Masukเซรัสทิ้งเรื่องดินแดนชายป่าเอาไว้เพราะต่างฝ่ายต่างไม่อยากพูดถึงแล้วให้สิทธิ์เทร่าเดินสำรวจภายในห้องแห่งนี้เพราะเขาเองก็กลัวใจไคเอลว่าจะไปหยิบจับอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรมา ไม่นานนักเทร่าก็นำของในห่อผ้าออกมาวางมีทั้งยาน้ำยาผง หรือเศษรากไม้ที่เหมือนเก็บได้จากข้างทาง
“ผลงานเพื่อนนักประดิษฐ์ของเจ้า” คนถูกกล่าวถึงหลบตาจากนั้นเทร่าก็สะพายห่อผ้าขึ้นหลังแล้วเดินไปจนถึงหน้าประตู ก่อนจะก้าวออกไปเธอหันมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “เจ้าอย่าลืมนะว่าที่นี่เจ้าแค่เป็นศูนย์พักพิงและช่วยเหลือ อย่าคิดจะเลี้ยงพวกมันไว้ระยะยาวล่ะ” ฝากไว้เท่านั้นเซรัสก็พยักหน้ารับก่อนที่ร่างนั้นจะหายวับไปกับตา “ยัยแม่มดนี่ ช่างจับผิดแล้วก็ขี้หวง เจ้าก็อย่าไปใส่ใจนางมากเลยนะ นางน่ะเข้าสังคมไม่เป็น” เซรัสเพียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้ ตอนนี้ในหัวไม่ได้ติดอยู่กับการกระทำของเทร่า แต่สิ่งที่เธอพูดต่างหากที่มันติดอยู่ในความคิดของเขา ตะวันลับไปแสงประกายในป่าด้านหลังก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นเพราะกวางเขาแก้วที่เรืองแสงขึ้นมาจนปันแสงให้รอบ ๆ รวมถึงเซรัสที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหามันอย่างระวัง “ชู่ว…” หันไปมองเจ้านกนักดนตรีที่มันกำลังจะร้องทักทาย แต่ก็ต้องท้วงเอาไว้เพราะอาจไปปลุกเจ้าลูกลิงที่เพิ่งได้นอนหลับ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปช้า ๆ กระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้ากวางเขาแก้วที่มองเขาไม่วางตา มันถอยหลังเล็กน้อยแล้วก้มลงเอาเขาแตะที่ไหล่ของเจ้าชาย เซรัสยกมือที่สั่นขึ้นมาทิ้งระยะห่างเอาไว้ให้กวางน้อยได้เอาเขามาแตะเป็นเหมือนคำขอบคุณจากลูกกวางน้อย “แก สบายดีแล้วสินะ” เขาอุ่น ๆ มันยกมวลหนัก ๆ ออกจากอกเขาได้ฉับพลัน เซรัสไล่มองรอบกายที่มีแสงสว่างนำสายตาร่องรอยแผลค่อย ๆ เลือนลงไป มันยืนเต็มพื้นที่และถ่ายน้ำหนักลงขาหลังได้อย่างสบาย ๆ ครานั้นเสียงหายใจของเขาและมันก็ดังขึ้นพร้อมกัน “ฮ่ะ ๆ แกล้อเลียนฉันหรือไง” กระนั้นก็ลูบหัวมันเล็กน้อยแล้วประคองให้มันเดินตามเขาไปตรงโขดหิน “ขอบใจแกนะที่สู้มากับฉัน ขอบคุณนะที่สู้เพื่อตัวเอง” แววตากวางเด็กประกายแวววาวมันดูมีความหวังต่างกับวันแรกที่เจอกัน นับเป็นเรื่องดีที่น่าใจหายเพราะเขาจะต้องทำสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งก็รู้สึกทรมานใจไม่น้อย ยามที่ลุกขึ้นประคองเขาของมันออกแรงดึงเล็กน้อยรั้งให้เดินตามไปยังท้ายสุดของชายป่าที่ห่างจากเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่หลบพักในร่มเงาบ้านไม้แห่งนี้ เมื่อพ้นจากแสงโคมไฟก็ได้แสงจากเขาแก้วส่องทางให้เขาเห็นรอบ ๆ จนมันไกลลับตามองไม่เห็นแม้แต่แสงรำไรของตะเกียงพวกนั้น เซรัสก็ผละออกจากเจ้าลูกกวาง ถอยหลังออกมาทั้งที่สายตายังคงมองมันที่ไม่ได้แสดงอาการตกใจ กลับกันแววตานั้นกลับแฝงแววน่าใจหายจนหัวใจเซรัสกระตุกวูบ กระนั้นมันยังกระโดดยกเท้าด้านหลังขึ้นเล็กน้อย ซ้ำ ๆ เหมือนกำลังจะบอกว่าร่างกายของตนเต็มร้อยและบอกเซรัสว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ “เชื่อแล้ว ๆ พอแล้ว…รู้แล้วว่าแกแข็งแรงมากเลยล่ะ” ลูบหัวมันเบา ๆ ให้กวางน้อยหยุดดีดดิ้น “ต่อนี้ไป ต้องไปใช้ชีวิตตัวเดียวแล้วนะ หวังว่าแกจะตามหาแม่แกจนเจอนะ” เขาไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร เทร่าเคยบอกว่าการตั้งชื่อให้สัตว์ก็เหมือนยอมรับมันเป็นสมาชิกและจะต้องเลี้ยงมันไปตลอดชีวิต แต่สำหรับเซรัส มันคือการสร้างความผูกพันทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันจะได้เป็นเพื่อนกันไปชั่วชีวิตต่างหาก “เอาล่ะ โชคดีแล้วก็อย่าโดนใครทำร้าย หรือต่อให้แกแข็งแรงที่สุดในป่านี้ ก็อย่าได้ทำร้ายใครอีกล่ะ” มันซบหน้าลงบนมือเขาเหมือนจะบอกว่าตอบรับคำสั่งนี้และคงกำลังอวยพรให้เขาเช่นกัน “โชคดีล่ะ” จำใจปล่อยมือออกจากกวางเด็ก มันก็เช่นกัน เดินถอยออกไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา ต่างคนต่างมองกันอยู่อย่างนั้นจนเป็นเซรัสเองที่เดินออกมา เดินหน้ากลับไปทางเดิม หันกลับมามองกี่ครั้งก็จะเห็นกวางตัวเดิมยืนอยู่ที่เดิมแต่มีทีท่าจะเดินตามเขากลับไปหรือแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง กระทั่งต้นไม้บดบังจนลับสายตาเขาก็รับรู้ถึงความต้องการของเพื่อนตัวนั้น มันแค่อยากส่องทางให้เขากลับถึงบ้านไม้โดนปลอดภัย มอบงานต่อให้ตะเกียงไฟที่ห่างไปอีกเกือบห้าร้อยเมตร กระทั่งก้อนไฟเปล่งประกายวิ่งหลบหายเข้าไปในป่า มีเห็นอยู่บ้างตอนที่มันกระโดดข้ามพุ่มไม้ บางทีก็หายไปตอนที่เข้าเขตป่าหนาปกคลุม เซรัสรับรู้เรื่องนี้ในตอนเช้าจากปากของเทร่าที่ออกสำรวจรอบ ๆ “นี่แปลว่าเธอก็คอยดูทุกชีวิตในป่านี้เลยล่ะสิ” เซรัสลอบถอนหายใจเมื่อฟังความคิดเพื่อนนักประดิษฐ์ของเขา “ประเด็นของเรื่องนี้คือเจ้ากวางนั่นปลอดภัยดี เจ้าได้ฟังข้าหมดหรือเปล่าเนี่ย” “ก็ฟังหมดน่ะสิ ถึงได้รู้ว่าเจ้าขี่ไม้กวาดลาดตระเวนรอบ ๆ อย่างนี้เวลาใครไปไหนทำอะไรเจ้าก็รู้หมดน่ะสิ” เซรัสส่ายหน้าแล้วเดินออกไปปล่อยให้คนทั้งสองได้ปะทะฝีปากกัน เทร่าเองก็กอดอกถอนหายใจแล้วเปิดแผนที่เก่าขึ้นมาดูเล่น ๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรนอกจากแสดงความไม่ใส่ใจให้ไคเอลเห็น “ถ้าเจ้ามีแรงขนาดนั้น