Masukแสงประกายสีม่วงสว่างวาบท่ามกลางความมืด ปลายนิ้วเรียวกรีดวนรอบลูกแก้วสีดำสนิท กระทั่งมีเงาน้ำหมุนวนกลืนกินสีของมันจนเหลือเพียงลูกแก้วว่าง ๆ ที่คอยฉายภาพบ้านไม้กลางป่า มันยังเงียบสงบเช่นเดิม ทว่าเธอไม่สามารถเข้าไปภายในบ้านได้ ไม่เห็นแม้การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในนั้น
แปะ! เทร่าแปะมือบนลูกแก้ว พลันเปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับภาพนั้นที่หายไป เธอคว้าเสื้อคลุมและไม้คู่กายก่อนจะหายไปด้วยคาถาที่ทิ้งกลิ่นไฟเอาไว้ กองไฟโหมขึ้นหน้าบ้านเพียงครู่ก็ปรากฏร่างหญิงสาวในผ้าคลุมสีดำ พร้อมกับไคเอลที่เดินงัวเงียออกมาจากบ้าน เขาประคองสิ่งประดิษฐ์มั่นแม้จะตกใจเล็กน้อยที่เจอหน้าเธอในตอนเช้า “ไฟอะไรหอบเจ้ามาที่นี่แต่เช้าเลยแม่มด” “ข้างในมีอะไร” “ข้างใน? ไม่มีนี่ ข้าไม่ได้ขโมยอะไรเจ้ามานะ” เขาวางสิ่งประดิษฐ์ลงบนพนักนั่งหน้าบ้านแล้วรีบยกมือเหมือนจะให้อีกฝ่ายค้นตัว ทว่าเทร่าเมินแล้วเดินผ่านเขาไป ไคเอลยกมือเกาหัวแกรก ๆ มองตามคนกันเองที่ทำตัวห่างไกล ทว่ากลับกล้าเข้าไปค้นทุกซอกทุกมุมในบ้าน “นี่ ข้าเป็นเจ้าของร่วมกับเซรัสนะ จะมีอะไรเจ้าก็ต้องบอกข้าหน่อยไหม” ไคเอลเดินเข้ามาเคียง พยายามดึงความสนใจ แต่ก็ถูกเทร่าหันมาจิ๊ปากใส่แล้วกลับไปมองหาสิ่งที่เธอสงสัยต่อ “นี่ เซรัสไม่อยู่หรอกนะ กลับวังไปตั้งแต่เมื่อคืน” “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวทั้งคืนเหรอ?” “อื้อ…ใช่” แม้จะไม่เข้าใจกับท่าทีร้อนรนของเทร่า แต่เขาก็พยักหน้าตอบแล้วเดินตามเทร่าที่รุดไปยังห้องหนังสือชั้นใต้ดิน ไคเอลคลำทางช้า ๆ เพราะตะเกียงที่แขวนเอาไว้ดับหมดแล้ว ต่างจากเทร่าที่เธอแทบจะลอยลงไปแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าประตู หันมามองเขาแล้วพยักหน้าไปทางประตู “แล้วเจ้าไม่เปิดเองเล่า?” “ก็ข้าจะให้เจ้าเปิด เป็นเจ้าของร่วมก็มาเปิดสิ” คนถูกต่อปากต่อคำส่ายหัว แต่ก็เดินไปเปิดให้แต่โดยดี ประตูนั้นได้ล็อก เขาจึงยิ่งสงสัยว่าคนที่เข้าออกบ้านคนอื่นหยิบจับสิ่งของ บางครั้งก็จัดแจงอย่างเทร่าจะมากลัวอะไรกับแค่การเปิดห้องหนังสือของเซรัส แต่แล้วสิ่งที่สงสัยก็ถูกคลายลงเมื่อไคเอลเห็นร่างบางนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวของเซรัส เรียวขาของหล่อนเต็มไปด้วยร่องรอยหนามเกี่ยว เช่นเดียวกับแขนและใบหน้าที่มีอยู่ประปราย ร่างที่กระเพื่อมน้อย ๆ ทำเขารู้ว่าเธอยังมีลมหายใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เทร่าเบาใจ เพราะสีผมที่แปลกตาอาจเป็นสัตว์วิเศษกลายร่างหรือผู้มีเวทมนตร์จำแลงมา