LOGINเมื่อรุ่งสางมาถึง แสงอาทิตย์อ่อน ๆ เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง ในขณะที่หลิวรุ่ยหลินกำลังทดลองขยับนิ้วมืออย่างระมัดระวัง นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ พร้อมกับบทสนทนาของหญิงสาวสองคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง
เร็วเข้า!
หลิวรุ่ยหลินแสร้งทำเป็นล้มตัวลงนอนอย่างเร่งรีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดวงตาหรี่ปรือเล็กน้อยเพื่อคอยสังเกตการณ์ เพราะนางยังไม่สามารถลุกยืนได้อย่างมั่นคง การเปิดเผยว่าตนเองได้สติแล้วในตอนนี้อาจนำมาซึ่งอันตราย
สาวใช้ทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกับถังน้ำร้อนและผ้าเช็ดตัว พวกนางเริ่มจัดระเบียบห้องและพูดคุยกันอย่างเปิดเผย
“เหยาซื่อ เมื่อคืนเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่ ข้าได้ยินเสียงเหมือนของตกเบา ๆ” สาวใช้คนหนึ่งถาม
สาวใช้ที่ชื่อเหยาซื่อส่ายหน้า “เหยาซาน เจ้าหูฝาดไปแล้วกระมัง คุณหนูสี่นอนหลับนิ่ง ๆ มานานหลายปีแล้ว จะมีเสียงอะไรได้เล่า”
“หรือว่าจะมี...” เหยาซานมองซ้ายมองขวา ราวกับว่าที่นี่อาจมีภูติผีมาสิงสู่
“หยุดพูดเลยนะ ถ้าคุณหนูขยับจริง ก็อาจจะเพราะไม่สบายตัวเหมือนทุกทีนั่นแหละ เมื่อคืนพวกเราไม่ได้รอให้นางถ่ายก่อนแล้วค่อยไปนอน” เหยาซื่อลองเปิดผ้าห่มดู ก็พบว่าคุณหนูสี่นอนจมปัสวะจริงๆ “เห็นไหมละ”
เหยาซานลดเสียงลง แต่หลิวรุ่ยหลินก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน “ช่างน่าสมเพชจริงๆ สงสารก็แต่ท่านโหวกับฮูหยิน อุตส่าห์ย้ายคนทั้งจวนเจิ้นหนิงโหวมาอยู่เมืองฉางซาถึงเจ็ดปี เพื่อพาบุตรสาวมาพบหมอเทวดาแซ่จาง แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นสักนิด”
“นั่นสิ ตกน้ำจนกลายเป็นคนเขลาไปแบบนี้ ช่างเป็นภาระแท้ๆ จะตายก็ไม่ตายให้สิ้นเรื่อง” เหยาซื่อทำหน้ารังเกียจขณะพยายามจัดการกับผ้ารองที่เปียกปัสสวะของคุณหนู
เจ็ดปี? เจ้าเมืองฉางซา? บุตรีของท่านโหว?
