“ขอร้องนะคะคุณเกล ตะวันไม่ไหวแล้วจริงๆ คุณเกลอย่าทำอะไรตะวันอีกนะคะ” ภูตะวันขอร้องอ้อนวอนเสียงสั่น ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าสวย ตัดสินใจข่มความปวดร้าวทางร่างกายที่ยังตื่นตัวไม่มากลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับดึงเอาร่างของคนที่ร้องขอตามติดมาด้วย “ว่าไงล่ะตรีประดับ ไม่อยากรู้เรื่องเพื่อนแล้วหรือไง นี่ฉันลดข้อต่อรองลงให้แล้วนะ” เฟดเดอริโกถาม ขณะวาดไปตามความยาวของโซฟา “ว่าไงละ ถ้าเธอไม่อยากรู้ ฉันก็จะได้...” ชายหนุ่มแกล้งยันตัวลุกขึ้นยื
View More“เฮ้ย!! มันอยู่นั่น ตามจับตัวให้ได้”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำ สวมหมวกใบโตและแว่นตาสีดำปกปิดใบหน้า ชี้มือชี้ไม้ไปที่ร่างบอบบางที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนน
“ที่นี่สวยจริงๆ ” ภูตะวันกดชัตเตอร์รัวเร็วอย่างไม่ยั้งด้วยความสุข เพราะได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ และเบิกบานใจเพราะสามารถหนีงานหมั้นกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ที่เธอไม่เคยแม้จะได้ยินชื่อ รู้จักหรือว่าเคยเห็นหน้ามาได้
สาวน้อยละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยความงงงัน เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงร้องตะโกนดังลั่นและชี้มือชี้มาตรงที่เธออยู่ยืน
“พวกนั้นชี้มาทางเราหรือเปล่านะ”
ภูตะวันเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ารอบๆ กายมีอะไรผิดปรกติหรือไม่ ก็ไม่เห็นมี ใกล้ๆ กับที่เธอยืนอยู่ก็ยังมีผู้คนบ้างประปราย แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าเธอกำลังจะมีปัญหาที่...ใหญ่เสียด้วย
“พวกนั้นหมายถึงเรานี่น่า” เธอเย็นวาบที่แผ่นหลัง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ด้วยความตกใจและหวาดกลัว เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของตัวเอง หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กว่าจะเคลียร์ได้คงจะต้องใช้เวลานาน ดังนั้นทางที่เลือกคือ...หนี!
ถึงแม้จะยังไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ ว่าที่ยินได้เห็นเมื่อครู่นั้น เพราะเธอหูฝาดตาฝาดไปหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็สาวเท้าถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน แล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทพวกนั้นจ้องมา ชายพวกนั้นมองซ้ายมองขวาและข้ามถนนมาฝั่งที่เธอยืนอยู่ ทำให้ภูตะวันเริ่มหวาดกลัว รีบหันหลังเดินไปอย่างรีบเร่ง
เหมือนกับว่าคนพวกนั้นจะรู้ว่าเธอรู้ตัวแล้ว จึงตะโกนบอกกันพร้อมกับที่ร่างบึกบึนวิ่งมาที่เธอ
ภูตะวันรีบใส่เกียหมาให้เท้า ออกตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แต่เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ อีกทั้งไม่ชำนาญเส้นทางด้วย การหนีเลยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หญิงสาววิ่งหลบเข้าไปในซอย แต่คงจะเป็นคราวซวย เพราะซอยที่เธอวิ่งเข้ามานี่ตัน ใบหน้านวลชื้นไปด้วยเหงื่อเหลียวมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก
“ไปทางไหนดีล่ะเรา”
โชคของเธอยังคงจะไม่แย่มากนัก เมื่อมุมหนึ่งของซอยมีช่องให้คนตัวเล็กๆ อย่างเธอได้หลบซ่อนตัว ภูตะวันรีบวิ่งเข้าไปแอบอย่างรวดเร็ว หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เพราะกลัวว่าแม้แต่การหายใจจะทำให้คนพวกนั้นได้ยิน ในใจก็เฝ้าภาวนาอย่าให้คนพวกนั้นได้เจอ
‘พ่อจ๋าแม่จ๋า พี่ลูกจันทร์ช่วยตะวันด้วยนะ ตรีช่วยตะวันด้วย ตรีมารับตะวันเร็วๆ นะ’
แต่ภูตะวันลืมไปว่าพอลงจากเครื่องบินได้ เธอก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบโต เดินออกจากสนามบินด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง รื่นรมย์จนลืมแวะตู้โทรศัพท์ เพื่อที่จะโทรบอกตรีประดับเพื่อนรักและญาติสนิทเลยให้มารับ
“เฮ้ย!! มันหายไปไหนแล้ววะ เร็วยิ่งกว่าลิงอีก พวกมึงตามหาให้เจอนะโว้ย ถ้าไม่เจอ คุณหนูเอาเราตายแน่”
สิ่งที่ทำให้ภูตะวันกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นก็คือ คำสั่งจากน้ำเสียงแข็งกร้าวและดุดันที่ดังแว่วมาเข้าหู ใบหน้านวลชื้นไปด้วยเหงื่อ หัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อหนึ่งในคนพวกนั้นกำลังเดินมาใกล้จุดที่เธอซ่อนตัวอยู่ แล้วก็ต้องโล่งใจเหมือนเห็นว่าถูกมองผ่านเลยไป
‘คนพวกนี้ตามไล่จับเราทำไมนะ’
ภูตะวันได้แต่คิดด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเธอเพิ่งจะลงจากเครื่องบินได้ไม่ทันจะถึงชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ มาถึงก็มัวแต่ถ่ายรูปจนไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด แล้วที่เลือกมาทางนี้ เพราะมันคือทางผ่านไปบ้านตรีประดับและอาภารวี อาสาวที่ได้สามีเป็นคนที่นี่ จึงเลือกตั้งรกรากด้วยการเปิดร้านอาหารไทย และเธอเพียงต้องการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง แต่กลับถูกใครก็ไม่รู้ไล่ล่าเอา
หญิงสาวแอบมองชายหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสี่คนที่กำลังเดินตามหาเธอเสียให้ควัก ดูเหมือนว่าหนึ่งในคนพวกนั้นจะตาไว หันมาสบตากับเธอเข้าจังๆ ทำเอาภูตะวันหัวใจหล่นไปกองที่ปลายเท้า ต้องรีบออกจากที่ซ่อน และวิ่งหนีอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภูตะวันวิ่งหนีจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ยังดูเหมือนว่าเจ้าคนพวกนั้นก็ยังคงวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละเช่นกัน ตอนนี้พวกนั้นก็วิ่งใกล้เข้ามาแล้วด้วย ทำเอาหญิงสาวร้อนใจ เธอเหลียวมองซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเร่งเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตอีกครั้ง
“ฉันจะไปทางไหนดี...ไปไหนดี”