ปากสีชาดจึงขยับท่องคาถาเบา ๆ ปลายนิ้ววนเกิดเสียงกริ๊งเป็นระยะ ยิ่งเธอพลิกตัว เทร่าก็ย้ำมนต์บทเดิมให้หนักขึ้น แต่อาการของหญิงสาวก็ตอบสนองแต่เพียงเท่านั้น “ทำอะไรกัน” และทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อเซรัสถือกะละมังน้ำอุ่นเดินแทรกพวกเขาเข้ามา “นี่มาแต่เช้าเลยหรอ? มีอะไรหรือเปล่า” ถามพร้อมกับเดินนำกะละมังน้ำไปวางไว้ที่โต๊ะข้างชั้นหนังสือ เขาลากเก้าอี้ตัวเล็กให้ขยับใกล้โซฟา แล้วบิดผ้าหมาด ๆ สายตาช้อนมองคนทั้งสองที่ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมาเหมือนจะเกี่ยงให้อีกคนเป็นผู้พูด “ข้าเพิ่งจะตื่นเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งประดิษฐ์น่ะ เสร็จไปแล้วเกินครึ่ง” ไคเอลเหมือนจะบอกนัย ๆ ว่าเขาไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการมาของเทร่า และคนที่รู้ดีสุดคงเป็นเจ้าตัวเอง เพราะไคเอลรู้สึกเจ็บยิบ ๆ ที่เอวเหมือนโดนหยิก หันไปก็เห็นเทร่าทำปากมุบมิบ คงไม่พ้นท่องมนต์สักบทมาเล่นงานเขา “แล้วเจ้าล่ะ…” เซรัสปรายตามาหาหล่อนช้า ๆ ไม่มีแววตาที่บอกว่าหยอกล้อ ครั้งนี้เทร่ารู้สึกเหมือนตนเป็นคนนอกจริง ๆ เสียแล้ว แม่มดสาวสูดลมหายใจแล้วมองไปยังร่างอรชรที่ยังนอนนิ่ง “นางแค่ยังไม่ฟื้น ไม่ได้แปลว่าไม่รับรู้ เจ้าอธิบายเรื่องนางมาก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องที่ข้ามาเราค่อยแยกไปคุยกัน” เซรัสพยักหน้าขณะที่สายตาก็กวาดไปรอบห้อง เหมือนต้องยอมรับข้อเสนอแบบที่ไม่อยากยอมรับ แล้วจึงขยับเข้าไปหาหญิงสาว เช็ดคราบเลือดตามรอยแผลเบา ๆ จนทั่ว โดยมีไคเอลและเทร่ามองการกระทำนั้นอยู่ “ข้าเอาไปจัดการให้” ไคเอลพุ่งตัวไปแย่งกะละมังน้ำมาถือ ขณะที่เซรัสอุ้มมันลุกขึ้นแล้วส่งสายตาให้เทร่า เธอหาได้ตอบรับ แต่หันไปพยักหน้าให้เซรัสแล้วเดินกลับขึ้นไปทางเดิม บันไดไม่กี่ขั้น แต่เหมือนว่าระยะทางมันยาวไกลเหลือเกินในความรู้สึกไคเอล มันเหมือนมีเงาอึมครึมตามติดเขามา ควันจางลอยขึ้นจากแก้วชาที่ประกอบกับเสียงช้อนกระทบเซรามิกดังกริ๊ง กริ๊ง เหมือนกระดิ่งตามวัดเอเชียหวังจะช่วยบรรเทาความว้าวุ่นในใจของเทร่าได้ แต่เปล่าเลย การกระทำของเซรัสกลับทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เช่นเดียวกัน เซรัสอ่านแม่มดสาวออกหมดทุกอย่างว่าเธอกำลังอึดอัดและจะบีบให้เขาพูดก่อน ซึ่งจุดประสงค์ของเราตรงกัน “โอ๊ย พวกเจ้า!” แต่คนที่ความอดทนต่ำที่สุดในเกมนี้คือไคเอล ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ มองเซรัสที่ยืนคนชาตรงเคาน์เตอร์กับเทร่าที่กอดอกนิ่งที่อีกฝั่งของโต๊ะ ทำสงครามความเงียบกันแล้วก็ขอยกธงขาวเสียเอง “ข้ายอมแล้ว พวกเจ้าเล่าเสียทีเถอะ หรือถ้าจะไม่เล่าก็ช่วยแยกย้ายกันไปคนละทาง หรือไม่ ข้าจะไปเอง” ไคเอลยืนขึ้นแต่ก็รู้สึกขนลุกวาบเมื่อจะก้าวออกไป ไม่มีเสียงรั้ง ไม่มีแรงฉุด มีเพียงความเงียบและสายตาสองคู่ที่มองมาโดยไม่พูดอะไร เพิ่งรู้ว่าเพื่อนทั้งสองคนมีอิทธิพลกับเขามากมาย ขนาดที่ฉุดให้กลับลงมาในทั้งที่สถานการณ์น่าอึดอัดขนาดนี้ได้ “ถ้าพวกเจ้าไม่เล่า ข้าเล่าของข้าเอง” หันซ้ายมองขวา ต่างคนก็ต่างทอดสายตาลงที่อื่น ไม่มีใครอนุญาตหรือคัดค้าน เขาจึงเริ่มเล่า “ข้าตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา ก็เลยออกมาดูเห็นยัยแม่มดนี่มาเดินวนไปวนมาในบ้าน ทำอย่างกับจะลืมไม้กายสิทธิ์ไว้อย่างไงอย่างงั้น” เทร่าหันไปค้อนขวับ มือข้างที่กำไม้กายสิทธิ์ไว้ก็สั่นระริก บทสวดมากมายพรั่งพรูขึ้นมาให้เลือก แต่ก็ยังไม่เหนือกว่าม่านสติของเธอ “เธอมาทำอะไร เธอควรจะเล่าก่อนนะ เพราะคนที่เริ่มเรื่องวันนี้ คือเธอ” เซรัสสรุป แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ ได้ยินเสียงเทร่าถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มพอใจเมื่อเธอเปิดปากเล่า “ข้าตรวจสอบป่านี้ผ่านลูกแก้ว ปกติก็เห็นว่าพวกเจ้าทำอะไรทุกมุมของบ้าน แต่รอบนี้ข้ามาได้แค่หน้าบ้าน ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” “แปลว่าฉันทำอะไรเธอก็เห็นหมดเลยงั้นสิ?” ไคเอลพูดพลางยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง เหมือนกับว่ากำลังถูกคุกคาม ซึ่ง…เทร่าก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเห็นหรือไม่เห็นอะไรสักหน่อย “อย่าพาข้าออกนอกเรื่องได้ไหมไคเอล” เซรัสเอ็ด “เจ้าตรวจสอบในบ้านข้าทำไม” เซรัสกดเสียงต่ำ “เพราะสิ่งที่มีในบ้านเจ้ามันดึงดูดนักล่าทุกที่ให้มารวมกัน ยิ่งไคเอลชอบไปหาของอะไรแปลก ๆ ข้ายิ่งต้องคอยดู” เธอตอบด้วยท่าทีแสนเย็นชา ปรายตามองผู้ฟังเล็กน้อยแล้วกอดอก เบนสายตาไปด้านหลังแล้วหลับตาเพื่อฟังเสียงที่อยู่ในห้องหนังสือ “ข้าไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของสิ่งมีชีวิต ข้าเลยต้องลากเจ้ามาคุยกันตรงนี้ไง” เซรัสยังคงนิ่ง ไคเอลจึงรวบรัดตัดความ “สรุปว่ายัยนี่ก็แค่เป็นห่วงพวกเรา แต่ก่อนหน้านั้นเห็นทุกห้องไหงข้าก็ไม่รู้ “ข้าเข้ามาแค่โถงกับสุ่มห้องอีกเล็กน้อย ยกเว้นห้องน้ำ หรือต่อให้ข้าดูเจ้าข้าก็ล้างความทรงจำตัวเอง อย่าห่วงเลย…” คนที่พูดแล้วทำหน้าไร้ความรู้สึกไปด้วย ทว่าทำให้เขาเจ็บลึกถึงทรวงได้อย่างเทร่าคงจะหนึ่งร้อยปีแล้วมีหนึ่งคนเสียแล้ว…“ถ้าข้าปฏิเสธ พวกเจ้าจะยอมแพ้หรือไง?” เซรัสและไคเอลมองหน้าก่อนจะตอบออกมาพร้อมกัน“ไม่” แม่มดสาวถอนหายใจแล้วล้วงของที่อยู่ในแขนเสื้อตัวเองออกมา”“งั้นก็มาพูดเรื่องแผนกันเถอะ”“แผนที่บอกว่าจะสำรวจแผนที่ป่าใหม่ทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าตรงนั้นมีสัตว์อะไรบ้างแล้วค่อยนำไปประกบกับแผนที่งานประเพณีน่ะเหรอ?” ครั้งนี้สองเพื่อนรักมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครรับว่าเป็นคนหลุดปาก“ไม่ต้องหาหรอก ต่อให้พวกเจ้าไม่บอกข้าก็รู้ได้อยู่ดี แต่แผนของพวกเจ้ามันสิ้นเปลืองเวลาไปหน่อยนะ”“สิ้นเปลืองอะไรก็ในเมื่อต้องทำแผนที่ใหม่อยู่แล้ว” ไคเอลเถียง จะมีหัวใครปราดเปรื่องเท่าหัวนักประดิษฐ์อย่างเขา ในเมืองนี้ไม่มีเทียบอีกแล้ว“เรายังคงต้องทำแผนที่เหมือนเดิม แต่จะทำตามแผนที่งานประเพณี” ไคเอลกำลังจะเถียงแต่ถูกเซรัสยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน“พูดต่อสิ”“ไม่เจ้า ก็เจ้า ต้องเข้าไปหาแผนที่งานประเพณีแล้วนำมันออกมาก่อนที่จะถึงวันงาน จากนั้นเราจะสำรวจป่ารอบ ๆ แต่เรามีเวลาแค่สามคืนในการสำรวจ”“ทำไมแค่สามคืน ไม่ใช่สามวันหรือ?” ครั้งนี้เป็นเซรัสที่ถาม“ถ้าทำตอนกลางวันมันจะเป็นที่น่าสนใจเกินไป อีกอย่างสัตว์บางตัวหาง่ายแค่ตอนกลางคืน ถ้าอยากจะรู
มันคงจะไม่น่ารักเท่าไรหากให้แขกนอนตรงโซฟาแล้วเจ้าของบ้านนอนในห้องตัวเอง ยิ่งเป็นเจ้าของบ้านผู้ชายกับแขกผู้หญิงที่ยังบาดเจ็บยิ่งไม่ควร แต่มันคงจะลดโทษลงมาได้นิดหน่อยหากเจ้าของบ้านนั้นต้องออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นดมกลิ่นอาหารและยาสมุนไพรโดยมีแขกผู้บาดเจ็บนอนในห้องหนังสือที่มีเพียงโซฟาหวายตัวยาวเป็นที่นอน ที่เป็นแบบนี้เหตุก็เพราะเพื่อนชายนักประดิษฐ์ของเขาปิดการพบเจอผู้คนเป็นวันที่สอง การดูแลผู้บาดเจ็บจึงต้องเป็นตามมีตามเกิด เซรัสอุ่นกับข้าวเมื่อวานในหม้อ พยายามเลี้ยงไฟให้มันเดือดน้อย ๆ อยู่ตลอดเพื่อที่มันจะมีอายุจนถึงพรุ่งนี้ จะให้เข้าไปในวังบ่อย ๆ แล้วแอบขนอาหารออกมามันก็กินพลังงานไม่น้อย และหากการเตรียมตัวของเทร่าและไคเอลพร้อมเขาคงจะต้องเข้าไปเล่นละครในวังอีกหลายวัน ฉะนั้นขอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ สักหน่อยแล้วค่อยออกไปสู้ศึก“ท่าน...จะนอนตรงนี้จริง ๆ เหรอ” แต่มันก็คงจะไม่ง่ายนักเมื่อเขาต้องลุกขึ้นมาอธิบายเพื่อให้เฟย์ลินสบายใจ หญิงสาวกอดผ้าห่มมองเขาแววตาเจือความรู้สึกผิดอยู่นานสองนานซึ่งจะพูดเท่าไรหญิงสาวก็ไม่เข้าใจ“ฉันนอนได้จริง ๆ เธอไปนอนให้สบายเถอะ”“กลางคืนมันจะหนาว ฉันไม่ควรรบกว
