ดวงดาวลงลิฟต์มาที่ชั้น 1 แล้วเพื่อไปที่โรงอาหารของบริษัท ในนั้นมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขนมผลไม้เยอะแยะไปหมด
"เอาอะไรดีจ๊ะหนู" ป้าเจ้าของร้านถาม "ดาวขออันนี้กับอันนี้ค่ะ" ดาวชี้ไปที่ถาดอาหารที่อยู่ในตู้ใสดูสะอาดน่าทาน ป้าเจ้าของร้านตักข้าวราดด้วยผัดผักกับหมูทอดส่งให้เธอ "ได้แล้ว 50 บาทจ่ะ" ป้าเจ้าของร้านพูด "นี่คะ" ดวงดาวรับข้าวแล้วหยิบเงินส่งให้ป้าเจ้าของร้าน เธอเดินถือจานข้าวแล้วมองหาโต๊ะว่างอยู่แต่ดูเหมือนมันจะเต็มหมดเลยส่วนโต๊ะที่พอจะมีที่นั่งเธอก็ไม่กล้าเข้าไปขอเขานั่งด้วย ดวงดาว Part "คุณดาวทางนี้ครับ" จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกฉัน ฉันรีบหันไปมองเจ้าของเสียงก็พบเข้ากับคุณชัชที่กำลังโบกมือเรียกฉันอยู่ ฉันเลยเดินไปหาเขา "อ้าว พี่ๆ ก็อยู่นี้ด้วยหรอคะ" ฉันถามเพราะเห็นพี่ๆ จากแผนกฝ่ายบุคคลนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับคุณชัชด้วย "ใช่จ้ะ พวกพี่มาทานข้าวกับชัชเกือบทุกวันแหละ พี่แหม่มตอบ "คุณดาวนั่งด้วยกันสิครับ" คุณชัชพูด "ขอบคุณนะคะ" ฉันตอบแล้วนั่งลงข้างพี่นุ่น "เป็นไงบ้างจ๊ะทำงานวันแรก" พี่เจนถาม "ก็ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะคะอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง...เอ่อ~ ดาวหมายถึงอาจเป็นเพราะมันเป็นงานที่ดาวไม่เคยทำก็เลยงงๆ อยู่หน่อยแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่ค่ะ" ฉันตอบ ที่บอกว่าแปลกหมายถึงความคิดและท่าทางพิลึกของท่านประธานต่างหาก คนอะไรทำตัวเข้าถึงยากกับทุกคนไปหมด "คุณดาวเนี่ยเก่งมากเลยนะครับแค่แปปเดียวก็เริ่มปรับตัวเข้ากับงานได้แล้วไม่เหมือนผมเพราะกว่าจะทำได้แบบคุณดาว ผมยังใช้เวลาตั้งเป็นเดือนๆ" คุณชัชพูด "ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณชัชพูดเกินไปแล้วดาวเองยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย" ฉันตอบ พวกเราทานไปคุยสนุกมากเลย ฉันรู้สึกว่าทุกคนที่นี่ใจดีกับฉันมาก พวกเขาพยามยามชวนฉันคุยตลอดเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกเกร็งแถมแต่ละเรื่องที่เอามาคุยกันก็มีแต่เรื่องตลกๆ ทั้งนั้นทำเอาหัวเราะกันไม่หยุดเลย "พวกเราเป็นพวกชอบคุยชอบเม้าส์น้องดาวไม่รู้สึกอึดอัดอะไรใช่ไหมจ๊ะ" พี่เจนถาม "ไม่เลยค่ะ ดาวชอบ พวกพี่ไม่ต้องเกรงใจนะคะ" ฉันตอบ "ดีเลยจ่ะ" พี่เจนตอบ "แล้วพวกพี่ทำงานที่นี่มานานเท่าไหร่แล้วคะ" ฉันเริ่มบทสนทนาบ้าง "โอ้ย~พี่อยู่มาตั้งแต่บริษัทเพิ่งจะเปิดมาได้ไม่กี่ปีเอง" พี่นุ่นตอบ "ส่วนพี่อยู่ที่นี่มา 7 ปีล่ะ" พี่แหม่มตอบ "ส่วนพี่ก็อย่างที่เคยบอกไปเมื่อเช้าแหละ 5 ปี" พี่บอสตอบ "พี่เพิ่งเข้ามาปีที่แล้วเองจ่ะ ตอนที่พี่เข้ามาใหม่ๆ นะพี่นุ่นกับพี่แหม่มเนี่ยดุพี่อย่างกับอะไรจนพี่ต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นพี่บอกกับตัวเองทุกวันเลยนะว่าให้อดทนไปจนพ้นสิ้นเดือนก่อนแล้วค่อยลาออก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทนไปทนมาก็อยู่มาได้จนเป็นปีล่ะ" พี่เจนตอบ "แหม่~ก็ตอนที่หล่อนเข้ามาเนี่ยทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตอนนั้นฉันนี่ยังงงเลยว่าทำไมบริษัทถึงยอมจ้างคนไม่มีประสบการณ์์อย่างอย่างหล่อนเข้ามาทำงานได้ กว่าจะปั้นหล่อนมาได้ขนาดนี้รู้ไหมฉันเสียพลังงานไปตั้งเท่าไหร่" พี่แหม่มตอบด้วยสีหน้าภูมิใจแต่ก็ทำให้ทุกคนแอบหลุดขำกับท่าทางของพี่แกเหมือนกัน "อยู่มาได้นานขนาดนี้แสดงว่าที่นี่ก็คงดีมากสินะคะ" ฉันถาม "อืม...ถ้าจะให้ตอบตรงๆ มันก็ใช่อยู่จ้ะ งานที่นี่น่ะค่อนข้างหนัก บางทีนั่งทำงานอยู่ข้างกันแท้ๆ ยังไม่ว่างหันมาคุุยเล่นกันเลยยกเว้นตอนพักแบบนี้นะ ยิ่งช่วงไหนบริษัทมีโปรเจคใหม่ออกมาช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ทรมานสุดๆ ไปเลย เหนื่อยจนถึงขนาดไม่อยากลุกขึ้นมาทำงานเลยแต่ที่ทุกคนยังคงทำงานอยู่ที่นี่ต่อก็คงเพราะสวัสดีการอะไรหลายๆ อย่างที่ที่อื่นไม่เคยให้พนักงานอย่างพวกเราแหละมั้ง บริษัทนี้ทุกตำแหน่งเงินเดือนสูงมากปรับขึ้นเดือนขึ้นก็บ่อย ขนาดเป็นคนจบใหม่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนแต่เมื่อเข้ามาทำงานที่นี่แล้วเงินเดือนที่ได้ก็ถือว่าสูงกว่าที่อื่นมาก และที่ชอบที่สุดก็คือบริษัทนี้แจกโบนัสตลอด การที่เราได้ทำงานบริษัทดีๆ ได้ผู้บริหารที่ใส่ใจปัญหาของพนักงานมากๆ แบบนี้มันไม่ง่ายเลยนะและนี่แหละมั้งที่ทำให้พี่กับพนักงานหลายๆ คนยังคงมีกำลังใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแม้จะเหนื่อยมากก็ตาม" พี่นุ่นตอบ "ใช่ ส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วก็มีแต่คนที่เขาอยากจะพักจริงๆ นั่นแหละ คนที่เขาทำงานเก็บเงินกันจนพอใจเขาก็อยากจะออกไปใช้ชีวิตที่หวังกันไว้ทั้งนั้น" พี่แหม่มตอบ ฉันหันไปหาคุณชัชที่นั่งยิ้มอยู่ "แล้วคุณชัชล่ะคะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง" หลังจากจบประโยคที่ฉันถามออกไปสีหน้าทุกคนก็ดูเปลี่ยนไปหมด สายตาทุกคนดูล่อกแล่กแปลกๆ พี่บอสยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแสดงให้เห็นถึงอาการประหม่า พี่นุ่นก็หันหน้าไปมองที่คุณชัชแถมสาวยตายังดูกังวลและเป็นห่วงมากด้วย ฉันเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันไม่รู้ว่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไปหรือเปล่า "เอ่อ...