ข้าว่าเจ้าควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์นะ” “มันเป็นเพราะเพื่อนเจ้าส่งสัตว์บาดเจ็บกลับบ้านต่างหาก ข้าเลยไปช่วยดูว่าพวกมันจะปลอดภัยแน่นอน” “แผนที่นี่เก่ามาก” เทร่ากรอกตาหนีสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ามนุษย์และแสนจะเร้าหรืออย่างไคเอล “ข้าว่าถ้าเจ้าสำรวจป่านี้ใหม่แล้วช่วยกันเขียนแผนที่ให้เมืองนี้ ราชาอาจจะประทานบ้านดี ๆ หรือสมุนไพรหายากให้เจ้าทำยาชุบชีวิตที่เจ้าพยายามทำอยู่ก็ได้” ปึง! แม่มดสาวทุบโต๊ะปัง ตวัดตามองไคเอลแล้วลุกเดินออกไป ไม่หันกลับมามองและไม่อธิบายเหตุผลของความฉุนเฉียวให้คนกลางได้เข้าใจ ไคเอลเดินออกมาแล้วมองหน้ากับเซรัสด้วยความไม่เข้าใจ แต่กระนั้นเซรัสก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าสิ่งที่ไคเอลทำไปเมื่อครู่น่ะ สิ้นคิด “เจ้าอย่าลืมนะไคเอล ต่อให้เป็นราชาก็บังคับนางไม่ได้ หากนางไม่อยากทำ ถ้าเกิดนางเปลี่ยนใจลูกของราชาก็รั้งนางไว้ไม่ได้” ต่างคนต่างรู้ดีถึงเหตุผลการช่วยเหลือของเทร่า คนที่ทำให้เธอขุ่นใจอย่างไคเอลจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วก็สำนึกผิดจนกว่าตะวันจะตกดิน “ส่วนแผนที่นั่น หากเจ้าคิดว่ามันเก่าและควรจะเขียนใหม่เพื่อให้ตรงกับปัจจุบัน เจ้าก็ลองประดิษฐ์นักสำรวจดู ไม่แน่นะ เราอาจจะได้แข่งขันนักประดิษฐ์แทนนักล่าก็ได้” “เจ้าก็พูดไปเรื่อย เอ้อ…พูดถึงแผนที่ เจ้าได้เห็นแผนที่สำหรับงานประเพณีปีนี้หรือยัง” เซรัสส่ายหน้า “งั้นข้าว่า เราต้องมาทำแผนที่ใหม่กันจริง ๆ แล้วล่ะ” “แต่คนสำรวจก็จะเป็นทหารลาดตระเวนของพ่อข้า” “งั้นเราจึงต้องลาดตระเวนไงเล่า เรื่องนี้เจ้าต้องไปให้ยัยแม่มดรักสันโดษนั่นช่วย” เซรัสส่ายหน้าและถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าต้องการอะไร และจะทำอะไรบอกข้ามาก่อนดีกว่า เราไม่จำเป็นต้องรบกวนเทร่าทุกครั้งนะ” “โอเค งั้นเจ้าฟังข้านะ” “…” เซรัสหันมายืนกอดอกมองคนที่มีท่าทีประหม่า เหมือนคนที่ไม่ได้เตรียมอะไรมา “ถ้าเรารู้ว่าแผนที่งานประเพณีจะใช้พื้นที่ส่วนไหนของเมือง เราก็จะรู้ว่าตรงนั้นมีสัตว์อะไรบ้าง” “แต่แผนที่พวกนั้นถูกประกาศก่อนที่งานจะเริ่มแค่สัปดาห์เดียว ต่อให้รู้ก่อนเราจะทำอย่างไรต่อ” “เราแค่ต้องมีแผนที่ที่เป็นปัจจุบันและตรงกัน ถ้าเดินสำรวจคงใช้เวลาหลายเดือน แต่ถ้าบินได้แบบเทร่าแน่นอนว่าไม่เกินสองคืนก็เสร็จ” เซรัสพยักหน้าและแววตาขณะฟังนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนไป “ถ้าเป็นอย่างนั้น แปลว่าเราก็จะต้อนสัตว์พวกนั้นให้พ้นจากเขตการแข่งขันได้” “นั่นล่ะ ที่ข้าจะบอก แต่ทั้งหมดนี้คนธรรมดาอย่างเราสองคนไม่มีทางทำทันแน่ ๆ ต้องพึ่งยัยแม่มดรักสันโดษนั่น” “งั้นข้าก็ฝากเจ้าด้วยละกัน