ข้อมูลนี้พุ่งเข้าชนสมองของหลิวรุ่ยหลินอย่างจัง นางรู้ความจริงอันน่าตกใจว่า นางคือบุตรีของเจิ้นหนิงโหว ซึ่งกำลังอาศัยอยู่ในจวนของเจ้าเมืองฉางซา และที่สำคัญที่สุด คือทุกคนในจวนนี้ทราบดีว่าบุตรีผู้นี้สติไม่สมประกอบ
อ่า... คนเขลางั้นหรือ
มุมปากของหลิวรุ่ยหลินกระตุกยิ้มอย่างเงียบงัน ความเคร่งเครียดในแววตาเมื่อครู่พลันมลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยแววฉลาดเฉลียวและเด็ดขาด
นางตระหนักทันทีว่า ในสถานการณ์ที่ร่างกายอ่อนแอ พลังวัตรเกือบสูญสิ้น และความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ หรือศัตรูที่ทำร้ายนางจนเป็นแบบนี้ถูกทำลาย การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
หลิวรุ่ยหลินตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว นางจะไม่กลับไปเป็นเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบยุทธภพ ตราบใดที่ยังสืบหาสาเหตุที่ทำให้นางตกอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้
เอาเถอะ ในเมื่อร่างนี้ไม่อาจกลับสู่ความว่างเปล่าได้ ก็ขอให้ข้าใช้มันเป็นเครื่องมือเถิด
นางจะใช้สถานะ เหยาหลิงเจิน คุณหนูสี่ของเจิ้นหนิงโหวเป็นเกราะกำบังอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่มีใครสงสัย ในระหว่างฟื้นฟูวรยุทธ์ และรวบรวมข้อมูลเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับปมปริศนาของตนเองให้จงได้
ทว่าวันแรกของการคืนสู่โลกของผู้ที่เคยเป็นถึงเจ้าสำนัก ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสดใสและพลังอำนาจ แต่เริ่มต้นด้วยกลิ่นเหม็นอับของปัสสาวะและโจ๊กข้าวต้มจืดชืด
ทั้งเหยาซาน และเหยาซื่อที่เข้ามาดูแลเหยาหลิงเจินในยามเช้า ไม่มีความเคารพอยู่ในดวงตาของพวกนาง มีเพียงความเบื่อหน่ายและความรังเกียจที่ถูกส่งมาดูแลเจ้านายผู้ที่ทุกคนรู้กันว่า ‘ไร้สติปัญญา’ หรือไม่ก็ ‘ถูกปีศาจเข้าสิง’
“วันนี้ค่อยดีหน่อย นางไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเลย” เหยาซานพึมพำเบาๆ ขณะที่ยกถังน้ำร้อนวางลงบนพื้นอย่างขอไปที
“แล้วไง? นางก็ยังเป็นคนเขลาอยู่ดี” เหยาซื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้าต้องมาดูแลคนบ้าที่วัน ๆ เอาแต่นอนจมสิ่งปฏิกูลของตัวเอง ชีวิตข้าคงโชคร้ายถึงที่สุด”
หลิวรุ่ยหลินที่กำลังแสร้งทำเป็นนอนนิ่งอยู่บนเตียง รับรู้ทุกการกระทำและทุกถ้อยคำ ทันทีที่รับรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมถึงมีกลิ่นปัสสาวะติดอยู่ตามเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนของร่างนี้ ความรู้สึกโกรธแค้นก็พุ่งสูงขึ้นภายในใจของนาง
เหยาหลิงเจิน เจ้าถูกปฏิบัติเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว
การกระทำของสาวใช้ทั้งสองนั้นเชื่องช้าและเลินเล่อ พวกนางจัดการเรื่องความสะอาดของห้องอย่างรีบร้อนและไม่พิถีพิถัน จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการป้อนอาหาร
เหยาซื่อตักโจ๊กข้าวต้มที่เหลวใสสีอ่อนขึ้นมาหนึ่งช้อน นางไม่ได้รอให้โจ๊กเย็นลงก่อนที่จะยื่นมาจ่อที่ปากของเหยาหลิงเจิน
“อ้าปาก กินซะสิคุณหนู อย่าให้ต้องเสียเวลา” เหยาซื่อพูดเสียงหงุดหงิดพร้อมกับยัดโจ๊กเข้าไปในปากของร่างไร้กำลัง
หลิวรุ่ยหลินฝืนกลืนมันลงไป โจ๊กนั้นร้อนและแทบไม่มีเนื้ออยู่เลย เหยาซื่อป้อนอีกเพียงไม่กี่คำก่อนจะวางชามลง
“พอแล้ว... แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับคนที่ไม่รู้รสชาติอะไร” เหยาซานกล่าวกับเหยาซื่อ พลางมองคุณหนูของตนเองอย่างเหยียดหยาม “เราไปซักผ้าแล้วมานั่งคุยกันข้างนอกดีกว่า”
แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันประคองให้เหยาหลิงเจินนอนลง แล้วพากันออกไปโดยไม่สนใจว่านางจะกินอิ่มจริงๆ หรือไม่
สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมร่างกายของเหยาหลิงเจินถึงได้อ่อนแอและผอมแห้งถึงเพียงนี้ ความอ่อนแอทางร่างกายที่เกิดจากการทอดทิ้งยิ่งทำให้การฟื้นฟูวรยุทธ์ของหลิวรุ่ยหลินยากลำบากขึ้นไปอีกหลายเท่า
หลังจากการลงโทษสาวใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ผ่านไป จวนเจิ้นหนิงโหวก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่ไม่ใช่ความสงบเงียบเหงาแบบเก่า หากแต่เป็นความสงบที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและความรักที่ตื่นขึ้นมาอย่างท่วมท้น ท่านโหวเหยาจิ้นทงและฮูหยินเหอเหมียวลี่แทบจะสลับกันเข้ามาดูแลบุตรสาวคนเล็กด้วยตนเองทุกวันทุกอย่างในเรือนของคุณหนูสี่ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ผ้าปูที่นอนถูกเปลี่ยนเป็นผ้าไหมเนื้อดีจากซูโจว เครื่องเรือนเก่าๆ ถูกยกออกไปและแทนที่ด้วยของใหม่ที่หรูหรา และที่สำคัญที่สุดคือ กลิ่นเหม็นอับชื้นที่เคยปกคลุมเรือนก็หายไปอย่างสิ้นเชิงท่านหมอจางยังคงเข้ามาตรวจชีพจรของเหยาหลิงเจินวันละสองครั้ง ใบหน้าของท่านหมอเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เพราะชีพจรของคุณหนูสี่ไม่เพียงแค่เป็นปกติเท่านั้น แต่ยังแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ท่านหมอสั่งยาบำรุงหายาก เช่น รังนกหิมะและโสมอายุพันปี ให้นำมาปรุงเป็นอาหารอ่อนๆ ทุกวันเพื่อเร่งการฟื้นฟูร่างกายที่บอบช้ำมานานเหยาปิง ในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทและหัวหน้าสาวใช้ส่วนตัว ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางจัดการเรื่องในเรือนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สาวใช้ที่ถูกคัดเลือกเข้ามาใหม่ก็ตั้งใจทำงา
เหยาจิ้นทงหันมาให้ความสนใจกับเรื่องที่ค้างคา ซึ่งสร้างความมัวหมองให้กับเรือนคุณหนูสี่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าบุตรสาวของเขาแทบไม่มีแรงจะยืน แล้วจะลุกขึ้นมาทำเรือนเละเทะได้ยังไง“เหยาซาน เหยาซื่อ ไหนบอกว่าคุณหนูสี่อาละวาดทำร้ายคนไง” เขามองไปยังสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่สองคนด้วยสายตาเย็นชา “พวกเจ้าสารภาพมาตามตรงดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นอยู่ว่าบุตรสาวของข้าไม่มีทางลุกขึ้นมาทำร้ายพวกเจ้า หรือทำให้เรือนสกปรกเยี่ยงนี้ได้”เหยาซานและเหยาซื่อก้มศีรษะลงต่ำติดพื้น พวกนางร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญ“ท่านโหว พวกบ่าวไม่กล้าโกหกหรอกเจ้าค่ะ บ่าวสาบานว่าจู่ๆ คุณหนูก็ฟื้นขึ้นมาเล่นงานพวกบ่าว