หญิงสาวคิดพลางวิ่งพลาง จนเหนื่อยหอบแทบจะก้าวขาไม่ไหวแล้ว แต่เพราะต้องการเอาตัวรอด เธอจึงต้องสอดส่ายหาทางหนีที่ไล่ ราวกับพระมาโปรดเมื่อบ้านหลังหนึ่งประตูเล็กของบ้านเปิดแง้มไว้
ภูตะวันเหลียวมองซ้ายขวาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่ง ก็รีบแทรกตัวเองเข้าไปอย่างไม่รีบรอ
แต่ก็ยังมีปัญหาอีก เมื่อบริเวณรั้วบ้านที่เธอยืนอยู่นั้นไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลย พวกที่ตามจับตัวเธอก็กำลังวิ่งเข้ามาเกือบจะถึงตัวอยู่รอมร่อ
ภูตะวันตัดสินใจวิ่งตัวปลิวเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่อยู่เบื้องหน้า เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องเอาตัวรอดจากคนพวกนั้นให้ได้
หญิงสาวยื่นมือไปเปิดประตูออก แล้วเธอก็ต้องหน้าเสีย เพราะประตูบ้านล็อก
“เอายังไงดีละทีนี้”
มีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไข ภูตะวันเลือกที่จะวิ่งเลยไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีที่พอให้หลบซ่อนกายได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นโชคดีของเธอด้วย เมื่อหน้าต่างห้องบานหนึ่งเปิดแง้มไว้ อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้วนอกจากจะต้องเอาตัวรอดให้ได้ หญิงสาวรีบกระชากหน้าต่างออก แล้วก็ถลากายพาร่างบอบบางเข้าไปในห้องนั้นทันที
ภายในห้องนั้นมืดสนิท แต่ก็เปิดแอร์ไว้อย่างเย็นฉ่ำ จนภูตะวันถึงกับต้องรีบยกมือลูกแขนทันที เพราะความเย็นที่แตะต้องร่างกาย
หญิงสาวรีบปรับสายตาให้ชินกับความมืดของห้อง แสงสว่างยังพอมีให้เห็น เธอรู้สึกสะดุดใจกับเตียงนอนที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ก่อนจะต้องรีบหาที่ซ่อนอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่า คนพวกนั้นยังตามหาเธออยู่หรือเปล่า
“ซ่อนที่ไหนดีล่ะนี่” หญิงสาวพึมพำ ห้องออกจะกว้าง แต่ไม่มีที่ให้เธอซุกซ่อนกายได้เลย
หญิงสาวคว้าเอากระเป๋าสะพายบนหลังซ่อนไว้ใต้เตียงนอน ก่อนตัวเองจะขึ้นไปนอนบนเตียง เอาผ้าห่มนวมผืนหนาปกคลุมกาย ให้เหมือนกับว่าผ้าห่มผืนนี้คลุมหมอนข้าง เธอหลับตาปี๋ พร้อมกับคำภาวนา ขอให้คนที่ตามล่าเธออยู่นั้นรีบสลายตัวไปอย่างเร็วที่สุด
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าจากการต้องวิ่งหลบหนีใครก็ไม่รู้ บวกกับอ่อนเพลียจากการเดินทาง ลมหายใจหญิงสาวเริ่มแผ่วเบาเป็นจังหวะ แม้จะพยายามดึงสติที่มีอยู่มาแทนที่ แต่เธอทนกับความง่วงที่เกิดขึ้นไม่ได้ ภูตะวันก็หลับสนิทไปทั้งที่ใจยังคงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ไม่นะตะวัน ไม่นะคนดี ฉันขอโทษ ฉันรักตะวันนะ รักมากด้วย แต่ฉัน...ฉันพูดไม่ออก” เกเบรียลพูดรัวเร็ว จนไม่รู้เลยว่าตัวเองได้หลุดปากคำว่ารักไปแล้วภูตะวันยิ้มกว้าง รอคอยว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรกับเธอต่อไป ดวงตากลมโตเป็นประกาย ใบหน้าขาวสวยแดงระเรื่อ“ฉันขอโทษนะตะวัน ฉันรักตะวัน...ตะวันอย่าทิ้งฉันไปนะ ฉันคงจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ” แขนใหญ่รัดร่างบางเข้าหา“แต่งงานกับฉันนะตะวัน”“คุณเกลรักตะวันและจะแต่งงานกับตะวันจริงหรือคะ”“ฉันระ...ระ...” พอมาถึงตอนนี้คำว่ารักมันก็เริ่มจะติดที่ปากอีกแล้ว“ถ้าไม่บอกรักให้ตะวันได้ยินชัดๆ อีกครั้งตะวันไม่แต่งงานด้วยจริงๆ นะ” ภูตะวันขู่กลับบ้าง“ก็ได้...เอ่อ...”“ถ้าคุณเกลอายนะคะ พูดใกล้ๆ หูให้ตะวันได้ยินคนเดียวก็ได้”ภูตะวันให้ทางเลือก เพื่อไม่ให้คนที่รักอายจนเกินไป เพราะแค่นี้ใบหน้าเกเบรียลก็แดงเป็นกุ้งต้มไปเรียบร้อย สองแขนที่โอบรอบเอวก็สั่น มือที่นาบอยู่ด้านหลังก็เย็นจนเธอสัมผัสได้ปากหนาร้อนแนบชิดใบหูนุ่ม เขาไม่เคยที่จะรู้สึกแบบนี้เลย มันอายและเขินยังไงก็ไม่รู้ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวหัวใจเต้นแรงและเร็วราวกับจะทะลุออกมาจากอกเกเบรียลสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตาลง แล้วก็เอ
“ให้มันแน่เถอะตะวัน ถามคนนั้นหรือยังละ ว่าเขาให้ตะวันนอนบ้านตรีหรือเปล่านะ” ตรีประดับบุ้ยใบ้ไปที่ชายหนุ่มที่ยืนหน้าเครียดเคร่งขรึม จ้องมองภูตะวันอย่างน้อยใจ ตัดพ้อ ต่อว่า“ก็ช่างเขาซิ คุณเกลกับตะวันไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ตะวันก็แค่หลงเดินเข้าไปในเส้นทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปแล้ว ตะวันจะอยู่กับตรี กับน้าวี”“ใช่ แม่ก็ไม่ยอมให้หนูกับตะวันไปไหนอีก เราจะอยู่กันตามประสา แม่ลูกหลาน ใช่ไหมตะวัน”“ใช่คะน้าวี”คำตอบของหญิงทั้งสามคนทำเอาเฟดเดอริโกที่ดีใจตีปีกผับๆ ว่าได้คนที่รักกลับคืนมาเริ่มจะเดือดร้อน แค่ตรีประดับห่างกายเพียงแค่สองสามวันนี้เขาก็แทบทนไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าคืนนี้ไม่ได้กอดหญิงสาวมีหวังลงแดงตายแน่ สมองอันชาญฉลาดเริ่มคิดหาทางออกให้กับตัวเองใบหน้าคมหันไปหาเกเบรียล ที่มีสีหน้าเหมือนเขา แต่ดูท่าว่าจะรุนแรงมากกว่า แล้วก็ให้ยิ้มกว้าง เขาไม่รู้ว่าหนุ่มสาวคู่นี้มีเรื่องอะไรกัน ถึงได้ทำให้ภูตะวันงอน แต่คิดว่าตัวเองน่าจะช่วยได้บ้าง ไม่มากก็น้อยละ แล้วค่อยฉกตัวตรีประดับไป เฟดเดอริโกค่อยๆ ทบทวนในสิ่งที่ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างช้าๆ แล้วก็ให้ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้นตรีป
“รักจนยอมกลายเป็นครอบครัวเดียวกับตรี และแม่ของตรีนะหรือคะ” ศีรษะทุยส่ายเบาๆ อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“พี่เฟดรักตรีมากแค่ไหนคะ มากพอที่จะเรียกแม่ของตรีว่าแม่ไหม”“ได้ซิตรี” คำตอบที่ออกจากปากหนา ทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อ เพราะกลัวว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นเพราะเธอหูแว่วไปเอง แต่เฟดเดอริโกก็ย้ำให้ได้ยินชัดเจนอีกครั้ง ใกล้ๆ กับหู“ได้ซิตรี เพื่อตรีพี่ยอมหมดทุกอย่างเลยจ้ะ ที่รัก” ปากหนาประทับบนใบหูนุ่ม พร้อมกับคำพูดมั่นคงและหนักแน่น“เพียงแค่พี่ขอเวลาตรีสักหน่อยได้ไหม ให้พี่ได้ทำใจและมีความกล้า แล้วอีกไม่นานตรีก็จะได้ยินและได้เห็นว่าพี่ลืมหมดสิ้นความแค้นที่มี และให้ความเคารพรักแม่ของตรี เหมือนกับแม่ของพี่คนหนึ่ง”“พะ..