ลูกแก้วสองลูกหมุนวนไปมาอยู่ในมือขณะที่สายตาทอดมองนาฬิกาทรายอย่างใจเย็น ชายหนุ่มปรายตามองสาวรับใช้แล้วสะบัดหน้าไปทางประตูเป็นสัญญาณว่าให้พวกหล่อนออกไป แต่ก่อนที่จะออกพวกเธอเดินเข้ามาเตรียมจะเก็บถาดอาหารของที่เซรัสทานไปได้เพียงครึ่งทว่าเขากลับยกมือห้ามแล้วสะบัดมือบอกให้พวกเธอออกไปอีกครั้ง เมื่อประตูห้องปิดลงแล้วก็วางลูกแก้วคู่นั้นลงบนโต๊ะแล้วหันกลับไปลงกลอนปิดประตูให้สนิท แล้วรีบวิ่งไปหยิบห่อผ้ามาคลุมอาหารแห้ง ๆ เอาไว้ เขาตักแต่ละสิ่งเพียงเล็กน้อยไม่ให้เสียหน้าตาเดิมแล้วซ้อนมันอีกชั้นด้วยผ้าตาถี่ที่มักใช้ห่ออาหารหนีออกหลังวังตอนที่เล่นกับไคเอลเขาปีนออกทางด้านหลังซึ่งเชื่อมกับทางเดินมืดอย่างที่เคย ไม่นานนักเท้าก็สัมผัสพื้นดินจึงรีบวิ่งไปทางเดิมไม่ลืมระวังอาหารให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดิม ชุดที่ใส่ออกมาถูกกิ่งไม้ฟาดจนเป็นรอยดินรอยยางอีกครั้ง ระหว่างที่เปลี่ยนความเร็วเป็นและปรับจังหวะจากวิ่งเป็นเดินเขาก็มองรอยพวกนั้นพลางคิดในใจว่าคงจะต้องทิ้งเสื้อตัวนี้อีกแล้ว แต่อย่างไรเสียใครจะมาสนใจว่าเสื้อผ้าของเขามีครบหรือไม่ หากเขาไม่โวยวายขึ้นมาใครจะกล้าสงสัยเป็นเรื่องปกติที่เซรัสจะมาหยุดที่หน้าบ้านไม้
เทร่าหันหลังไม่ถึงสามนาทีไคเอลก็หันมายิ้มให้เขาพร้อมกับท่าทีร่าเริงเกินขอบเขตจนเขาต้องส่ายหัว“งั้น ข้าคงต้องยึดห้องนอนเจ้าสักสามวัน ถ้านอนห้องสมุดไม่สบายเจ้าก็ไปนอนที่วังเจ้านะ” พูดจบก็วิ่งเข้าห้องนอนของเซรัสโดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาต ปิดประตูปังแล้วลงล็อกเหมือนกับประกาศว่าสามวันต่อจากนี้ไคเอลจะอยู่ในที่ของตน เซรัสส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่มีก้อนความขุ่นเคืองติดมา เขาเดินไปหยิบแก้วน้ำผึ้งที่เทร่าผสมทิ้งไว้ให้หมุนแก้วเบา ๆ ให้สิ่งที่อยู่ข้างในเข้ากันก่อนจะเดินไปดูหม้อยาก็พบว่ามันยังไม่ยุบตามที่แม่มดสาวบอก แล้วจึงลงไปยังห้องสมุดชั้นล่างมองร่างบางที่นอนอยู่ผ่านประตูที่แง้มเอาไว้ เธอยังคงนอนนิ่งแต่เสียงลมหายใจยังดังเป็นระยะ เซรัสวางแก้วนั้นลงที่โต๊ะข้างโซฟาปิดมันไว้ด้วยหนังสือหนึ่งเล่มแล้วนั่งลงข้าง ๆ ถือวิสาสะประคองมือนางขึ้นมาสัมผัสเบา ๆ บริเวณชีพจรนับครั้งและจังหวะมันว่าปกติจึงวางลงเขาพินิจใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดเจ็บแต่ไม่อาจกลบประกายสีน้ำนมที่สะท้อนจากผิวของหล่อนได้ เปลือกตาของนางวิบวับเหมือนมีผงไข่มุกเจือตัดกับแพขนตาสีดำสนิทที่เรียงเส้นแต่พองาม มันไม่ใช่เชื้อพันธุ์ของหญิงสาวในอาณาจั
