“อะไรนะ ข้าน่ะหรืออยากเป็นพระชายาของเจ้าอ๋องหน้าโหดนั่น”
“คุณหนูเจ้าคะ! พูดเช่นนั้นหาได้ไม่ นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะเหตุใดจึงได้กล่าวถึงเชื้อพระวงศ์เช่นนั้น ท่านอ๋องเป็นถึงหมิงชินอ๋อง อ๋องแม่ทัพใหญ่คุมดินแดนบูรพาที่ผู้คนยำเกรง เป็นคนที่น่าชื่นชมและ…”
“พอเถอะ ๆ เอาล่ะข้ารู้แล้วว่าเขายิ่งใหญ่ เทียมฟ้าทัดเทียมฮ่องเต้มากเพียงใด”
“คุณหนูนี่ท่านมิได้ชื่นชอบท่านอ๋องแล้วหรือเจ้าคะ”
“เขามาจับข้าถึงในจวน เอาไปขังไว้ในคุกใต้ดินแล้วปล่อยให้จางลี่เหมยมาทำร้ายข้า คนเช่นนี้เจ้ายังจะให้ข้าชอบเขาได้ลงอีกงั้นหรือ ข้ามิใช่คนโง่เช่นนั้นสักหน่อย”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้…”
“ก่อนหน้านั้นก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วล่ะ”
“นี่ท่านตัดใจจากท่านอ๋องได้แล้วจริง ๆ หรือ ท่านแปลกไปมากเลยนะเจ้าคะ”
“แปลกหรือ เจ้าจะบอกว่าก่อนหน้านั้นข้า… เฮ้อ นั่นสินะข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
นางจำได้ว่าเจ้าของร่างคลั่งรักอ๋องผู้นี้มากเพียงใด ต่อให้เขาพูดจาแรง ๆ ใส่นางหรือแม้จะโยนของที่นางให้ออกมานอกจวนต่อหน้า กงเหรินซินก็ไม่สนใจและคิดว่าท่านอ๋องเพียงแค่กริ้วเท่านั้น นางไม่เคยลดละต่อความพยายามจนเป็นที่กล่าวขานทั่วทั้งเมืองหลวง
“ช่างโง่จริง ๆ เสียด้วยสิ”
“เจ้าคะคุณหนู”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อได้เดินสำรวจในจวนแม่ทัพที่กว้างใหญ่นี้ นางก็พบว่าทั้งจวนมีพื้นที่กว้างมากจริง ๆ เรือนของนางจะอยู่ทางตะวันตกและพี่ชายคนรองจะพักอยู่ที่เรือนใหญ่ บัดนี้บิดาและพี่ชายคนโตของนางจะไม่อยู่ นางใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะเดินสำรวจจนรอบและพบว่าด้านหลังมีโรงฝึกอาวุธและชายป่าหลังจวนก็เหมาะที่จะฝึกวรยุทธ์
“เช่นนี้ก็เยี่ยมไปเลย หากฝึกวิชาที่นี่ก็ไม่ต้องมีผู้ใดรบกวน… หอหลัวต๋า ใช่แล้วต้องไปที่นั่นก่อน”
สองวันถัดมา / ในเมือง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านแน่ใจหรือว่าอยากจะมาที่หอหลัวต๋า ที่นั่นมิได้เหมาะ… คุณหนู”
“อาเจิงเจ้านั่งรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปคนเดียว"
“แต่ว่ามันอันตราย ข้าจะปล่อยให้ท่านไปคนเดียวหาได้ไม่”
“ไม่เป็นไร หากว่ามีเจ้าไปด้วยข้าจะยิ่งลำบาก เจ้านั่งรออยู่ที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
อาเจิงเดินตามเหรินซินที่สวมชุดบุรุษ ซึ่งไปขโมยมาจากห้องของพี่ชายคนโตมาสวม เมื่อเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองหลวง อาเจิงจึงเดินแยกไปนั่งรอที่โต๊ะส่วนนางเดินไปที่โต๊ะของผู้ดูแลทันที
“คุณชายท่านนี้ มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ”
“เมฆาจรดพสุธา ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้”
ผู้ดูแลมองหน้าคู่สนทนาด้วยความสนใจก่อนจะตอบกลับมา
“เจ็ดบรรพตมีสิ่งใดกั้นอยู่”
กงเหรินซินดึงพัดขึ้นมาพร้อมกับหันมายิ้มและตอบกลับในประโยคสุดท้าย
“ทุกสรรพสิ่งล้วนดุจหมอกควัน ไม่มีสิ่งใดที่ไร้คำตอบหากต้องการ”
ผู้ดูแลคำนับให้นางหนึ่งครั้งก่อนที่จะให้คนพานางเดินขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมชื่อดัง ตอนนี้กงเหรินซินฟื้นฟูวรยุทธ์ได้เกือบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงบำรุงร่างกายของเจ้าของร่างให้ทนเหนื่อยได้มากกว่านี้อีกนิดนางก็จะเป็นเยว่ชิงชิงในร่างของกงเหรินซินได้อย่างสมบูรณ์
