตกระแหง ไร้ร่องรอยทิ้งไว้เบื้องหลัง ประหนึ่งเงาล่องหนที่พลัดหลงในแดนเร้นลับ ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งกันดารเปรี้ยง!เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น ลมพายุโหมกระหน่ำ ฝุ่นผงผสมฝนเย็นเฉียบสาดเข้าหน้า กลิ่นดินเปียก หญ้าแห้ง และควันไฟคลุ้งทึบจนแทบหายใจไม่ออก“นี่มัน…ที่ใดกัน?” อี้หานพึมพำเขาก้าวต่อไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด จนภาพตรงหน้าค่อยเปลี่ยนจากความว่างเปล่า กลายเป็นสุสานไร้ญาตินอกเมืองเสวียนหยางที่คุ้นตาเบื้องหน้าปรากฏโลงศพดำตั้งตระหง่านดุจแท่นบูชายัญ เปลวคบเพลิงสะท้อนเงาคนเป็นร้อยโยกไหวกลางลมแรง กว่าครึ่งคือทหารหลวงแห่งต้าหรงที่เขาคุ้นเคยมาร่วมสามสิบปี ยืนเรียงรายแข็งทื่อดั่งรูปสลักสายตาคมกวาดไป เห็นกลุ่มคนในชุดนักโทษคุกเข่ากลางวงล้อม โซ่ตรวนพันธนาการเต็มกาย เมื่อเพ่งพิศก็จำได้ชัดคือคนตระกูลสวีทั้งหมด ทั้งสวีเหล่าไท่เย่ สวีเหล่าไท่ไท่ จวิ้นอันโหว สวีฮูหยิน สวีเฉียวเฟิ่ง และบ่าวไพร่คนสนิททว่ามีสิ่งหนึ่งที่บีบหัวใจเขาหนักห
ไม่นานข่าวก็ล่วงถึงหู สวีเจียงหลัว ผู้พำนักอยู่แดนใต้ ณ ตำหนักสี่ฤดูแคว้นเจียงหนานเมืองเหลียงเต๋อซึ่งชินอ๋องฝากฝังให้นางดูแลกิจการบ้านเมืองระหว่างเสด็จไปปราบโจรไป๋ซาหยีที่เมืองเจียงเหอ“บัดซบ!”เสียงสบถแผดก้องดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ สะท้อนสะเทือนอยู่ในห้องทรงพระอักษรจนนางกำนัลที่กำลังทำงานแถวนั้นพากันหน้าซีดเผือด แม้แต่หลันถิงผู้คอยถวายงานใกล้ชิดยังสะดุ้งถอยหลังไปสามก้าว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงแม้เจียงหลัวจะวางหมากป้องกันรอบด้านรัดกุมเพียงใด สิ่งเดียวที่นางไม่อาจคุมได้ก็คือฟ้าฝนและภัยธรรมชาติ หิมะถล่มครั้งนี้เปิดโอกาสให้ ไป๋อี้เฉิน ได้คว้าบุญคุณอันใหญ่หลวงไม่พอเขายังจะพ้นผิดอย่างสง่างาม หากเขานำทัพกู้ภัยสำเร็จ ย่อมได้ทั้งเสียงสรรเสริญจากราษฎร และพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ หากหย่งหมิงโปรดปรานอาจทรงตั้งเขาเป็นรัชทายาทยามใดก็ได้!“คนผู้นี้ให้ตาย ข้าก็ยอมให้นั่งบัลลังก์มิได้เด็ดขาด!”เสียงนางกัดฟัน เขี้ยวขาวบดกันแน่นจนกรามขึ้นสัน หัตถ์บางกำถ้วยหยกแน่นจนร้าวเกือบแตก เศษความโกรธพุ่งพล่านราวเพลิงลุกโชนกลางอกในแววตาคมลึกวาวโรจน์ ความทรงจำในอดีตชาติพรั่งพรู ไป๋อี้เฉินมิใช่เพียงองค์ชายสำราญไร้ส