ดาวขอโทษนะคะที่ทำให้บรรกาศมันเป็นแบบนี้ ถ้าคุณชัชไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรนะคะถือซะว่าดาวไม่ได้ถามดีกว่า" ฉันพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด "เปล่าหรอกครับผมแค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี" คุณชัชมองหน้าฉันแล้วยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะพูด "มันยาวมากเลยนะครับ คุณดาวยินดีฟังไหม" ด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แววตาของเขาดูเศร้าแต่ก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจแปลกๆ ฉันเลยพยักหน้าตอบไปว่ายินดี "คือเรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน พ่อกับแม่ผมท่านไปกู้เงินนอกระบบมาก้อนนึงเพื่อที่จะเอามาลงทุนขายผลไม้แต่ก็ขายได้ไม่ดีนักทำให้ผลไม้ที่รับมาก่อนหน้านี้เริ่มค่อยๆ ทยอยเน่าเสียไปจนขายไม่ได้ขาดทุนย่อยยับ ทางเจ้าหนี้เองก็เริ่มส่งคนมาทวงเงินกับพ่อแม่ผมอยู่บ่อยๆ พ่อผมก็เลยต้องออกรับจ้างทุกอย่างที่ทำได้แต่งานหลักๆ ของพ่อในช่วงนั้นที่พอจะได้เงินดีหน่อยก็คือไปรับจ้างกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในเมือง ทำให้พวกเราได้เจอกันน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนแม่ผมก็ไปทำงานเป็นแม่บ้านรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ หารายได้เสริมช่วยพ่อบ้างถึงแม้มันจะได้แค่วันละไม่กี่ร้อยบาทแต่แม่ผมก็ไม่เคยท้อ ในช่วงเวลานั้นผมเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนักมาโดยตลอดเพื่อหาเงินใช้หนี้เขาให้หมดแต่ว่าไม่ว่าจะชดใช้เท่าไหร่มันก็ไม่เคยหมดเลย จากยอดเงินไม่ถึงหมื่นกลายเป็นเงินแสนในเวลาไม่นาน พ่อผมท่านเริ่มเครียดหนักเพราะถูกคนทวงหนี้ตามระรานไม่หยุด บางครั้งพวกนั้นก็ตามไปหาพ่อผมถึงที่ทำงานจนหัวหน้างานของพ่อเขาก็ไม่พอใจแถมถ้าวันไหนถึงกำหนดจ่ายดอกแล้วพ่อผมหามาให้พวกเขาไม่ได้ พวกเขาก็จะทำร้ายร่างกายพ่อผม...ผมนับไม่ได้เลยว่าเจอสภาพพ่อที่คิ้วแตก ปากแตก ใบหน้าบวมช้ำกลับเข้าบ้านมากี่ครั้ง แต่ตอนนั้นผมมันก็แค่เด็กคนนึงนอกจากนอนร้องไห้เสียใจแล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลย พ่อผมเริ่มหันมาดื่มเหล้าระบายความทุกข์ใจ เขาดื่มหนักมากหนักจนเสียงานเสียการทำให้ต้องทะเลาะกับแม่อยู่บ่อยๆ วันนั้นพ่อเมาหนักทำลายข้าวของในบ้านพังไปหลายอย่าง แม่ก็เลยเผลอต่อว่าพ่อไปแรงมากจนทำให้พ่อร้องไห้เสียใจและก็เดินหนีออกจากบ้านไป หลังพ่อหายไปได้ชั่วโมงกว่าพวกเราสองคนก็ออกตามหาด้วยความเป็นห่วงแต่พอเห็นว่าเขาไปนั่งดื่มอยู่ที่บ้านของลุงเข้ม (เพื่อนสนิทพ่อ) เราก็เลยสบายใจขึ้นมา ผมกับแม่จะพากลับบ้านแต่พ่อก็ไม่ยอมแถมยังสลัดแม่จนเกือบล้ม ลุงเข้มเห็นว่ากลับไปคงทะเลาะกันเหมือนเดิมเลยบอกว่าจะดูแลพ่อให้เองไว้เดี๋ยวพ่อใจเย็นจะพากลับไปส่งที่บ้านให้ ผมกับแม่เลยยอมกลับไปก่อน คืนนั้นทั้งคืนผมได้ยินเสียงแม่ร้องสะอึนสะอื้นอยู่ในมุงด้วยความเสียใจเพราะเผลอพูดจาไม่ดีกับพ่อ พอเช้ารุ่งขึ้นเราตื่นมาก็ยังไม่เห็นพ่อกลับบ้านเลยไปหาเขาที่บ้านลุงเข้มอีกครั้งแต่ลุงเข้มบอกว่าไปส่งพ่อกลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแม้จะรู้สึกงงๆ ที่ไม่เห็นพ่อที่บ้านแต่พวกเราก็รู้ดีว่าลุงเข้มไม่มีทางโกหก ดังนั้นผมกับแม่จึงกลับมาหาพ่อที่บ้านอีกครั้งแต่ก็ไม่พบ พวกเราเป็นห่วงเขามากกลัวว่าถ้าพ่อเมาแล้วจะไปมีปัญหากับชาวบ้านเขาอีก ก็เลยวิ่งออกตามหาไปทั่วแต่ไม่ว่าจะไปถามหาพ่อกับใครทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้ ไม่เห็นจนพวกเรารู้สึกหมดหวัง ตอนนั้นแม่คิดว่าพ่อคงเสียใจแล้วทิ้งแม่ไปแล้วพวกเราเลยตัดสินใจเลิกตามหาพ่อแล้วเดินกลับบ้านพร้อมน้ำตา ผมสงสารแม่มากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยเพราะคิดว่าเธอคงอยากอยู่เงียบๆ มากกว่า พอมาถึงบ้านแม่ก็เดินเหม่อลอยเข้าบ้านไปผมรู้ว่าเธอต้องเข้าไปนอนร้องไห้แน่แต่ก็ปล่อยเธอไป ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจผมให้เดินไปที่สวนหลังบ้านที่พ่อเคยปลูกไว้ อาจเป็นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้เราแต่พอผมเดินไปถึงที่นั่นความรู้สึกของผมมันก็เปลี่ยนไปทันทีแบบที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้สนใจอะไรแล้วและสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมตกใจจนแทบช็อคเพราะบนหัวของผมมีร่างของชายคนนึงที่พวกเราหากันมาทั้งวันห้อยอยู่...ใช่ครับ พ่อผมเขาเอาเชือกผูกคอตัวเองไว้แล้วห้อยลงมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ด้วยความตกใจผมกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงทำให้แม่ได้ยินเสียงแล้วรีบวิ่งมาหาผมด้วยความเป็นห่วงทันทีแต่พอเธอมาถึงเธอก็ช็อคไปพักนึงแล้วล้มลงไปนั่งร้องไห้เสียงดังอยู่ที่พื้น เสียงร้องของเธอตอนนั้นผมยังจำได้ดีจนถึงวันนี้ มันโหยหวนปานคนกำลังจะขาดใจตายเลย ส่วนผมหลังจากที่กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจากปากอีกเลย ผมยืนจ้องไปที่พ่อด้วยความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนนั้นผมช็อคมากมากถึงขนาดที่ว่าผมร้องไห้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แขนขาของผมมันแข็งไปหมดเหมือนทุกอย่างรอบตัวมันจบที่ตรงนั้นไปแล้ว" คุณชัชเล่าไปน้ำตาคลอไปฉันเองถึงแม้จะไม่เคยเจอเหตุการณ์น่าเศร้าใจแบบคุณชัชแต่ก็ยังรู้สึกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียคนที่รักไปต่อหน้าต่อตาของคุณชัชเหมือนกัน "หลังจากงานศพของพ่อ แม่ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่ครอบครัวเรามีหนี้สินที่ต้องชดใช้ แม่ผมเลยจมอยู่กับความทุกข์ได้ไม่นานนักแล้วหลังจากนั้นแม่ก็เริ่มทำงานหนักขึ้นหนักขึ้นจนแทบเธอไม่มีเวลาให้ผมเลยด้วยซ้ำ แม่ผมทำทั้งงานเช้า งานกลางวัน งานกลางคืน งานมีมาเสนอให้กี่งานเธอก็รับหมด ตอนนั้นผมยังเด็กเลยไม่ได้คิดอะไรมากจนกระทั่งแม่ผมล้มป่วย เธอไม่เคยบอกผมเลยว่าตอนเองเป็นอะไร เจ็บป่วยตรงไหน ไม่เคยแม้แต่จะพาตัวเองไปหาหมอด้วยซ้ำเพราะไม่อยากหยุดงานกลัวว่าบ้านเราจะขาดรายได้จนสุดท้ายก่อนที่แม่จะจากไปผมถึงได้รู้ว่าแม่ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายอยู่และมันหมดหนทางรักษาแล้ว...