ห้องลับ
เพียงแค่เดินขึ้นมาบนชั้นสองนางก็ได้พบกับความแปลกใจที่ต้องเดินไปยังห้องลับที่อยู่ด้านหลังซึ่งถูกทำขึ้นมาเพื่องานนี้โดนเฉพาะ เมื่อเปิดเข้าไปก็พบบุคคลสวมหน้ากากนั่งรออยู่ด้านใน
“คุณหนูท่านนี้ มิทราบว่าวันนี้มีสิ่งใดให้หอหลัวต๋ารับใช้งั้นหรือ”
เพียงปราดเดียวผู้ที่นั่งอยู่ก็ทราบทันทีว่านางมิใช่ผู้ชาย นับว่าเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง กงเหรินซินไม่อ้อมค้อมเช่นกันเพราะนางเองก็เคยอยู่ในยุทธภพมาก่อน จึงยื่นกระดาษให้เขาทันที
“ข้าต้องการสิ่งนี้”
ผู้ดูแลรับกระดาษมาและเปิดอ่านดู เมื่ออ่านดูในกระดาษสลับกับเงยหน้าขึ้นมามองนางก็เกิดคำถามชวนอยากรู้ขึ้นมา
“กระบี่อ่อนงั้นหรือ แล้วต้องทำจากเหล็กตงหยวนชั้นดี คุณหนูท่านคิดเช่นไรจึงอยากจะสั่งให้หอหลัวต๋าของเราหาสิ่งนี้ให้ เจ้าเป็นสตรีที่ดูบอบบาง…เหตุใดจึงต้องการสิ่งนี้”
เพียงพริบตาเดียวดาบที่ชั้นก็ถูกนางดึงมาและพาดมาที่คอของผู้ดูแลทันที องครักษ์สองคนด้านหลังพร้อมชักดาบออกมาแต่กงหลินซินก็ดึงดาบออกมาและโยนกลับไปสวมในฝักอย่างแม่นยำได้เช่นเดิม
“กระบวนท่ารวดเร็วว่องไวดุจสายลม พลิ้วไหวดุจน้ำแต่ใจร้อนดุจไฟ ท่านมาจากสำนักไป๋ซานเพียงแต่ผู้ที่ใช้กระบวนท่านี้ข้าได้ข่าวว่านางตายไปแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านจะหาสิ่งที่ข้าต้องการได้เร็วที่สุดเมื่อใด”
ผู้ดูแลมองกงเหรินซินอย่างพินิจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจตอบนางไป
“ครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อยเพราะต้องให้ช่างเหล็กฝีมือดีทำขึ้นมา”
“นั่นช้าเกินไป สิบวัน”
“หึหึ สมกับเป็นยอดหญิงในยุทธภพ แต่ข้ากลับไม่เคยทราบเลยว่าคุณหนูตระกูลแม่ทัพจะเคยร่ำเรียนที่สำนักกระบี่อันดับหนึ่งมาก่อน”
“ว่าราคามาเถอะ ข้ายังมีอีกเรื่องอื่นที่จะให้ท่านทำ”
“สองร้อยตำลึง รับแต่เงินสดไม่มีมัดจำ ต้องจ่ายราคาเต็มเท่านั้น”
ตั๋วเงินวางลงบนโต๊ะทันที
“นี่…”
“ข้าจ่ายให้ท่านสองร้อยห้าสิบตำลึง หวังว่าจะเร่งมือทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด หากว่าได้ก่อนสิบวันยิ่งดี”
“เช่นนั้นข้ารับรองว่าท่านจะได้รับสินค้าที่พึงใจแน่นอน คุณหนูกงท่านมีเรื่องใดที่จะให้หอหลัวต๋าจัดการอีก”
“ที่แท้ท่านก็รู้ตั้งแต่แรกว่าข้าเป็นใคร สมกับเป็นหอสืบข่าวอันดับหนึ่งที่รอบรู้ทุกเรื่องในใต้หล้า หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
กระดาษอีกแผ่นถูกส่งไปให้ผู้ดูแลหอหลัวต๋า เมื่อเขาอ่านเสร็จจึงได้หันมามองหน้านางซึ่งเขาแอบนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
“ท่านต้องการทราบเรื่องของสำนักไป๋ซานงั้นหรือ”
“ใช่ ข้ายินดีจ่ายตามที่ท่านเรียกมาแต่ขอทราบโดยละเอียด”
“เช่นนั้นรอสักครู่ ข้าจะให้คนคัดรายงานมาให้ว่าแต่ท่านต้องการทราบเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่”
“ข้าอยากทราบเรื่องราวตั้งแต่ก่อนที่เจ้าสำนักคนเก่าตาย และสถานการณ์ของสำนักไป๋ซานในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เช่นนั้นท่านรอสักครู่ ข้าจะรีบให้คนจัดการให้”
กงเหรินซินควักเงินออกมา แต่ผู้ดูแลกลับยกมือขึ้นมาห้ามนางอีกครั้ง