พอไป๋อี้เฉินทราบข่าวว่าพระชายาของตนถูกชินอ๋องลงโทษให้นั่งคุกเข่ากลางหิมะ นัยน์ตาคมก็ลุกวาบด้วยเพลิงโทสะ แทบจะสะบัดแขนเสื้อผละออกไปเอาเรื่องถึงเรือนพักทันที“สตรีโง่เขลาก็เป็นสตรีโง่เง่าอยู่วัยยันค่ำ ข้ายังหวังอะไรจากคนเช่นนางกัน” ยิ่งคิดอี้เฉินยิ่งเสียดายสวีเจียงหลัว เพราะเปลี่ยนกันแล้วเหตุการณ์เช่นหากเขาแต่งกับเจียงหลัวนางคงช่วยเขาได้ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ“ช่างไร้ประโยชน์นัก!” เสียงคำรามต่ำลอดไรฟัน ข้อมือแกร่งยกขึ้นกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ทำให้ข้าต้องขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สมควรแล้วหรือที่จะเป็นพระชายาขององค์ชายสาม!”แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพรวดออกจากตำหนัก เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏ ซูเหวินจิ้งยกพัดขนนกขึ้นขวางเอาไว้ แววตาลุ่มลึกสงบนิ่ง ทว่าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายราวจิ้งจอกเฒ่า“องค์ชายสาม โปรดอย่าวู่วาม” น้ำเสียงของใต้เท้าซูนุ่มนวล แต่กลับกดดันจนคนฟังเย็นสันหลัง “พระชายาเจียงหลี ต่อให้เปราะบางหรือโง่เขลาสักเพียงใด ก็ยังเป็นบุตรสาวของฉีฟ่าน ตาเฒ่าผู้นั้นรักบุตรสาวดุจแก้วตาดวงใจ หากองค์ชายคิดจะเหวี่ยงโทสะใส่นางในยามนี้ ไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ยังเป็นการตัดหนทางตนเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”อี้เฉินชะ
รุ่งอรุณมาเยือนพร้อมสายลมเหมันต์หวีดหวิว หิมะโปรยลงดุจเกล็ดดอกเหมยจากฟากฟ้า แสงตะวันแรกยังไม่ทันเจิดจ้าลงบนยอดหลังคาตำหนักกวางผิง แต่ภายในเรือนหลักกลับอุ่นละมุนด้วยแสงโคมและไออุ่นจากเตาถ่านเจียงหลัวแต่งกายเรียบร้อยตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ พู่กันในมือบอบบางลากเส้นอักษรลงบนกระดาษ ขีดเขียนรายชื่อของฝากสำหรับบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ กล่องของกำนัลเรียงรายเต็มห้องผ้าแพรสีสดจากซูโจวเหลื่อมประกายไฟ หยกแกะสลักรูปกวางมงคลขาวสะอาดราวหิมะ เหล้าบ่มหอมกรุ่นจากแคว้นเหลียง และชาชั้นเลิศจากภูผาเซียงอวิ๋น ทุกสิ่งจัดวางอย่างบรรจงโดยฝีมือบ่าวไพร่ใกล้ชิด“ของที่ข้าให้ถางหมัวมัวกับฉวีกงกงจัดเตรียมเป็นอย่างไร หากยังขาดอันใดเจ้ารีบบอก ไม่ต้องเกรงใจ ของข้าล้วนคือของเจ้า”เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง นั้นคือไป๋อี้หาน เขาสวมเสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆมงคล ร่างสูงสง่าดุจขุนเขา มือหนึ่งถือถ้วยชาอุ่น อีกมือโอบไหล่ภรรยาด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติราวกับเคยชินมาเนิ่นนานเจียงหลัวเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงรอยยิ้มละมุนที่ทำให้ความหนาวรอบกายคลายลง นางวางพู่กันลง ยื่นมือรับถ้วยชา ริมฝีปากขย
ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นหลังคา เจียงหลีจึงรีบแต่งกายอย่างประณีต ปกปิดร่องรอยจากราตรีเร่าร้อนกับองค์ชายสามจนมิดชิดเพื่อไปพบมารดาตามที่ได้รับคำกับอี้เฉินเอาไว้ทันทีรถม้าของพระชายาสวีเคลื่อนออกจากประตูพร้อมแสงแรกของวัน มาถึงจวนจวิ้นอันโหวยามเฉินพอดี แม้องค์ชายสามจะถูกกักบริเวณ แต่คนภายนอกกลับรับรู้เพียงว่า ‘บาดเจ็บจากงานล่าสัตว์’ ตามพระประสงค์ของหย่งหมิงฮ่องเต้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของสวีเจียงหลัวขบวนของพระชายาสวียังคงสมฐานะ ทว่าการมาเยี่ยมครั้งนี้กลับไร้ผล เจียงหลีไม่พบสวีฮูหยิน มีเพียงสวีเหล่าไท่ไท่มาต้อนรับ นางจึงกลับไปด้วยความผิดหวังทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของสวีเจียงหลัววางหมากไว้ตั้งแต่แรก นางรู้ดีว่าเมื่อถูกกักขังนานเพียงนี้ อี้เฉินจะทุรนทุรายเหมือนสุนัขติดบ่วง พอหลันถิงรายงานว่าซูเหวินจิ้งเข้าออกตำหนักเหมันต์แล้ว นางก็เดาได้ไม่ยากว่า ใต้เท้าซูต้องแนะนำให้อี้เฉินหลอกใช้เจียงหลีไปพบมารดา เพื่อให้สวีฮูหยินช่วยพาไปถึงราชครูโจวแน่นอน เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ในอดีตนางผ่านมาแล้วดังนั้น ก่อนถึงกำหนดที่เจียงหลัวจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียมต้าหรง เจียงหลัวก็วางหมากล
ขณะที่ไป๋อี้หานกับเจียงหลัวกำลังดื่มด่ำความหวานชื่นช่วงข้าวใหม่ปลามัน ปิดตำหนักหลบผู้คน...ที่ตำหนักเหมันต์ องค์ชายสามไป๋อี้เฉินนั่งพิงเก้าอี้ตัวยาว ไอร้อนจากเตาทองเหลืองโอบล้อมร่างสูง แต่ในแววตากลับเย็นเฉียบสองเดือนแห่งการกักบริเวณเหมือนโซ่ตรวน เขายังจำได้ดีถึงวันที่แผนการล้มเหลว สวีเจียงหลัวหลุดจากเงื้อมมือ เขาเองถูกนางแทงสามแผลจนเกือบพิการ ไม่พอยังถูกฮ่องเต้ลงโทษราวกับเป็นคนผิดเพียงฝ่ายเดียว ความอัปยศนั้นฝังลึกยิ่งกว่าบาดแผลเมื่อรู้ว่าไป๋อี้หาน ผู้เป็นเสด็จอา คุกเข่าขอสมรสพระราชทานกับสวีเจียงหลัว ความโกรธผสมความริษยาแทบกลืนกินสติ เขาอยากเห็นอีกฝ่ายพินาศด้วยมือเขาเอง แต่ในเมื่อถูกขังอยู่ที่นี่ ทุกอย่างต้องเริ่มจากการพ้นโทษก่อน แผนการใหญ่ใดจึงค่อยดำเนินได้ดังใจ“ถังเหยียน ไปเชิญใต้เท้าซูมาพบข้าเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชัดเจน ถังเหยียนรับคำแล้วถอยออกไปไวราวสายลม“หลัวปัง ระหว่างข้ากับใต้เท้าซูคุยกัน อย่าให้พระชายาเจียงหลีเข้ามาแทรกได้”สิ้นคำ หลัวปังก็จากไปอีกคน ไม่นาน ซูเหวินจิ้ง รองเจ้ากรมกลาโหมก็มาถึง เขาก้าวเข้ามาภายในห้องอุ่น พลันกลิ่นยาจีนอ่อน ๆ ก็พุ่งเข้าสู่ปลายจากมากรองท่า