เทร่าปล่อยให้ไคเอลวุ่นวายกับเสียงความคิดแล้วหันมาหาเซรัสที่เอาแต่ปิดปากเงียบทั้งที่เธอพูดไปแทบจะหมดแล้ว“ว่าอย่างไร เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ข้าว่าเจ้าต้องเป็นคนอธิบายมากที่สุดเลยนะ” เธอกอดอกทิ้งสะโพกพิงโต๊ะอาหาร นาทีนี้เทร่าคือผู้เหนือกว่าเพราะเรื่องของเธอไม่ใช่ความลับและไม่มีอะไรเสียหายหรือจะทำให้ใครเสี่ยงอันตราย แต่กับเซรัสเขาเหยียบอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ดวงตาเฉี่ยวปรายมองคนที่เบนหน้าไปทางอื่น แม้เสี้ยวหนึ่งหางตาของเขาจะหันมาแต่ก็หาได้หันกลับมาสบตากันตรง ๆ“จะอยู่แบบนี้ได้ทั้งวันจริง ๆ เหรอ? มีอะไรที่อยากขอข้าหรือเปล่า” เทร่าเปิดปากอีกครั้ง“ข้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรต่างหาก ใช่ว่าอยากจะปิดเงียบเสียที่ไหน” เซรัสตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วหันไปมองไคเอลที่ บิ ขนมปัง ใส่ปากด้วยดวงตาเหม่อลอย“เพราะเจ้านั่นแหละที่ยึดห้องนอนข้าเอาไปเป็นห้องนักประดิษฐ์น่ะ”“อะไร? ทำไมวนมาที่ข้า เจ้าเป็นคนไปพานางมาเองไม่ใช่เหรอ หรือนางลอยมาจากไหนเจ้าก็พูดไปสิจะมาโยนให้ข้าทำไมล่ะ” ไคเอลฉุนนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก“เข้าเรื่องสักทีเถอะเซรัส เพราะอะไรนางถึงมาอยู่ตรงนี้” เทร่าพูด“เมื่อคืน ข้าออกไปหลังบ้าน แล้วก
แสงประกายสีม่วงสว่างวาบท่ามกลางความมืด ปลายนิ้วเรียวกรีดวนรอบลูกแก้วสีดำสนิท กระทั่งมีเงาน้ำหมุนวนกลืนกินสีของมันจนเหลือเพียงลูกแก้วว่าง ๆ ที่คอยฉายภาพบ้านไม้กลางป่า มันยังเงียบสงบเช่นเดิม ทว่าเธอไม่สามารถเข้าไปภายในบ้านได้ ไม่เห็นแม้การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในนั้นแปะ!เทร่าแปะมือบนลูกแก้ว พลันเปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับภาพนั้นที่หายไป เธอคว้าเสื้อคลุมและไม้คู่กายก่อนจะหายไปด้วยคาถาที่ทิ้งกลิ่นไฟเอาไว้กองไฟโหมขึ้นหน้าบ้านเพียงครู่ก็ปรากฏร่างหญิงสาวในผ้าคลุมสีดำ พร้อมกับไคเอลที่เดินงัวเงียออกมาจากบ้าน เขาประคองสิ่งประดิษฐ์มั่นแม้จะตกใจเล็กน้อยที่เจอหน้าเธอในตอนเช้า“ไฟอะไรหอบเจ้ามาที่นี่แต่เช้าเลยแม่มด”“ข้างในมีอะไร”“ข้างใน? ไม่มีนี่ ข้าไม่ได้ขโมยอะไรเจ้ามานะ” เขาวางสิ่งประดิษฐ์ลงบนพนักนั่งหน้าบ้านแล้วรีบยกมือเหมือนจะให้อีกฝ่ายค้นตัว ทว่าเทร่าเมินแล้วเดินผ่านเขาไป ไคเอลยกมือเกาหัวแกรก ๆ มองตามคนกันเองที่ทำตัวห่างไกล ทว่ากลับกล้าเข้าไปค้นทุกซอกทุกมุมในบ้าน“นี่ ข้าเป็นเจ้าของร่วมกับเซรัสนะ จะมีอะไรเจ้าก็ต้องบอกข้าหน่อยไหม” ไคเอลเดินเข้ามาเคียง พยายามดึงความสนใจ แต่ก็ถูกเทร่าหันมาจิ๊ปากใส่แล้