“คุณหนูกง ข้ายินดีที่ได้ร่วมงานกับท่าน แต่จำนวนเงินที่ท่านจ่ายมาให้มากพอที่จะทำงานสองอย่างนี้แล้ว อย่างมากแค่ข่าวของสำนักไป๋ซานก็ไม่เกินสามสิบตำลึง พวกข้าทำการค้าอย่างยุติธรรม ท่านจ่ายมาเกินแล้วดังนั้น เงินที่เหลือท่านเก็บเอาไว้เถอะ”
“ขอบคุณผู้ดูแล”
“มิกล้า ๆ เชิญท่านนั่งดื่มชารอสักครู่ ข้าจะรีบให้คนนำรายงานมาให้ท่าน”
“ขอบคุณ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
เมื่อได้รายงานจากหอหลัวต๋า กงเหรินซินจึงรีบเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมและตรงกลับจวนทันทีก่อนที่กงอวี้หานจะกลับถึงจวน เมื่อมาถึงก็รีบเปลี่ยนชุดและเครื่องแต่งกายและรีบอ่านรายงานที่ได้มาจากหอหลัวต๋า ซึ่งนับว่ารายละเอียดแทบจะไม่ต่างกับสิ่งที่นางเคยประสบมาราวกับได้กลับไปยังคืนนั้นอีกครั้ง แต่นางเปิดอ่านเพียงไม่นานอาเจิงก็เดินเข้ามาแจ้งว่ามีคนผู้หนึ่งมารอพบนางอยู่ที่โถงด้านหน้า
“คุณหนูเจ้าคะ”
“มีอะไร เหตุใดเจ้าทำหน้าตาตระหนกเช่นนี้”
“ท่านอ๋องมาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่กับคุณชายรองที่ห้องโถงด้านหน้าเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า… ใคร ๆ ต่างก็คิดว่านางเป็นคนทำ จะมีผู้ใดที่เลวร้ายและมีนิสัยแย่แบบนางอีก ท่านพี่เองก็ทราบว่านางไม่ชอบหม่อมฉันเพราะว่าอยู่เคียงข้างท่านพี่ นางจึงอยากกำจัด”"แต่เจ้าจะเอาเรื่องนี้มาใส่ร้ายนางโดยไร้หลักฐานไม่ได้ ข้าสอบสวนนางมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งกงเหรินซินยืนยันหนักแน่น อีกอย่างนางเองก็ตกน้ำไปกับเจ้าหากว่านางอยากจะเอาชีวิตเจ้าจริง ๆ เหตุใดต้องทำให้ตัวเองเกือบตายไปด้วยเล่า""แต่ว่านางมักจะกลั่นแกล้งข้าอยู่ตลอดท่านก็ทราบ ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางอย่างนั้นหรือเพคะ"“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาหน่อยว่าเหตุใด เรื่องที่เจ้าถูกขังไว้ที่ห้องเก็บฟืนในคืนไหว้พระจันทร์จึงใส่ความนาง ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระสนมลี่ที่คิดจะแกล้งเจ้า”“หม่อมฉัน! … นี่พระองค์”“ข้ารู้มาว่าเจ้ากับพระสนมลี่เคยมีปัญหากันเพราะเรื่องการดีดพิณหน้าพระที่นั่ง ก่อนที่จะถูกกงเหรินซินกลั่นแกล้งวางกบย่างในจานอาหารในงานคล้ายวันเกิดของสนมลี่จนทำให้นางโกรธและคิดเอาคืนเจ้า แต่เหตุใดจึงไปโทษว่ากงเหรินซินเป็นผู้ขังเจ้าในห้องฟืนเพียงเพราะนางอยู่ในงานวันนั้นด้วย”“ระ เรื่องนี้ พระสนมอยู่ในวัง อีกทั้งมีพรรคพวกมากมายด
“ท่านอ๋อง! แต่ว่าก่อนหน้านั้นพระองค์เองก็ปักพระทัยเชื่อว่าเป็นนาง อีกอย่างคุณหนูซ่งก็บอกว่า...”“ข้าเฝ้าใคร่ครวญคิดแล้วคิดอีกจนกระทั่งได้ไปพบนางหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทุกครั้งจะปฏิเสธเสียงแข็ง สายตานั่นบอกข้าว่านางไม่ได้โกหก อีกอย่างครั้งก่อนนำยาต้านชวนไปให้ นางก็ปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่งเห็นทีครั้งนี้… เป็นข้าที่เข้าใจนางผิดไปจริง ๆ”“หากว่าไม่ใช่นาง เช่นนั้น...”