เจ้าหายจากวังไปหลายวันไม่มีใครสังเกต ส่วนข้าจะไปหาวิธีหยุดงานประเพณี ไม่ให้เกิดขึ้นเลยน่าจะดีกับทุกฝ่ายที่สุด” ว่าแล้วก็ตบบ่าไคเอลปุ ๆ แล้วรีบตรงไปยังประตูด้านหลังของวัง ส่วนไคเอลน่ะ คำพูดมากมายอยู่ในหัว “จะขอโทษยัยแม่มดนั่นอย่างไงดี…”“ถ้าข้าปฏิเสธ พวกเจ้าจะยอมแพ้หรือไง?” เซรัสและไคเอลมองหน้าก่อนจะตอบออกมาพร้อมกัน“ไม่” แม่มดสาวถอนหายใจแล้วล้วงของที่อยู่ในแขนเสื้อตัวเองออกมา”“งั้นก็มาพูดเรื่องแผนกันเถอะ”“แผนที่บอกว่าจะสำรวจแผนที่ป่าใหม่ทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าตรงนั้นมีสัตว์อะไรบ้างแล้วค่อยนำไปประกบกับแผนที่งานประเพณีน่ะเหรอ?” ครั้งนี้สองเพื่อนรักมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครรับว่าเป็นคนหลุดปาก“ไม่ต้องหาหรอก ต่อให้พวกเจ้าไม่บอกข้าก็รู้ได้อยู่ดี แต่แผนของพวกเจ้ามันสิ้นเปลืองเวลาไปหน่อยนะ”“สิ้นเปลืองอะไรก็ในเมื่อต้องทำแผนที่ใหม่อยู่แล้ว” ไคเอลเถียง จะมีหัวใครปราดเปรื่องเท่าหัวนักประดิษฐ์อย่างเขา ในเมืองนี้ไม่มีเทียบอีกแล้ว“เรายังคงต้องทำแผนที่เหมือนเดิม แต่จะทำตามแผนที่งานประเพณี” ไคเอลกำลังจะเถียงแต่ถูกเซรัสยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน“พูดต่อสิ”“ไม่เจ้า ก็เจ้า ต้องเข้าไปหาแผนที่งานประเพณีแล้วนำมันออกมาก่อนที่จะถึงวันงาน จากนั้นเราจะสำรวจป่ารอบ ๆ แต่เรามีเวลาแค่สามคืนในการสำรวจ”“ทำไมแค่สามคืน ไม่ใช่สามวันหรือ?” ครั้งนี้เป็นเซรัสที่ถาม“ถ้าทำตอนกลางวันมันจะเป็นที่น่าสนใจเกินไป อีกอย่างสัตว์บางตัวหาง่ายแค่ตอนกลางคืน ถ้าอยากจะรู
มันคงจะไม่น่ารักเท่าไรหากให้แขกนอนตรงโซฟาแล้วเจ้าของบ้านนอนในห้องตัวเอง ยิ่งเป็นเจ้าของบ้านผู้ชายกับแขกผู้หญิงที่ยังบาดเจ็บยิ่งไม่ควร แต่มันคงจะลดโทษลงมาได้นิดหน่อยหากเจ้าของบ้านนั้นต้องออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นดมกลิ่นอาหารและยาสมุนไพรโดยมีแขกผู้บาดเจ็บนอนในห้องหนังสือที่มีเพียงโซฟาหวายตัวยาวเป็นที่นอน ที่เป็นแบบนี้เหตุก็เพราะเพื่อนชายนักประดิษฐ์ของเขาปิดการพบเจอผู้คนเป็นวันที่สอง การดูแลผู้บาดเจ็บจึงต้องเป็นตามมีตามเกิด เซรัสอุ่นกับข้าวเมื่อวานในหม้อ พยายามเลี้ยงไฟให้มันเดือดน้อย ๆ อยู่ตลอดเพื่อที่มันจะมีอายุจนถึงพรุ่งนี้ จะให้เข้าไปในวังบ่อย ๆ แล้วแอบขนอาหารออกมามันก็กินพลังงานไม่น้อย และหากการเตรียมตัวของเทร่าและไคเอลพร้อมเขาคงจะต้องเข้าไปเล่นละครในวังอีกหลายวัน ฉะนั้นขอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ สักหน่อยแล้วค่อยออกไปสู้ศึก“ท่าน...จะนอนตรงนี้จริง ๆ เหรอ” แต่มันก็คงจะไม่ง่ายนักเมื่อเขาต้องลุกขึ้นมาอธิบายเพื่อให้เฟย์ลินสบายใจ หญิงสาวกอดผ้าห่มมองเขาแววตาเจือความรู้สึกผิดอยู่นานสองนานซึ่งจะพูดเท่าไรหญิงสาวก็ไม่เข้าใจ“ฉันนอนได้จริง ๆ เธอไปนอนให้สบายเถอะ”“กลางคืนมันจะหนาว ฉันไม่ควรรบกว
