นับตั้งแต่คืนนั้น อินก็ไม่ได้พบคุณเปรมอีกเลย เนื่องจากคุณเปรมต้องเดินทางไปทำราชการที่ต่างเมืองเป็นเวลานาน ความเงียบเหงาโรยตัวลงบนเรือนใหญ่ แม้ว่าทาสทุกคนยังคงทำหน้าที่ของตนตามปกติ แต่สำหรับอินแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบงันกว่าที่เคย
อินยังจำได้ดีถึงสัมผัสอุ่นร้อนที่ริมฝีปากของเขา คืนนั้นเมื่อคุณเปรมหลับไป เขาได้แต่รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างอีกฝ่ายไว้ด้วยความเขินอาย ก่อนจะหนีออกจากเรือนอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก แต่ถึงแม้เขาจะพยายามผลักความทรงจำเหล่านั้นออกไป ทุกคืน... เขากลับฝันซ้ำ ๆ ถึงภาพของตนเองที่กำลังวิ่งหนีออกจากเรือนใหญ่ ก่อนจะกระโจนลงสู่แม่น้ำลึกจนจมดิ่งลงไป ความรู้สึกอึดอัดติดค้างในอก กระทั่งสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ราวกับความฝันนี้พยายามบอกเล่าเรื่องราวของอินคนนั้น ก่อนที่เขาจะมาอยู่ การใช้ชีวิตเป็นทาสในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นของเขาค่อย ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น อินเริ่มคุ้นชินกับการทำงานหนัก และวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนี้เสียแล้ว เดิมที ธีรัช ในร่างของอิน เคยเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องดิ้นรนทำงานหนักมาตลอด จนสามารถส่งตัวเองเรียนจนได้เป็นเซลล์แมนที่ประสบความสำเร็จ มีทุนทรัพย์เหลือเฟือ ทักษะการเจรจาของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นแม้ในเรือนนี้ เขาก็ยังสามารถปรับตัวได้อย่างดี ทาสตัวอื่น ๆ มักจะเข้าหาเขาด้วยความเอ็นดู คุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นเพียงคนเดียว ไอดำ หัวหน้าทาสผู้เคร่งขรึมและดุดัน คนบ้าที่เฆี่ยนเขานั้นแหละ แม้อินจะพยายามยิ้มแย้มเข้าหา แต่ไอดำก็ยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเสมอ แถมชอบพูดจารุนแรงจนรู้สึกเจ็บใจมากๆ แต่อย่างไรก็ตาม อินก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่ใช้ชีวิตไปตามกระแสของโลกใบนี้ก็เพียงพอแล้ว ระหว่างที่คุณเปรมไม่อยู่ อินก็เริ่มสังเกตและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเจ้านายตนเองไปโดยไม่รู้ตัว เขาได้รู้ว่าคุณเปรมเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เป็นที่หมายปองของสาว ๆ มากมาย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะจากที่เขาเคยได้เห็นแบบใกล้ชิดแล้ว... ขนตายาวเรียงตัวสวย คิ้วเข้มรับกับดวงตาคม ริมฝีปากอวบอิ่มน่ามอง.. “เฮ้ย! ไอธี! มึงคิดบ้าอะไรอยู่!” เขารีบตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติกลับมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยมากที่สุดคือ การที่คุณเปรมแยกตัวออกมาอยู่เรือนส่วนตัว ไม่อาศัยอยู่ร่วมกับมารดาเช่นชายหนุ่มทั่วไป แถมยังมีกฎห้ามทาสขึ้นเรือนในเวลาพลบค่ำอีก เรื่องพวกนี้มันดูแปลกประหลาดจนอินอดคิดไม่ได้ “หรือว่าคุณเปรมมีความลับอะไรมี่ปิดบังไว้หรือเปล่านะ?” เขาพึมพำกับตัวเองระหว่างกวาดพื้น แต่นั่นก็ยังไม่แปลกเท่ากับเหตุการณ์คืนนั้น... อินพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองเข้าใจ บางทีคุณเปรมอาจจะเมาจนลืมว่าเขาเป็นผู้ชายก็ได้? แต่ถ้าเมาแล้วทำไมถึงเรียกชื่อเขาออกมาแบบนั้น... อินยังจำได้แม่นยำกับน้ำเสียงพร่ากระซิบที่ยังคงก้องอยู่ในหู “เหตุใดเจ้าจึงหนีข้าไป... อิน...” เพียงแค่คิดถึงคำพูดนั้น อินก็รู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เขากับคุณเปรมเคยมีความสัมพันธ์อะไรมาก่อนหรือไม่? หรือว่านี่คือความลับที่ร่างนี้ยังไม่ได้เปิดเผยแก่เขา? อินยกมือขึ้นกุมขมับ ความคิดต่าง ๆ ตีกันวุ่นวายในหัว “โอ๊ย! อินคนนี้จะบ้าตาย ทำไมถึงต้องมีปริศนาให้แก้ตลอดเลยวะเนี่ย!” " เห็นกูเป็นโคนันหรือไงว่ะ ไอสัสเอ้ย " เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาคงต้องหาทางค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้... บรรยากาศยามค่ำคืนในเรือนทาสยังคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาของเหล่าทาสที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกัน อินนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ สิง มือข้างหนึ่งถือช้อน อีกข้างตักแกงราดข้าวเข้าปากด้วยความเคยชิน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาก็เริ่มคุ้นชินกับรสชาติอาหารไทยโบราณไปเสียแล้ว "ข้าวปลาเป็นยังไงบ้างอิน?" สิงถามขึ้นขณะใช้มือปาดข้าวเหนียวในจานตัวเอง อินพยักหน้าหงึกหงัก "อร่อยดี ข้าชักจะติดใจฝีมือป้าแจ่มซะแล้ว" สิงหัวเราะ "ก็ดีแล้ว อีกหน่อยจะได้กินไปอีกนาน ๆ" ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวและคุยกันอย่างออกรส สิงก็เปรยขึ้นมาเบา ๆ "ว่าแต่...พรุ่งนี้คุณเปรมก็น่าจะกลับถึงเรือนแล้วนะ" ทาสคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน ก่อนจะเริ่มซุบซิบถึงเจ้านายหนุ่มรูปงามของพวกตน "จริงรึ! งั้นเราต้องรีบทำความสะอาดเรือนให้เรียบร้อยแล้วสิ" หญิงทาสคนหนึ่งเอ่ย "ข้าวของต้องเตรียมให้พร้อม โดยเฉพาะในเรือนใหญ่..." อีกคนเสริม อินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอียงคออย่างสงสัย "ว่าแต่...พี่ๆรู้กันมั้ยว่าทำไมคุณเปรมถึงไม่ให้เข้าเรือนใหญ่ตอนพลบค่ำ?" ทันทีที่อินถามออกไป บรรยากาศรอบวงก็เงียบสนิท ทุกคนชะงักไปชั่วขณะก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มทยอยลุกขึ้นพร้อมบ่ายเบี่ยงข้ออ้าง "ข้าขอตัวไปเข้านอนก่อนนะ" "เอ่อ..ข้าก็จะไปพักผ่อนแล้วเหมือนกัน" อินกระพริบตาปริบ ๆ มองบรรดาทาสที่แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้คำตอบเขาสักนิด "นี่เราถามอะไรผิดไปรึเปล่าวะเนี่ย..." สิงที่ยังคงนั่งอยู่ ถอนหายใจยาวก่อนจะจับแขนอินแล้วลากเข้าไปในห้องของตนเอง "ตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะบอก" อินเดินตามไปอย่างมึนงง พอเข้าไปในห้อง สิงก็กดไหล่อินให้นั่งลงก่อนจะปิดประตู แล้วถอนหายใจอย่างหนักใจ "ฟังให้ดีนะอิน เรื่องนี้เป็นความลับที่มีแต่ทาสที่ทำงานกับคุณเปรมมานานถึงจะรู้ และต้องเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ ไม่ปริปากพูดแม้จะโดนขู่ฆ่ายังไงก็ตาม" อินขมวดคิ้ว เอียงคออย่างสงสัย "ความลับอะไรของคุณเปรม? หรือว่า...เขาเป็นคนไม่ดีหรอ?!" สิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่า... แต่เองเคยสังเกตไหมว่าชายหนุ่มรูปงามที่เพียบพร้อมขนาดนี้ เหตุใดจึงยังไม่มีเมีย?" อินนิ่งคิดตาม สิงยังคงพูดต่อ "อีกอย่าง เองเคยสังเกตไหมว่าทำไมคุณเปรมถึงแยกตัวออกมาจากมารดา?" "อืม...จริงด้วย" อินพึมพำ "แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่แปลกนี่ สมัยนี้พ่อแม่ก็จับลูกแต่งงานกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่" สิงถอนหายใจ "นั่นแหละปัญหา มารดาของคุณเปรมต้องการบังคับให้เขาแต่งกับแม่หญิงชนชั้นสูงคนหนึ่ง แต่เขาไม่ยอม จึงแยกตัวออกมาอยู่เรือนหลังนี้" อินพยักหน้าอย่างเข้าใจ "แสดงว่าคุณเปรมคงมีคนรักอยู่แล้วน่ะสิ เลยไม่ยอมแต่งงานกับแม่หญิงคนนั้น?" สิงหัวเราะในลำคอ หรี่ตามองอินก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำ "ถูกต้อง "แล้วทำไมคุณแม่คุณเปรมถึงไม่ยอมละ หรือหญิงคนนั้นมีฐานะไม่ดีหรอ " อินตอบตามความคิดเพราะให้หนังหลายๆเรื่องก็มักจะมีอะไรแบบนี้ " หาใช่ที่เองกล่าวมา " " อ้าว? " " คนรักของคุณเปรมท่านน่ะ..." สิงค์เงียบไปสักครู่ใหญ่ก่อนจะพูดต่อ " เป็นชายด้วยกันเอง" อินตาเบิกกว้าง "หา?!" ทันใดนั้น ภาพค่ำคืนที่เขาถูกคุณเปรมจูบก็แล่นเข้าหัวอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวก่อนที่อินจะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน สิงมองปฏิกิริยาของอินอย่างจับสังเกต ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ " ข่าวพวกนี้เป็นเพียงสิ่งที่พูดกันปากต่อปากของบ่าวในเรื่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมดก็ได้" " แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ห้ามไม่ให้ขึ้นเรือนตอนพลบค่ำละสิง? " อินยกมือเกาหัว " ก็มีบ่าวคนนึงเคยเห็นภาพวาดรูปบุรุษอยู่เกลื่อนห้องคุณเปรมตอนนำชาขึ้นไปให้ท่านน่ะ ไม่มีใครรู้ว่าคนในรูปคือผู้ใด แต่บ่าวคนนั้นก็ปากพล่อยเอาไปพูดจนเสียหาย" " ตอนนี้เลยถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว..จนตอนนี้คุณเปรมเลยตั้งกฎห้ามขึ้นเรือนใหญ่เวลาพลบค่ำเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่าน " " คุณเปรมก็น่ากลัวนะเนี้ย.. " ภาพที่เจ้านายต่อยตีกับโจรในตลาดวิ่งเข้าหัวของอินทันที " ฮ่าฮ่า.. ไม่ดอก คุณเปรมท่านใจดี เองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ เป็นบ่าวคนสนิทเลยไม่ใช่รึ?" . . . . . . . . อินนั่งกอดเข่าอยู่บนเสื่อและผ้าผื่นบางเล็กๆในห้องพักของตน แม้จะง่วงเพียงใดแต่สมองของเขากลับตื่นตัว ราวกับว่าถูกความคิดบางอย่างฉุดรั้งไว้ไม่ให้หลับ “คนรักของคุณเปรมเป็นผู้ชาย” คำพูดของสิงยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา นี่มันยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นเชียวนะ! ยุคสุนทรภู่น่ะ! การที่ชายรักชายในสมัยนี้มันต้องเป็นเรื่องต้องห้ามแน่ ๆ ไม่ใช่แค่ผิดแปลก แต่ยังอาจถึงขั้นถูกตราหน้าว่าเป็นความอัปยศของวงศ์ตระกูลอีกด้วย " เป็นบ่าวคนสนิทเลยไม่ใช่รึ? " อินถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณเปรมจะต้องเผชิญเรื่องราวเช่นนี้ และความสัมพันธ์ของอินกับคุณเปรมมันเป็นยังไงมาก่อนธีรัชก็หาได้รับรู้ไม่ หากตอนนี้เป็นในยุคของเขา ความรักระหว่างชายกับชายไม่ใช่เรื่องแปลก แถมยังมีการสมรสเท่าเทียมกันแล้วอีกต่างหาก แต่กับยุคนี้เล่า? การจะรักใครสักคนมันต้องยากเย็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขานั่งนึกย้อนถึงค่ำคืนนั้น คืนที่ริมฝีปากของเขาถูกช่วงชิงไปโดยบุรุษผู้สูงศักดิ์แห่งเรือนใหญ่ คุณเปรม ใบหน้าหล่อเหลานั้นในยามที่อยู่ใต้ร่างของเขา มีเพียงความโหยหาและความเว้าวอนที่สะท้อนอยู่ในแววตา และคำพูดแผ่วเบาที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบ “เหตุใดเจ้าจึงหนีข้าไป…อิน…” ประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ อินไม่ได้หนีไปไหนเลย หรือว่า… บุคคลที่คุณเปรมหมายถึงนั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นใครบางคนในอดีต? อินยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เขาอยากจะบอกให้ตัวเองเลิกคิดเรื่องนี้เสีย แต่มันกลับเป็นไปไม่ได้ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น “แล้วทำไมเราต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยวะ” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ถ้าหากคุณเปรมมีใครบางคนอยู่แล้วจริง ๆ แล้วทำไมถึงต้องแยกตัวมาอยู่เรือนนี้เพียงลำพัง? ทำไมถึงไม่ให้ทาสขึ้นเรือนหลังพลบค่ำ? ทำไมถึงซื้อตัวเขามาจากตลาดทาสในราคาที่ไม่ใช่น้อย? คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาไม่หยุด อินขมวดคิ้ว พยายามเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน “หรือว่า… เราจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากกว่าที่คิด?” เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอยากช่วยให้คุณเปรมสมหวังนัก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่ลึก ๆ ในใจกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น บางที… ถ้าเขาสามารถช่วยให้คุณเปรมได้พบกับคนรักและทำให้เรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข มันอาจจะเป็นกุญแจที่ช่วยให้เขากลับไปยังโลกเดิมก็ได้ แต่เมื่อคิดถึงจูบนั้นอีกครั้ง อินกลับเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…” เขาพึมพำ พลิกตัวลงนอนขดตัวอยู่บนพื้นไม้กระดาน ปล่อยให้ความคิดพันกันยุ่งเหยิงอย่างนั้น ก่อนที่ในที่สุดเปลือกตาจะหนักอึ้งและหลับไปโดยไม่รู้ตัว . . . . . เช้าวันต่อมา เหล่าบ่าวทาสต่างตื่นกันตั้งแต่ก่อนไก่โห่ ฟ้ายังไม่ทันจะมีแสงแรก ทุกคนก็พากันตื่นขึ้นมาจัดเตรียมสิ่งของอย่างขะมักเขม้น เรือนทั้งเรือนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นตัว พวกบ่าวเร่งรีบจัดโต๊ะ เตรียมสำรับกับข้าว กับปลาสดใหม่จากตลาด พร้อมน้ำอบน้ำปรุงอย่างดี เพื่อรอรับการกลับมาของเจ้านาย อินเองก็ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาช่วยงานเช่นกัน แม้ยังงัวเงียแต่ก็พยายามทำตามหน้าที่ กว่าจะจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย แดดก็ลอยสูงขึ้นจนเกือบบ่ายแก่ ๆ และแล้วในที่สุด นายของเรือนก็มาถึง เรือสำเภาลำงามจอดเทียบท่าที่เรือนริมน้ำ เหล่าบ่าวต่างพากันกรูเข้าไปขนของจากเรือ อินเองก็เข้าร่วมช่วยเช่นกัน และนั่นทำให้เขาได้เห็นคุณเปรมอีกครั้ง ทันทีที่เห็นเจ้านาย ร่างของอินกลับชะงักไปโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาถูกตรึงอยู่กับร่างสูงสง่าในชุดผ้าไหมสีเข้ม แม้ยังคงดูภูมิฐาน แต่ใบหน้ากลับดูซูบลงเล็กน้อย แววตาคล้ำลึกบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า อินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงเผลอเป็นห่วงขึ้นมา? หรือว่า...นี่เป็นปกติของการทำงานรับใช้ จนเกิดความกังวลต่อเจ้านายไปเองโดยอัตโนมัติ? แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง ร่างกายและสายตาของเขาก็ไม่ยอมหันไปทางอื่นเสียที จนกระทั่งคุณเปรมเหลือบมามองมา ดวงตาคมจับต้องใบหน้าของอิน แววเจ้าเล่ห์ระคนขบขันปรากฏขึ้นที่มุมปาก "ไม่เจอกันตั้งนาน จ้องข้าขนาดนี้... คิดถึงข้าใช่หรือไม่ หืม?" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางที่เล่นเอาอินสะดุ้งเฮือก เหล่าบ่าวที่กำลังขนของอยู่ต่างพากันหยุดชะงัก หันมามองหน้าอินเป็นตาเดียว ใครจะไปคิดว่าคุณเปรมจะพูดอะไรเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทาสคนอื่น! อินรีบเบือนหน้าหลบ สองแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ "ไม่ใช่นะขอรับ! ข้าแค่...เอ่อ..." คำแก้ตัวตะกุกตะกักของอินเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคุณเปรม ก่อนที่ร่างสูงจะละสายตาและก้าวขึ้นเรือนไป ทิ้งให้อินยืนอ้าปากค้าง ใบหน้ายังร้อนระอุอยู่ตรงนั้น ขณะที่เหล่าทาสคนอื่นพากันหัวเราะขำขันกับปฏิกิริยาของเขา อินยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง พลางขมวดคิ้วมุ่น "เรื่องบ้าอะไรอีกล่ะเนี้ย...หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า