พี่เฟดพูดจริงๆ หรือคะ ตรีไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” ตรีประดับถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแหบพร่า น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าและไหลลงอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดอีกแล้ว แต่มันคือความสุขที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้รับ“จริงซิ พี่เคยโกหกตรีหรือ”“เคยซิคะ หลายครั้งด้วย”คำตอบของตรีประดับทำเอาเฟดเดอริโกหน้าม้าน แต่ก็พยักหน้ารับ “งั้นตอนนี้ตรียอมคืนดีกับพี่แ
“ตรีอยู่กับคุณเฟดค่ะ เห็นบอกว่าอยากจะคุยอะไรๆ กันนิดหน่อย”สิ้นเสียงภูตะวันเจสันที่ยังชะเง้อคอรอคอยลูกเลี้ยงก็รีบเดินไปที่ประตู แต่เขาก็หยุดชะงักลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานนุ่มจากปากคู่ชีวิต“ไม่ต้องหรอกค่ะเจสัน ปล่อยให้สองคนนั้นเขาเคลียร์เรื่องของเขาเถอะ”“แล้ววี...”“ไม่หรอกค่ะ วีคิดได้แล้ว และก็ได้แต่หวังว่าหลานชายนอกไส้ของคุณ จะรักและดูแลลูกสาวของวีให้ดีที่สุด และมีความสุขที่สุดเท่านั้นก็พอค่ะ”“มีอะไรกันหรือเปล่าคะน้าวี” ภูตะวันถามอย่างงงๆ ตาก็มองน้าสาวสลับกับเจสัน และก็หันไปมองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งเงียบอยู่มุมหนึ่งของห้องแล้วก็เมินหน้าหนี สองแขนโอบรอดร่างน้าสาวอย่างรักใคร่และคิดถึง“เปล่าๆ จะลูก ว่าแต่ตะวันสบายดีใช่ไหมลูก แล้วหนูจะมาพาพักกับน้าที่บ้านด้วยใช่ไหม”“ค่ะน้าวี ตะวันจะแย่งตัวน้าวีจากลุงเจสันมานอนกอดให้ฉ่ำปอดเลย” ภูตะวันยิ้มหวานเชื่อม และสายตาก็จ้องมองไปเกเบรียลได้ยินภูตะวันภูแค่นั้นเกเบรียลก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ล้มลงดังปังใหญ่ ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงขึ้งเครียดและแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายสีแดงเข้ม ลมหายใจหอบเร็วภูตะวันเลิกคิ้ว “มีอะไรหรือเปล่าคะค
ใบหน้าคมคร้ามแดงก่ำ แล้วดวงตาคมดุคู่นั้นเป็นประกายแข็งกร้าว ทั้งโกรธเกรี้ยวและน้อยใจ ร่างใหญ่เดินลิ่วๆ มาหาตรงที่เธอกับตรีประดับยืนอยู่ เท้าเรียวยาวก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ“มีอะไรตะวัน” ตรีประดับเอ่ยถามเพื่อนอย่างแปลกใจ ก็เมื่อครู่ภูตะวันเป็นคนชวนเธอเอง แล้วก็ยังลากเธอเดินลิ่วๆ มาจนเธอหัวแทบคะมำไปข้างหน้า แต่อยู่ๆ ก็หยุดแล้วยังพาเธอเดินไปด้านหลังเฉยเลย“คือ...”“ให้ฉันเป็นคนตอบแทนดีกว่าไหมตรีประดับ” เสียงที่ถามอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับมือใหญ่จับเข้าที่แขนเรียวยาวและดึงจนร่างบอบบางถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งตรีประดับรู้สึกเหมือนกับว่าลำคอแห้งผาก จนต้องรีบกลืนน้ำลายลงคอ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย หัวใจเธอยังคงเต้นแรงและเร็ว ราวกับกำลังจะทะลุออกมาจากทรวง ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ ขณะปลดมือใหญ่ออกจากแขนทั้งที่รู้ว่า ถึงจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดจากคีมเหล็กที่คีบอยู่ก็เถอะ“ปะ...