ลูกแก้วสองลูกหมุนวนไปมาอยู่ในมือขณะที่สายตาทอดมองนาฬิกาทรายอย่างใจเย็น ชายหนุ่มปรายตามองสาวรับใช้แล้วสะบัดหน้าไปทางประตูเป็นสัญญาณว่าให้พวกหล่อนออกไป แต่ก่อนที่จะออกพวกเธอเดินเข้ามาเตรียมจะเก็บถาดอาหารของที่เซรัสทานไปได้เพียงครึ่งทว่าเขากลับยกมือห้ามแล้วสะบัดมือบอกให้พวกเธอออกไปอีกครั้ง เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วก็วางลูกแก้วคู่นั้นลงบนโต๊ะแล้วหันกลับไปลงกลอนปิดประตูให้สนิท แล้วรีบวิ่งไปหยิบห่อผ้ามาคลุมอาหารแห้ง ๆ เอาไว้ เขาตักแต่ละสิ่งเพียงเล็กน้อยไม่ให้เสียหน้าตาเดิมแล้วซ้อนมันอีกชั้นด้วยผ้าตาถี่ที่มักใช้ห่ออาหารหนีออกหลังวังตอนที่เล่นกับไคเอลเขาปีนออกทางด้านหลังซึ่งเชื่อมกับทางเดินมืดอย่างที่เคย ไม่นานนักเท้าก็สัมผัสพื้นดินจึงรีบวิ่งไปทางเดิมไม่ลืมระวังอาหารให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดิม ชุดที่ใส่ออกมาถูกกิ่งไม้ฟาดจนเป็นรอยดินรอยยางอีกครั้ง ระหว่างที่เปลี่ยนความเร็วเป็นและปรับจังหวะจากวิ่งเป็นเดินเขาก็มองรอยพวกนั้นพลางคิดในใจว่าคงจะต้องทิ้งเสื้อตัวนี้อีกแล้ว แต่อย่างไรเสียใครจะมาสนใจว่าเสื้อผ้าของเขามีครบหรือไม่ หากเขาไม่โวยวายขึ้นมาใครจะกล้าสงสัยเป็นเรื่องปกติที่เซรัสจะมาหยุดที่หน้าบ้านไม้
เทร่าหันหลังไม่ถึงสามนาทีไคเอลก็หันมายิ้มให้เขาพร้อมกับท่าทีร่าเริงเกินขอบเขตจนเขาต้องส่ายหัว“งั้น ข้าคงต้องยึดห้องนอนเจ้าสักสามวัน ถ้านอนห้องสมุดไม่สบายเจ้าก็ไปนอนที่วังเจ้านะ” พูดจบก็วิ่งเข้าห้องนอนของเซรัสโดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาต ปิดประตูปังแล้วลงล็อกเหมือนกับประกาศว่าสามวันต่อจากนี้ไคเอลจะอยู่ในที่ของตน เซรัสส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่มีก้อนความขุ่นเคืองติดมา เขาเดินไปหยิบแก้วน้ำผึ้งที่เทร่าผสมทิ้งไว้ให้หมุนแก้วเบา ๆ ให้สิ่งที่อยู่ข้างในเข้ากันก่อนจะเดินไปดูหม้อยาก็พบว่ามันยังไม่ยุบตามที่แม่มดสาวบอก แล้วจึงลงไปยังห้องสมุดชั้นล่างมองร่างบางที่นอนอยู่ผ่านประตูที่แง้มเอาไว้ เธอยังคงนอนนิ่งแต่เสียงลมหายใจยังดังเป็นระยะ เซรัสวางแก้วนั้นลงที่โต๊ะข้างโซฟาปิดมันไว้ด้วยหนังสือหนึ่งเล่มแล้วนั่งลงข้าง ๆ ถือวิสาสะประคองมือนางขึ้นมาสัมผัสเบา ๆ บริเวณชีพจรนับครั้งและจังหวะมันว่าปกติจึงวางลงเขาพินิจใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดเจ็บแต่ไม่อาจกลบประกายสีน้ำนมที่สะท้อนจากผิวของหล่อนได้ เปลือกตาของนางวิบวับเหมือนมีผงไข่มุกเจือตัดกับแพขนตาสีดำสนิทที่เรียงเส้นแต่พองาม มันไม่ใช่เชื้อพันธุ์ของหญิงสาวในอาณาจั
