เพราะคำว่าครอบครัวเคยสมบูรณ์ ปวีร์ในวัยเด็กรับไม่ได้เมื่อพ่อแม่แยกทางกันเพราะเหตุผลของผู้ใหญ่ กระทั่งพ่อมีภรรยาเลยโทษผู้หญิงของพ่อว่าเป็นมือที่สาม ความเกลียดชังถูกระบายออกมาทางการกระทำ เมื่อแม่เลี้ยงมีลูกติด เกิดสัมพันธ์ลับๆระหว่างเขากับเฌอเอมหญิงสาววัยยี่สิบสองปี เธอผู้มีโลกอันสดใส แต่ต้องทุกข์ระทมเพราะต้องทอดเรือนร่างให้ผู้ชายที่เธอเคยเคารพและรักมาก เมื่อแม่ของเธอก้าวเท้ามาเป็นแม่เลี้ยงของเขา บัดนั้นปวีร์ก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
View More“ทำไมแม่ต้องขนของออกจากบ้าน”
เสียงของเด็กชายวัยสิบสามขวบเอ่ยถามผู้เป็นแม่อย่างนึกสงสัย ปวีร์ที่เดินลงมาจากห้องของตัวเองในช่วงสิบโมง วันนี้เขาแอบตื่นสายเพราะเล่นเกมดึกมากกว่าทุกคืน และเป็นวันหยุดเลยไม่ถูกดุอย่างเช่นวันธรรมดาที่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ทว่าแววตาที่ทอดมองมารดา ยังคงแฝงด้วยความสงสัย ทำไมแม่ถึงขนข้าวของออกไปราวจะไม่อยู่ด้วยกัน “แม่ต้องไปแล้ว” “ไปแล้ว – ไปไหน” เด็กชายเอียงคอถามในความสงสัยนั้น กมลเนตรย่อตัวลง มองใบหน้าลูกชายด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย หากนับตั้งแต่วันนี้ย้อนหลังไปเกือบห้าปี ต้องอยู่กับความอึดอัด ไม่มีความสุขในชีวิตคู่เหมือนแต่ก่อนและทะเลาะกับพ่อของลูกบ่อยครั้ง “วีร์อยู่ที่นี่กับพ่อนะลูก” “ทำไมครับแม่ – ทำไมผมต้องอยู่กับพ่อคนเดียว แม่จะไปไหน” คำถามยังถูกส่งมาถี่ๆ ทำกมลเนตรพูดแทบไม่ออก แต่วันนี้คงต้องพูดเพื่อให้คนกลางอย่างปวีร์ได้เข้าใจ “พ่อกับแม่ตัดสินใจแล้วว่าเราจะแยกทางกัน” ปวีร์ไม่ใช่เด็กน้อยเสียจนแปลความหมายไม่ออก รับรู้มาตลอดว่าพ่อกับแม่ระหองระแหงกันมานาน ทว่าคนเป็นลูกก็ย่อมต้องการความรักความอบอุ่นที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมกันสามคนพ่อแม่ลูก นี่คือสิ่งที่เด็กชายปวีร์ต้องการ... อีกทั้งไม่นึกว่าวันนี้มันจะมาถึงต่อให้มีสัญญาณบอกมานานก็ทำใจยอมรับไม่ได้ “แม่ไม่รักพ่อแล้วเหรอ” ปวีร์ถามเสียงสั่นมองหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งดวงตาแดงก่ำ เช่นเดียวกันกับกมลเนตร หยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม ต้องเป็นฝ่ายถอยออกและไม่สามารถพาลูกไปได้ “พ่อกับแม่ตัดสินใจกันแล้วนะวีร์” ปุริมที่ยืนมองจากประตูห้องทำงาน เมื่อคืนเขานอนในห้องนั้น รู้สึกไม่ต่างจากกมลเนตร พยายามสานสัมพันธ์อันสั่นคลอนมานานหลายปี แต่มันก็ไม่เป็นผล ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน อีกคนมีสังคมจนหลงลืมหน้าที่ของว่าภรรยา อีกคนทำงานจนหลงลืมคำว่าหัวหน้าครอบครัว หันหน้าเข้าหากันคือทะเลาะ ต่างฝ่ายต่างเอาตัวเองเป็นใหญ่ มองความคิดของกันและกันติดลบไปหมด เมื่อปัญหาของทัศนคติเกิดขึ้น ปัญหาการใช้ชีวิตคู่ก็ตามมา