ปล่อยตรีนะพี่เฟด เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ พี่จะมาหาเรื่องอะไรกับตรีอีก”“แน่ใจหรือตรี ฉันว่าเธอยังติดค้างฉันอีกเยอะเลยนะ” เฟดเดอริโกถามยิ้มๆ ตอนที่ได้เห็นร่างบอบบางของคนที่รักเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์เช็กอิน เข
ไม่....เขายอมให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ เขาจะต้องตามตัวตรีประดับให้เจอ ไม่ว่าหญิงสาวอยู่ที่ไหน สุดสายปลายฟ้า ก็จะต้องตามหาให้เจอ และบอกให้เธอรู้ว่าเขายอมแพ้แล้ว...ยอมให้ละทิ้งทุกสิ่ง ขอเพียงแค่ให้หญิงสาวอยู่ในอ้อมแขนเขาตลอดไปก็พอ“ตรีจะไปเมืองไทย เขาคงจะไปหาตะวันที่นั่น” ภารวีพูดเสียงเบา“ไม่จริง คุณเอาอะไรมาพูด ในเมื่อตะวันอยู่ที่นี่”“คุณว่าไงนะคุณเฟด” ร่างบางถึงกับทรุดกองกับพื้นอีกครั้ง ความจริงจากปากเฟดเดอริโกพรั่งพรูเหมือนกับสายน้ำหลาก ให้ภารวีถึงกับร้องเรียกหายาดม ใบหน้าเธอขาวและซีดเผือด“ต...รีแม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ เพราะแม่ถึงทำให้ลูกเป็นแบบนี้ใช้ไหม” ภารวีร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อคิดว่าตรีประดับคงจะทำอะไรเพื่อช่วยภูตะวันจนถึงขั้นเอาตัวเข้าแลก เพื่อจะได้ช่วยเหลือญาติสาว...และคนที่ลูกสาวเธอเลือกขอความช่วยเหลือก็คือชายหนุ่มตรงหน้า ที่คอยจ้องตะครุบอยู่แล้ว“ตามตรีกลับมาให้ได้นะคุณ บอกแกด้วยว่าฉันรักแก แม่คนนี้รักแก” ภารวีจับมือใหญ่ของสามีไว้และจ้องมองเฟดเดอริโกด้วยสายตาวิงวอนขอร้อง“ไม่ครับ” ภารวีและเจสันกำลังจะต่อว่าชายหนุ่มไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ตามมาก็ทำให้ทั้งคู่ยิ้มได้“คำพูดเหล่านี้ ค
สะโพกสอบกดรั้งจมลึกหายไปในเส้นทางสวาทร้อนรัวเร็วถี่ยิบ ทั้งหนักหน่วงและรุนแรง เพียงไม่นานสองร่างก็สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงร้องหวานเชื่อมและแหบห้าวดังพร้อมๆ กันกายบางฟุบลงบนขอบอ่าง โดยมีร่างใหญ่ตามติด ลมหายใจของทั้งคู่หอบกระเส่า เป็นครู่ใหญ่กว่าที่เกเบรียลจะฟื้นตัว ช้อนร่างบางไปวางในอ่างอาบน้ำใหม่อีกครั้งสองมือบีบนวดและกายบางแผ่วเบา ผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้ ก่อนที่เขาจะอุ้มร่างภูตะวันขึ้นและนำพาเธอไปมอบรักใหม่อีกครั้ง...อีกครั้งและอีกครั้ง...บนเตียงนอนใหญ่ ก่อนทั้งคู่จะนอนหลับไปในอ้อมกอดของกันและกันตรีประดับพาร่างบางของตัวเองเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร เธอกวาดตามองหาหญิงและชายที่เธอเรียกว่าพ่อแม่ และเธอก็ได้พบร่างของภารวีและเจสันนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง หญิงสาวเดินไปหยุดตรงหน้าของทั้งสองคน“แกมาที่นี่ทำไมอีกตรีประดับ” ภารวีเอ่ยถามลูกสาว ความเจ็บปวดและเจ็บใจยังไม่ห่างหายไปจากสมองและจิตใจ“ตรีแค่จะมาลาแม่นะคะ”“แกจะไปอยู่กับ...” ภารวีถามอย่างเจ็บปวดใจ“ไม่ใช่หรอกค่ะแม่ ตรีจะไปเมืองไทย” ตรีประดับพูดขัดขึ้นก่อนที่มารดาจะพูดจบ มือเรียวยื่นสมุดโน้ตเล่มเล็กส่งให้มารดา“ตรีแค่จะเอาน