เทร่าปล่อยให้ไคเอลวุ่นวายกับเสียงความคิดแล้วหันมาหาเซรัสที่เอาแต่ปิดปากเงียบทั้งที่เธอพูดไปแทบจะหมดแล้ว“ว่าอย่างไร เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ข้าว่าเจ้าต้องเป็นคนอธิบายมากที่สุดเลยนะ” เธอกอดอกทิ้งสะโพกพิงโต๊ะอาหาร นาทีนี้เทร่าคือผู้เหนือกว่าเพราะเรื่องของเธอไม่ใช่ความลับและไม่มีอะไรเสียหายหรือจะทำให้ใครเสี่ยงอันตราย แต่กับเซรัสเขาเหยียบอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ดวงตาเฉี่ยวปรายมองคนที่เบนหน้าไปทางอื่น แม้เสี้ยวหนึ่งหางตาของเขาจะหันมาแต่ก็หาได้หันกลับมาสบตากันตรง ๆ“จะอยู่แบบนี้ได้ทั้งวันจริง ๆ เหรอ? มีอะไรที่อยากขอข้าหรือเปล่า” เทร่าเปิดปากอีกครั้ง“ข้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรต่างหาก ใช่ว่าอยากจะปิดเงียบเสียที่ไหน” เซรัสตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วหันไปมองไคเอลที่ บิ ขนมปัง ใส่ปากด้วยดวงตาเหม่อลอย“เพราะเจ้านั่นแหละที่ยึดห้องนอนข้าเอาไปเป็นห้องนักประดิษฐ์น่ะ”“อะไร? ทำไมวนมาที่ข้า เจ้าเป็นคนไปพานางมาเองไม่ใช่เหรอ หรือนางลอยมาจากไหนเจ้าก็พูดไปสิจะมาโยนให้ข้าทำไมล่ะ” ไคเอลฉุนนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก“เข้าเรื่องสักทีเถอะเซรัส เพราะอะไรนางถึงมาอยู่ตรงนี้” เทร่าพูด“เมื่อคืน ข้าออกไปหลังบ้าน แล้วก
แสงประกายสีม่วงสว่างวาบท่ามกลางความมืด ปลายนิ้วเรียวกรีดวนรอบลูกแก้วสีดำสนิท กระทั่งมีเงาน้ำหมุนวนกลืนกินสีของมันจนเหลือเพียงลูกแก้วว่าง ๆ ที่คอยฉายภาพบ้านไม้กลางป่า มันยังเงียบสงบเช่นเดิม ทว่าเธอไม่สามารถเข้าไปภายในบ้านได้ ไม่เห็นแม้การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในนั้นแปะ!เทร่าแปะมือบนลูกแก้ว พลันเปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับภาพนั้นที่หายไป เธอคว้าเสื้อคลุมและไม้คู่กายก่อนจะหายไปด้วยคาถาที่ทิ้งกลิ่นไฟเอาไว้กองไฟโหมขึ้นหน้าบ้านเพียงครู่ก็ปรากฏร่างหญิงสาวในผ้าคลุมสีดำ พร้อมกับไคเอลที่เดินงัวเงียออกมาจากบ้าน เขาประคองสิ่งประดิษฐ์มั่นแม้จะตกใจเล็กน้อยที่เจอหน้าเธอในตอนเช้า“ไฟอะไรหอบเจ้ามาที่นี่แต่เช้าเลยแม่มด”“ข้างในมีอะไร”“ข้างใน? ไม่มีนี่ ข้าไม่ได้ขโมยอะไรเจ้ามานะ” เขาวางสิ่งประดิษฐ์ลงบนพนักนั่งหน้าบ้านแล้วรีบยกมือเหมือนจะให้อีกฝ่ายค้นตัว ทว่าเทร่าเมินแล้วเดินผ่านเขาไป ไคเอลยกมือเกาหัวแกรก ๆ มองตามคนกันเองที่ทำตัวห่างไกล ทว่ากลับกล้าเข้าไปค้นทุกซอกทุกมุมในบ้าน“นี่ ข้าเป็นเจ้าของร่วมกับเซรัสนะ จะมีอะไรเจ้าก็ต้องบอกข้าหน่อยไหม” ไคเอลเดินเข้ามาเคียง พยายามดึงความสนใจ แต่ก็ถูกเทร่าหันมาจิ๊ปากใส่แล้