นางไม่ใช่คุณหนูสี่คนเดิมแล้วเจ้าค่ะ นางต้องโดนผีเข้าแน่ๆ” เหยาซื่อตะโกนด้วยความกลัว นางยังจำสายตาเคียดแค้นของเหยาหลิงเจินได้ดีความเชื่อเรื่องผีสางและปีศาจ รวมไปถึงสัตว์ในตำนานเป็นสิ่งที่คนในแคว้นนี้เชื่อถือกัน ทำให้ท่านโหวและฮูหยินเริ่มแสดงสีหน้าหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเห็นว่าบุตรสาวฟื้นคืนสติ และดูสงบดีก็ตามแต่ถ้าที่นางฟื้นเป็นเพราะถูกปีศาจครอบงำเล่า แล้วพวกเขาจะทำยังไงกันดี“ท่านพี่ เราต้องไปเชิญนักพรตมาตรวจสอบหรื
ไม่นานนัก เหยาจิ้นทงและเหอเหมียวลี่ก็มาถึงหน้าเรือนพำนักของเหยาหลิงเจิน ทั้งสองยืนมองประตูด้วยความรู้หลากหลาย แต่ก็ยังไม่เข้าไป จนกระทั่งเหยาฉีและเหยาหมิงมาถึง “ท่านพ่อ ท่านแม่” เหยาหมิงร้องเรียกบิดามารดา แล้วเดินปรี่เข้ามา “เจินเอ๋อร์ คืนสติแล้วจริงหรือขอรับ”“แม่กับพ่อของเจ้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” เหอเหมียวลี่ตอบบุตรชายเสียงเครือ“ในเมื่อพวกเรามาพร้อมหน้ากันแล้ว ก็เข้าไปดูให้เห็นกับตาเถิดขอรับ” เหยาฉีพูดพลางมองประตูเรือนของน้องสาวคนเล็กอย่างมีความหวังเหยาจิ้นทงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสั่งให้เหยาปิงไปเปิดประตูเรือน จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เดินตามนางเขาไปด้านในด้วยหัวใจระทึกพวกเขาหยุดชะงักที่หน้าประตูทันที เมื่อได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่รุนแรงจนน่าคลื่นไส้ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นนั้นอีกต่อไป เมื่อสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเหยาหลิงเจินยังคงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ นางเงยหน้าขึ้นมองครอบครัวด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวากว่าครั้งใดเหอเหมียวลี่พลันร้องไห้โหออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ นางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างบุตรสาว ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความดีใจและห่วงหา“เจินเอ๋
หลิวรุ่ยหลินวางกระโถนลงอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เย็นชาของนางกวาดมองไปทั่วห้องที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย จากนั้นนางก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง เนื่องจากร่างกายของเหยาหลิงเจินในตอนนี้ยังไม่สามารถทนต่อการใช้งานที่หนักหน่วงขนาดนั้นได้นานการลงโทษสาวใช้ตัวดีทั้งสองสำเร็จอย่างงดงาม แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ร่างกายนี้ต้องถูกพวกนางเหยียดหยามมาถึงเจ็ดปีเต็ม สิ่งโสโครกเพียงกระโถนเดียวคงไม่พอให้วิญญาณของเหยาหลิงเจินตัวจริงพอใจแน่เสียงกรีดร้องและเสียงโครมครามที่ดังมาจากห้องนอนด้านใน จนทำให้เหยาปิงที่กำลังจัดข้าวของอยู่ในห้องเก็บของด้านหลังเรือนได้ยิน นางพลันตื่นตระหนก คิดว่าเหยาซานกับเหยาซื่อรังแกคุณหนูอีก นางจึงรีบวิ่งมาที่ห้องของนอนของเหยาหลิงเจินทันทีแต่พอนางเปิดประตูเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือเหยาหลิงเจินนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบ แต่สภาพรอบห้องนั้นเลวร้ายอย่างที่สุด กลิ่นฉุนของปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลแทบทำให้นางหายใจไม่ออก“คุณหนู ท่านถูกสองคนนั้นรังแกหรือ” เหยาปิงรีบวิ่งเข้ามาดู แต่เนื้อตัวของคุณหนูนั้นสะอาดสะอาด นางจึงมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง จนเห็นร่องรอยน้ำเปียกโชกที่ลากเป็นทางออกไปจากห้อง