ย้อนกลับไปตอนนั้นผมจะรู้ได้ไงว่าแม่ป่วยเพราะขนาดตัวแม่เองก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้นเพื่อนๆ ที่ทำงานของแม่พาเธอไปส่งโรงพยาบาลเพราะแม่เป็นลมหมดสติในที่ทำงานผมก็คงไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่แม้แต่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเธอแล้ว และหลังจากที่ตรวจพบมะเร็งได้แค่ 2 เดือนแม่ผมก็จากไป ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียวทำให้ผมต้องย้ายไปอยู่กับป้าที่ต่างจังหวัดก่อน ป้าของผมท่านรับผมไปดูแลทั้งที่ครอบครัวตัวเองก็ลำบากอยู่แล้วนั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ป้ากับสามีของป้าต้องทะเลาะกันบ่อยๆ เนื่องจากป้าผมไม่มีงานทำป้าป้าผมเธอเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเลี้ยงลูกอีก 2 คนมีแค่สามีของป้าเท่านั้นออกไปที่ทำงานสุดท้ายสามีของป้าก็ไม่ทนและขอหย่ากับป้าในที่สุด เขาฟ้องขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 และชนะคดีด้วย หลังจากออกจากที่นั้นทำให้ผมต้องอยู่กันแค่ 2 คน ป้าพาผมกลับไปอยู่บ้านเกิดของป้ากับแม่และป้าก็เริ่มหางานแถวบ้านทำ มีใครจ้างอะไรป้าผมก็ทำหมดแต่ด้วยความที่ป้าผมท่านไม่เคยทำงานมาก่อน ตอนเด็กร่างกายป้าไม่ค่อยแข็งแรงตากับยายเลยไม่เคยให้ป้าออกไปทำงานที่ไหนเลยให้อยู่บ้านทำงานบ้านอย่างเดียว พอแต่งงานสามีก็เป็นคนหาเลี้ยงมาโดยตลอดดังนั้นป้าผมเลยทำงานอะไรไม่ค่อยได้ถึงทำได้ก็ทำช้าไม่ทันใจเจ้านาย กี่งานต่อกี่งานก็ถูกไล่ออกหมดสุดท้ายผมกับป้าเลยเอาเงินเก็บที่พอมีอยู่ไปซื้อผักมาปลูกเพื่อจะได้เก็บไปขายที่ตลาด โชคไม่ดีที่เจ้าของตลาดเองก็ใจร้ายกับพวกเรามาก เขาไล่ป้าให้ออกไปขายที่อื่นไม่ให้ป้าเช่าแผงต่อแล้วนื่องจากบางวันมันขายไม่ได้ ทำให้เราไม่มีเงินจ่ายค่าแผง ป้าผมเลยไปนั่งขายอยู่แถว 4 แยกไฟแดงตรงนั้นมันมีที่ดินว่างเปล่าที่มีป้ายประกาศขายติดอยู่และเพราะแบบนั้นจึงไม่ได้มีใครมาไล่เราสองคนให้ออกไป แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างเพราะสวรรค์ท่านเห็นใจพวกเราก็เลยส่งคนใจคนนึงดีลงมาช่วยผมชีวิตกับป้าไว้" คุณชัชพูด นั่นเป็นรอยยิ้มแรกเลยปรากฏขึ้นบนหน้าของคุณชัชตั้งแต่ที่เชาเล่าเรื่องราวของเขาออกมา "เขาตั้งใจจะไปซื้อที่ดินตรงนั้นพอดีแต่เห็นป้าผมนั่งขายผักตากแดดร้อนๆ อยู่ก็เลยเดินเข้ามาสอบถามพวกเรา ผมจำได้ดีเขานั่งยอลงมาหาผมกับป้าแต่ผมจำไม่ได้ว่าเขาคุยอะไรกับป้าบ้าง รู้แค่ว่าป้าพูดไปร้องไห้ไปแถมป้ายังจับมือผู้ชายคนนั้นไว้แน่นมากหลังจากนั้นไม่กี่วันป้าก็พาผมขึ้นรถทัวร์มาลงที่กรุงเทพ เราเช่าห้องเล็กๆ อยู่ด้วยกัน ผมมีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ป้าผมมีโอกาสได้ทำงานมีเงินเดือนเหมือนคนอื่นเขา ต้องขอบคุณเขาคนนั้นเลยนะครับที่ส่งผมเรียนจนจบ ทำให้ผมได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาแบบทุกวันนี้" คุณชัชเงยหน้าขึ้นมาพูดกับฉันด้วยรอยยิ้ม "ใครหรอคะ" ฉันถาม "คุณเรวัตครับ" คุณชัชตอบ แต่ฉันยังคงทำหน้างง "ท่านคือผู้บริหารคนก่อนของที่นี่พ่อของท่านประธานไงครับ" คุณชัชตอบ ฉันได้้เข้าใจแล้วก็พยักหน้าตอบคุณชัชอย่างไม่อยากจะเชื่อ "งั้นก็ดีเลยสิค่ะได้ทำงานตอบแทนคนที่เคยให้ความเมตตาคุณชัชกับป้า" ฉันพูดด้วยรอยยิ้ม "มันไม่ได้ดีแบบนั้นหรอกครับคุณดาว" คุณชัชตอบ1 สัปดาห์ต่อมาฉัันยังคงมาทำงานตามปกติเหมือนทุกวันแต่ที่ดูจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็คือการทำงานของฉันดูราบลื่นขึ้นมากและได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อยๆ แถมพนักงานหลายๆ คนก็เริ่มให้ความการเคารพฉันในฐานะเลขาของคุณทศบ้างแล้วจากที่ตอนแรกดูจะตึงๆ และไม่ชอบฉันอย่างเห็นได้ชัด"คุณดาวหลังจากที่ทีมการตลาดได้โฆษณาออกไปผลตอบรับของโครงการหมู่บ้านที่พัทยาเป็นยังบ้าง" คุณทศถาม"ดีมากเลยค่ะคุณทศ ตอนนี้ลูกค้ากำลังให้ความสนใจโครงการของเราเป็นอย่างมากแล้วก็มีสปอนเซอร์รายใหญ่ติดต่อมาหลายบริษัทเลยค่ะ" "งั้นก็ดีแล้ว คุณไปทำงานต่อเถอะ" คุณทศพูดจบฉันก็เดินออกจากห้องทำงานของเขาแล้วมานั่งทำงานของตัวเองต่อเหมือนเดิม พอใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันฉันก็กดสั่งอาหารมาไว้ให้เขาตามปกติก่อนจะลงไปทานมื้อกลางวันของตัวเองที่โรงอาหารโรงอาหารทุกคนนั่งทานอาหารกลางวันและพูดคุยกันถึงปัญหาต่างๆ ในแต่ละวันกันอย่างสนุกสนานมีทั้งเรื่องรถติดบ้าง ทะเลาะกับสามีบ้าง มีปัญหาหากับเพื่อนร่วมงานบ้าง"น้องดาวเย็นนี้ว่างไหมจ๊ะ" พี่เจนถามก็ว่างนะคะพี่เจน พอดีดาวไม่ได้มีงานด่วนอะไรด้วย" ฉันตอบงั้นน้องดาวไปกับพวกเราไหม" พี่เจนถาม"พวกพี
"อะไรนะ!!" เสียงของอนุวัฒน์ดังขึ้นเมื่อลูกน้องคนสนิทมารายงานข่าวเรื่องที่ดิน ที่เขาเคยยื่นขอเสนอไปแต่ก็ถูกตัดหน้าไปก่อนอย่างหน้าเสียดาย"คึ...คือคุณลดาเธอบอกว่าเธอนำที่ดินไปลงทุนกับบริษัท KTK แล้วครับ" ดนัยตอบ (ลูกน้องของอนุวัฒน์)"เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อเราติดต่อพูดคุยกับคุณลดาไว้ตั้งแต่หลายเดือนแล้วนิว่าเราจะขอซื้อที่ดินตรงนั้นของเธอด้วยเงินสด ทำไมเธอถึงยังปฎิเสธเราได้อีก นี่แกประสานงานยังไงกันแน่ว่ะ" อนุวัฒน์ถามด้วยความโมโห"คือผมทำตามที่คุณอนุวัฒน์สั่งจริงๆ นะครับแต่ผมทราบมาว่าคุณทศราชผู้บริหารคนใหม่ของทางบริษัท KTK ได้ยื่นขอเสนอให้คุณลดาเป็นหุ้นส่วนโครงการใหม่ที่ทางบริษัทนั่นกำลังจะทำขึ้นในอีกไม่ช้าแถมยังให้เปอร์เซ็นที่สูงอีกด้วย เธอก็เลยเกิดลังเลกับข้อเสนอของเราแล้วตกลงเซ็นต์สัญญากับทางนู้นครับ" ดนัยตอบ อนุวัฒน์รู้สึกโกรธยิ่งขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าเด็กรุ่นใหม่ที่พึ่งจะก้าวเข้าวงการของธุรกิจอย่างทศราชมาชิงตัดหน้าเขาไป เขาติดต่อกับคุณลดามาเป็นเวลานานมากกว่าคุณลดาจะยอมเปิดใจอ่านสัญญาซื้อขายกับเขา เสียทั้งเงินทั้งเวลทไปก็ไม่ใช้น้อยเพื่อซื้อใจฝั่งนั้นแต่กลับมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่เ
ฉันค่อยๆ นั่งลงตามที่คุณทศสั่ง"คุณทศจะไม่กลับบริษัทหรอคะ" ฉันถาม"ผมหิวข้าวน่ะ" คุณทศตอบ ฉันตกใจรีบยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาทันทีถึงได้รู้ว่านี่มันเลยเวลาอาหารกลางวันของคุณทศมานานแล้ว"โอ้! จริงด้วย ดาวขอโทษนะคะที่ไม่ได้สั่งอาหารกลางวันมาให้คุณทศ" ฉันพูด"เราอยู่กันที่ร้านอาหารนะไม่ใช่บริษัท ถึงคุณจะสั่งอะไรมาให้ผมผมก็กินไม่ได้อยู่แล้วป่ะ" คุณทศตอบ"ดาวขอโทษค่ะ" ฉันมัวแต่ลนจนทำขายหน้าคุณทศอีกแล้ว"อยู่กับผม คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรที่ไม่ได้ทำผิด เข้าใจไหม! ได้ยินทีไรล่ะรู้สึกหงุดหงิดทุกที" คุณทศพูด"ขอโท- " ฉันกำลังจะเผลอพูดคำนั้นออกมาอีกครั้งแล้วแต่ก็เจอเข้ากับสายตาที่มองมาอย่างดุๆ ก็เลยชะงักไปก่อน"เอ่อ~...รับทราบค่ะ" ฉันตอบ"แล้วนี่คุณไม่หิวหรือไง" คุณทศถาม"ดาวว่าจะกลับไปทานที่บริษัทค่ะ" ฉันตอบ"นี่มันจะบ่ายสองแล้วกว่าจะไปถึงบริษัทก็เกือบเลิกงานพอดี ผมทนไม่ไหวหรอกนะ" คุณทศตอบแล้วยกมือเรียกให้พนักงานมารับออร์เดอร์"คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะเดี๋ยวผมเลี้ยงเอง" คุณทศพูดแล้วลงไปดูเมนูอาหาร ฉันรับเมนูจากพนักงานมาเปิดดูก็ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่รู้ทำไมอาหารทุกอย่างมันถึงได้แพงขนาดนี้ ราคาอาหาร
ฉันกับคุณทศมาถึงร้านได้ประมาณ 30 นาที แล้ว ฉันนั่งอยู่ข้างๆคุณทศได้แต่เงียบไม่กล้าพูดอะไร คุณทศสั่งน้ำผมไม้มาให้ฉันระหว่างที่นั่งรออยู่ ฉันก็เห็นว่ามีผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งเดินตรงมาที่โต๊ะของพวกเราเมื่อพวกเขาเดินมาถึงคุณทศกับฉันก็รีบยืนขึ้นทันที "สวัสดีค่ะคุณทศราชรอนานไหมคะ" คุณลดาถาม "สวัสดีครับคุณลดา คุณเอกภพ รอไม่นานเลยครับพวกเราเองก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน เชิญนั่งก่อนสิครับ" คุณทศพูดด้วยคำสุภาพน้ำเสียงทุ้มน่าฟังสุดๆ แต่เดี๋ยวนะรอไม่นานอะไรละนี่มันตั้งครึ่งชั่วโมงเลยนะ"คุณลดากับคุณเอกภพสั่งอะไรก่อนดีไหมครับ" "ไม่ดีกว่าครับพวกเราทานมาแล้ว" "เอ่อ! นี่คือคุณดวงดาวเลขาของผมครับ" ฉันรีบก้มหัวเพื่อแสดงความเคารพและกล่าวแนะนำตัวอย่างมีมารยาท "งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ" พอคุณทศเริ่มพูดฉันก็หยิบแผนโครงการออกมาส่งให้คุณลดากับคุณเอกภพทันที "โครงการนี้คาดว่าจะเปิดพร้อมเข้าอาศัยประมาณสิ้นปีนี้ครับ จะมีบ้านทั้งโครงการทั้งหมด 25 หลังใหญ่ 10 หลังและบ้านขนาดกลาง 15 หลังครับ ทางเราคาดการงบของโครงการประมาณไว้ไม่เกินหนึ่งพันล้านบาทครับ ตอนนี้จากการคำนวณของทางบริษัทบ้านหลังใหญ่เราจะได้กำไร
ฉันมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าและตอนนี้ก็กำลังนั่งคุณทศอยู่ที่ล็อบบี้ ฉันคิดมาตลอดทางว่าฉันจะทำทุกอย่างที่คุณชัชเคยทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผิดต่อความตั้งใจของเขา พอรถของคุณทศมาจอดที่ประตูหน้าบริษัทฉันก็รีบเดินไปรอรับเขา ตอนแรกฉันกะว่าจะช่วยเปิดประตูรถให้แต่ก็เข้าไปไม่ทันพี่รปภ.ที่ยืนรออยู่ ฉันเลยได้แต่ยืนมองดูด้วยความเสียดาย ทันทีที่คุณทศลงจากรถฉันก็ยื่นมืือไปขอกระเป๋าและเอกสารในมือเขาทันที คุณทศมองหน้าฉันแปปนึงก่อนที่จะส่งของทั้งหมดมาให้ ฉันรับมันแล้วเดินตามหลังคุณทศไปติดๆ ฉันเห็นคุณทศเหล่มองมาที่ฉันหลายครั้งสงสัยคงยังไม่ชินละมั้ง พอประตูลิฟต์เปิดออกฉันก็รีบเดินตามเข้าไปจนเผลอชนเข้ากับหลังของเขาจังๆ "ขอโทษค่ะ" ฉันพูดแล้วรีบถอยตัวหนีทันที"เอกสารที่ให้เตรียมพร้อมหรือยัง" คุณทศถาม"เรียบร้อยแล้วค่ะ" ฉันตอบ ฉันพูดจบคุณทศเดินออกไปเลย เขาเป็นคนที่เดินเร็วมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะขายาวด้วยหรือเปล่าทำเอาฉันที่สับแทบตายก็ยังตามไม่ทันบวกกับมีรองเท้าส้นสูงด้วยแล้วนี่ยิ่งไปกันใหญ่"เดี๋ยวคุณเข้าไปคุยกับผมในห้องด้วยนะ" คุณทศพูดแล้วเปิดประตูเข้าไปห้อง ฉันวางของของคุณทศลงบนโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเดินอ้อมไป
หลังจากเลิกงานฉันก็ออกมานั่งรอแท็กซี่อยู่ที่หน้าบริษัท"ไปไหนครับ" พี่คนขับถาม"ไปตลาดคุ้มฟ้าค่ะ" ฉันตอบ "ได้ครับ" เค้าตอบฉันแล้วกดมิเตอร์ทันที พอมาถึงตลาดฉันก็รีบหยิบเงินส่งให้พี่คนขับแล้วลงจากรถเพื่อไปหาแม่กับป้าน้อยในตลาด ปกติหนึ่งวันของบ้านเราช่วงเช้้าแม่กับป้าน้อยจะทำขนมออกมาขายด้วยกัน พอสายๆ หน่อยคนเริ่มซาแล้วป้าน้อยก็จะเดินไปซื้อพวกของสดในตลาดเพื่อมาเตรียมไว้ทำพวกข้าวแกงมาขายตอนเย็น โชคดีที่ตลาดที่นี่ติดกับโรงงาน โรงเรียน วัดและก็ศาลเจ้าเลยทำให้มีคนเดินพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเป็นวันพระพวกเราก็จะทำขนมและกับข้าวถุงมาแต่เช้าเลย ถึงอย่างนั้นก็ยังขายหมดเร็วมาก ส่วนตอนเย็นก็จะเน้นขายไปที่พนักงานโรงงานที่เลิกค่ำๆ หน่อยเพราะตลาดคุ้มฟ้าของเราจะเปิดตั้งแต่ตี 5 ครึ่งถึง 3 ทุ่มเลย ฉันเดินเข้าที่แผงของเราก็เห็นคนกำลังมาต่อคิวซื้อกับข้าวของเราเต็มเลย แม่ฉันจะคอยหยิบกับข้าวใส่ถุง รับเงินทอนเงินส่วนป้าน้อยก็ตักกับข้าวใส่ถุงมัดยางวางใส่ถาดไว้ให้แม่ ตอนนี้ทั้งสองคนดูยุ่งมากเลยฉันก็เลยรีบเข้าไปช่วยทันที"มาเลยจ้าๆ อร่อยทุกอย่างเลยนะคะ" ฉันพูดพร้อมกับเอากระเป๋าไปวางไว้ข้างหลังแผง "อ้าว เล