“กำชับให้คนของเราเร่งกระจายการค้นหา และเรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด”"ท่านอ๋องในเมื่อพระองค์มิได้สงสัยนางแล้ว ทำไมยังส่งของขวัญไปให้นางอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ""แกล้งโง่แล้วหลังจากนี้ก็ต้องหลอกล่อ หากอีกฝ่ายรู้ว่าข้าส่งของขวัญมากมายไปที่จวนสกุลกงย่อมไม่อยุ่เฉย ๆ แน่ สั่งให้คนของเราเร่งมือค้นหาให้ทั่วข้าไม่เชื่อว่าคนร้ายจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้"“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”ตันฉินเดินออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้คิดทบทวนหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ทั้งคำพูด การกระทำและกงเหรินซินที่หลังจากหายดีนางก็ไม่ได้มาวุ่นวายและตามติดเขาเช่นเดิมเหมือนครั้งก่อนแม้ว่าจะเคยสงสัยว่าที่นางหายไปเป็นเพราะไม่อยากเป็นผู้ต้องสงสัย แต่จากที่ดูพฤติกรรมของกงเหรินซินในตอนนี
“คุณหนู นี่ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ หรือเจ้าคะ”อาเจิงถึงกับตกใจ เมื่ออีกฝ่ายหันมามองนางราวกับพึ่งเคยรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก“อาเจิง เจ้าบอกว่าข้า…”“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นคุณชายใหญ่ คุณชายรองและท่าน ทุกคนต่างก็เคยไปศึกษาที่สำนักไป๋ซานมาทุกคน แม้แต่ท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่น ๆ ก็เคยไปที่นั่นมาหมดแล้วเช่นกัน”“อะไรนะ แม้แต่ท่านอ๋องหรือ… อาเจิงเจ้าช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้าฟังอีกทีสิ”“คุณหนู เหตุใดท่านจึงได้อยากฟังเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ เมื่อก่อนเพียงแค่พูดคำว่าสำนักไป๋ซานท่านก็กรีดร้องออกมาและห้ามมิให้ข้าพูด”“ตอนนี้ข้าโตแล้ว อีกอย่างเจ้าก็เห็นแล้วนะว่าตกน้ำครั้งนี้ข้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้นควรจะต้องฝึกยุทธ์สักหน่อยแล้ว หากว่าไม่มีวิชายุทธ์ข้าก็แทบจะช่วยตัวเองไม่ได้เลย เราจะเอาแต่พึ่งอันเมี่ยนไม่ได้เข้าใจหรือไม่”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณชายใหญ่เดินทางไปสำนักไป๋ซานพร้อมกับองค์ชาย…”เรื่องนี้ค่อนข้างทำให้เหรินซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่ากงเหรินซินและคุณชายสกุงกงทั้งหมดจะเคยไปศึกษาที่ไป๋ซาน แต่เมื่อฟังจากที่อาเจิงเล่าให้ฟังนางก็เริ่มจดจำพวกเขาแต่
เหรินซินแค่คิดว่าเจ้าของร่างคงจะเป็นนางร้ายที่ดูงี่เง่า แต่เท่าที่ฟังจากที่อาเจิงเล่า... มันมากกว่านั้นมากนัก จากนั้นอาเจิงจึงได้เล่าว่านางทำทุกทางให้ท่านอ๋องหันมาสนใจทั้งแอบเข้าไปในจวนอ๋องกลางดึก แอบวางยาในน้ำชาแต่ท่านอ๋องรู้ทันและออกคำสั่งห้ามนางเข้าไปในจวนอ๋องอีกแต่นางก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงเฝ้าติดตามและใช้อำนาจของบุตรสาวแม่ทัพ ข่มขู่สตรีทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้ท่านอ๋องมีเพียงคนเดียวที่เหรินซินทำอะไรไม่ได้ก็คือซ่งจินหรูที่เป็นน้องสาวของเขา นางจึงได้เกลียดและคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งซ่งจินหรูอยู่เสมอเมื่อมีโอกาสแต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตนางเลยสักครั้ง“ก่อนหน้านี้ท่านก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะรักมั่นคงเอามาก ๆ เลยนะเจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ ท่านก็ไม่ชอบท่านอ๋องแล้วเล่าเจ้าคะ”อันเมี่ยนเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางที่นั่งฟังเรื่องราวที่อาเจิงเล่า มีท่าทางละเหี่ยใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ฟังเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น“นี่ข้าเคยบ้าผู้ชายถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ มิน่าเล่าถึงได้… เกือบตายเพียงเพราะบุรุษเพียงคนเดียว”“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองมาแล้ว”“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”""เจ้าค่ะ""เมื่อเห็นหน้าคุณชายรองสกุลจาง
“กงเหรินซินเหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้ ตัวเจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ”“ใช่! ตัวข้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้ามิได้ทำ แต่เจ้าเล่ากล้ายอมรับความจริงได้หรือไม่ซ่งจินหรู ว่าเรื่องในวันนั้นเกิดอะไรขึ้น!!”“เฮือก!” “น้องหญิง! กงเหรินซินเจ้าหยุดหยาบคายได้แล้ว”ซ่งจินหรูเพียงแค่เห็นสายตาดุของเหรินซินก็ทรุดตัวล้มลงทันที จางลี่เหมยรีบวิ่งมาพยุงตัวซ่งจินหรูทันทีพร้อมกับหันมาตวาดกงเหรินซิน ตอนนี้แขกในงานเริ่มเข้ามาดูในห้องโถง ท่านอ๋องเมื่อเห็นว่าซ่งจินหรูล้มลงก็รีบวิ่งเข้ามาทันที“จินหรู! เกิดอะไรขึ้น…กงเหรินซิน”เหรินซินหันไปมองพักตร์ท่านอ๋องที่หันมาถามนางอีกครั้ง นางจึงหันไปหัวเราะขำในโชคชะตาของตัวเอง ไม่ว่าชาติใดแม้แต่นางเพียงแค่ยืนหายใจก็ผิดแล้ว“ข้าอีกแล้วงั้นหรือ ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงตัดสินเพียงแค่ตาเห็นสินะ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะหูเบาถึงเพียงนี้”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ายังไม่ทันได้พูดอันใดเลย”ท่านอ๋องหันมาจับแขนของนางอย่างแรง แต่กงเหรินซินที่เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับสะบัดแขนออกมาทันที ใบหน้านี้ทำให้เว่ยเซียวรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็น“ปล่อย! ท่านไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องข้า”“เจ้าจะทำสิ่งใด…”“ข้
แม้ว่าจะไม่อยากทักทาย แต่ผู้ที่กำลังเข้ามาก็จงใจจะเดินมายังที่นั่งของกงเหรินซินอย่างตั้งใจ ดังนั้นนางจึงจำเป็นจะต้องวางจอกชาและลุกขึ้นมาถวายความเคารพ“ถวายบังคมหมิงชินอ๋องเพคะ”“กงเหรินซิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะหายดีแล้ว”“ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่ หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ”“ข้ามิได้ถามไถ่ เพียงแค่พูดตามสิ่งที่เห็นเท่านั้น”กงเหรินซินเงยหน้าขึ้นมามองพักตร์ที่ถือดีตรงหน้า อีกทั้งสตรีที่เกาะแขนของชินอ๋องเอาไว้แน่นอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าตื่นกลัวจนเกินพอดี“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะคิดว่า เป็นเพียงการสนทนาที่ไร้ซึ่งแก่นสารเท่านั้น”“คุณหนูกง เหตุใดเจ้าจึงกล้าหยาบคายกับท่านพี่เช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้า...”“ช่างเถอะจินหรู เจ้าก็น่าจะรู้ดีถึงนิสัยของนางมิใช่หรือ”กงเหรินซินเชิดจมูกขึ้นมองท่านอ๋อง แม้ว่าคุณชายรองจะรีบเดินเข้ามาห้ามแต่ก็ดูเหมือนว่าจะทัดทานศึกนี้มิได้เสียแล้ว“นั่นสิเพคะหม่อมฉันเองก็ยังไม่มีทางลืม “มารยาท” ของคนจวนอ๋องที่เคยเชิญหม่อมฉันไปที่จวนเช่นกัน”ท่านอ๋องพักตร์แดงถึงใบหูเพราะความโกรธ แต่สีหน้าของพระองค์กลับนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดที่สุดเท่าที่ซ่งจินหรูเคยเห็น นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่