“เธอไม่คิดถึงฉันหรือไงคนดี เห็นกลับเอาซะเย็นเชียว ไม่รู้หรือว่าฉันเป็นห่วง และที่สำคัญคือ...ฉันคิดถึง”“จริงหรือคะ คุณเกลคิดถึงตะวันจริงๆ เหรอ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย” นิ้วเรียวคีบจมูกโด่งแผ่วเบา ใบหน้าก็ยิ้มหวานดวงตาเป็นประกายหวานเชื่อมไม่แพ้กัน“ทำอย่างไรเธอถึงจะเชื่อละตะวัน”“อืม...ทำยังไงนะหรือคะ” ใบหน้าขาวสวยแหงนไปด้านหลัง ให้ใบหน้าคมประทับไปบนลำคอระหงเรื่อยลงไปตามแอ่งชีพจร จนถึงปทุมถันอวบอิ่มสีขาวนวลผ่องตัดกับปลายยอดสีชมพูเข้ม ที่ชูช่ออวดความสวยงามให้กับเกเบรียลได้เห็นชายหนุ่มลูบไล้มือไปบนลำตัวเนียนนุ่มและช้อนทรวงสล้างขึ้นมา ใบหน้าคมซบซุกระหว่างสองเต้า และค่อยๆ เคลื่อนไปประทับบนยอดบัว ปลายลิ้นตวัดไล้หยอกล้อกับปลายยอดถันสีชมพูเข้มอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะตวัดมันเข้าปากปลายนิ้วเรียวยาวจิกไปบนลำคอแกร่ง กดให้ศีรษะทุยแนบชิดกับทรวงสล้างมากที่สุด เสียงครางหวานเชื่อมดังจากปากนุ่มอวบอิ่ม“คืนนี้คุณเกลก็จะรักตะวันตลอดทั้งคืนดีไหมคะ”“ฉันนะไหวอยู่แล้ว กลัวแต่ว่าตะวันจะไม่ไหวนะซิ เอวบางร่างน้อยแบบนี้ ลดพัดทีเดียวก็ปลิวแล้ว”“งั้นคุณเกลก็ต้องจับไว้แน่นๆ ตะวันกลัวจะปลิวไปตามลมอย่างที่คุณเกลบอ
ตรีประดับเดินเข้าไปในห้องนอน เริ่มต้นเก็บข้าวของส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ หนังสือเดินทางบอกว่ายังคงเหลือระยะเวลาให้เธอได้ใช้อีกหกเดือนถึงจะทำไม มันก็คงพอให้เธอรักษาตัวรักษาใจ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักเป็นรูปดอกทานตะวันสีสวยสดหล่นออกจากตู้ผ้า มือเรียวยกมันขึ้นมาประทับแนบอกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะวางไว้ที่เดิมจำได้ว่าผ้าผืนนี้แม่ปักและถักริมอยู่หลายวัน เพื่อจะส่งไปให้เป็นของขวัญวันเกิดภูตะวันอายุครบสิบห้าปี แล้วเธอแอบขโมยมันมา พอแม่รู้เท่านั่นแหละก็ลงมือทุบตีเธอเป็นการใหญ่ ตรีประดับยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ข้าวของใช้หลายชิ้นที่แม่บรรจงทำส่งไปให้หญิงสาวทุกๆ ปี แต่ไม่เคยมีให้ลูกสาวคนนี้เลยสักครั้งแม่มอบรักให้ภูตะวันซึ่งเป็นเพียงแค่หลาน มากกว่าเธอซึ่งเป็นลูกสาวเสียอีก แม้ว่าเธอจะพยายามไม่คิด พยายามเข้าใจ ว่าที่แม่ทำไปเพราะรักและเป็นห่วงหลาน แต่ทำไมแม่ไม่เคยมองมายังเธอบ้าง มองว่าเธอเองก็โหยหาความอบอุ่นไม่แพ้ภูตะวันตรีประดับเก็บข้าวของจนหมด และเดินไปนอนบนเตียงเล็กๆ ที่อยู่ชิดมุมห้อง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปอย่างไม่คิดที่จะยกมือขึ้นเช็ด หญิงสาวหลับไปอย่างเหนื่อยทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเต็มใบห
Comments