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลิวรุ่ยหลินยังคงแสร้งทำเป็นนอนนิ่งและฟื้นฟูร่างกายอย่างลับๆ การไม่มีทางลัดสำหรับการเรียกความแข็งแกร่งกลับคืนสู่กล้ามเนื้อที่อ่อนเปลี้ยของร่างใหม่ มีแต่ต้องอาศัยเวลา และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น แม้ตอนนี้พลังปราณภายในจะฟื้นมาเพียงน้อยนิด ทว่าความแข็งแกร่งทางกายที่คืนกลับมาก็เพียงพอให้นางสามารถจัดการกับคนธรรมดาได้แล้วในเมื่อตอนนี้นางสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเสแสร้งนอนเป็นผักให้ใครมารังแกง่ายๆ อีกต่อไปได้เวลาที่คุณหนูสี่แห่งจวนเจิ้นหนิงโหวจะมีสติ และลุกขึ้นมาแล้วเช้าวันหนึ่ง หลิวรุ่ยหลินยังคงแสร้งทำเป็นนอนนิ่งและแสดงสีหน้าเหม่อลอย รอคอยให้เหยาซานกับเหยาซื่อ สาวใช้ผู้ประพฤติเลินเล่อเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจเช่นเคย“เช้านี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะเหยาซื่อ หากคุณหนูสี่ฉี่รดที่นอนอีกรอบ ข้าจะโยนผ้าทั้งหมดให้เจ้าซักคนเดียว” เหยาซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย“ข้าก็ระวังแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าคนเขลาไร้สติจะปัสสาวะเมื่อไหร่กันล่ะ” เหยาซื่อตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ นางหยิบชามโจ๊กข้าวต้มจืดชืดเข้ามา พร้อมกับช้อนทองเหลืองท
ขณะที่เหยาซานและเหยาซื่อกำลังจะเดินออกไปจากห้อง พลันมีร่างของสาวใช้อีกคนหนึ่งก้าวเข้ามา นางมีรูปร่างสมส่วน ท่าทางกระฉับกระเฉง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลคนผู้นั้นคือ เหยาปิงเหยาปิงหยุดนิ่งทันทีเมื่อสายตาของนางกวาดไปเห็นผ้าห่มและสภาพเตียงนอนที่ดูไม่เรียบร้อย กลิ่นเหม็นอับที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับสาวใช้ทั้งสองด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด“เหยาซาน เหยาซื่อ พวกเจ้ากล้าดียังไง” เหยาปิงตวาดเสียงดัง “ข้าบอกให้พวกเจ้าเปลี่ยนที่ผ้าปูที่นอน และรอทำความสะอาดร่างกายของคุณหนูสี่ให้ดีก่อน ไม่ใช่ทำแค่ถูไถไปวัน ๆ แล้วปล่อยให้คุณหนูนอนจมสิ่งโสโครกของตนเองแบบนี้”เหยาซานเบ้ปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “เหยาปิง วันนี้เจ้าใจกล้าขึ้นนี่ พวกเราก็ทำตามหน้าที่แล้วไงเล่า คุณหนูสี่ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นจะต่างอะไรกัน”เหยาซื่อเองก็หัวเราะเยาะ “ใช่แล้ว คุณหนูสี่ไม่ได้รับรู้อะไรหรอก ไม่ต้องทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรมนักก็ได้ เจ้านายที่ไร้อนาคตแบบนี้ดูแลไปก็ไม่มีทางได้ดี”เหยาปิงเดินเข้าไปหาเตียงด้วยสีหน้าเจ็บปวด นางมองดูสภาพของเหยาหลิงเจินด้วยความสงสาร ก่อนจะหันกลับไปมองเหยาซานและเหยาซื่อด้วยควา