ปุริมรู้สึกโทษตัวเองที่ประคับประคองคำว่าพ่อแม่ลูกไว้ไม่ได้ ก็อย่างว่า คำว่ารักคำเดียวไม่สามารถทำให้ครอบครัวไปต่อได้ อีกทั้งความรู้สึกนั้นมันได้หมดลง ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือแยกย้าย “พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้” “แล้วแม่จะไปไหน” “ไปต่างประเทศ” “แม่ไม่ไปได้ไหม” คนอายุน้อยร้องขอทั้งน้ำตา ไม่อยากอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทว่าคำร้องขอนั้นไม่เป็นผล เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองหมดรักกัน ก็เหลือเพียงการทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูกเท่านั้น กมลเนตรกอดลูกชายที่ยืนน้ำตาหลั่งริน จูบเข้าที่หน้าผากหนึ่งทีเป็นการสั่งลา “แม่ไปแล้วนะ – ไว้แม่จะมาหา” “ไม่ ไม่ไปนะ” “...” กมลเนตรก้าวขาออกไปทั้งน้ำตาไม่ต่าง แต่เป็นความรู้สึกเสียใจที่ต้องห่างลูก ไม่ใช่เพราะการเลิกราในครั้งนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดบีบรัดกันทั้งสามคน แต่ถ้าฝืนทุกอย่างมันจะพังไปมากกว่านี้ ปวีร์ยืนนิ่งมองรถที่ขับออกไป ทว่าน้ำตาของเด็กผู้ชายไหลเงียบไม่มีเสียง ด้านหลังคือสายตาอ่อนไหวของผู้เป็นพ่อ สงสารลูกไม่น้อยเมื่อครอบครัวต้องสาแหรกออกจากกัน แต่กระนั้นก็ยืนหยัดจะมอบความรักความอบอุ่นให้ปวีร์ให้รู้สึกไม่ขาด “วีร์” “...” “ปวีร์” “เพราะน้าชญาใช่ไหม” ปวีร์เอ่ยถามทั้งที่ยังให้หันให้พ่อ เขาแอบเห็นว่าคนทั้งสองสนิทสนมเกินกว่าคนรู้จัก ปุริมถอนหายใจ ก้มหน้ามองพื้นเล็กน้อยเหมือนคนรู้สึกผิด แต่นั้นมันไม่ใช่สาเหตุของการร้างราในครั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่ตกลงแยกย้ายกันเงียบๆ เกิดขึ้นมานาน เพื่อรอเวลาอันเหมาะสม และวันนี้มันก็มาถึง ส่วนชญาณัฐที่ปวีร์พูดถึง เธอมาหลังจากเขาตกลงกับอดีตภรรยาแล้วเรียบร้อย ชญาณัฐไม่ได้มาเป็นมือที่สาม ซ้ำยังเป็นกำลังใจในตอนที่เขาสิ้นหวังกับคำว่าครอบครัวอย่างมาก และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกดีๆของเขากับเธอ “อย่าเข้าใจผิดตาวีร์” “ถูกต่างหาก น้าชญาทำให้พ่อเปลี่ยนใจ” “ไม่ใช่” “ไม่มีน้าชญา พ่อกับแม่ก็ยังอยู่ด้วยกัน” ถ้าอยู่คงไม่ใช่เพราะความรัก ความรู้สึกนี้มันหมดไปนาน เพียงแต่ปวีร์ไม่รู้และไม่เข้าใจ “มันขึ้นอยู่กับคนสองคน” “ขึ้นอยู่กับคนที่สามด้วย !! น้าชญาทำให้ครอบครัวเราเป็นแบบนี้” เด็กชายกำลังเสียใจ ไม่ยอมฟังในเหตุและผล ปวีร์กำลังโทษผู้หญิงอีกคน เข้ามาทำให้ครอบครัวต้องแยกจากกัน มือเล็กกำแน่น ก่อนจะวิ่งย้อนกลับขึ้นห้องตัวเองไปร้องไห้คนเดียว เคยเห็นแต่เพื่อนเอาปัญหาแบบนี้เล่า เคยปลอบใจให้เพื่อนเข้าใจในปัญญาของผู้ใหญ่ แต่พอเป็นเรื่องครอบครัวตัวเอง ปวีร์กลับไม่เข้าใจและไม่ทำใจยอมรับ “เพราะคนครอบครัวนั้น – ทำครอบครัวเราเป็นแบบนี้ ผมเกลียด..อึก เกลียด”“เอมท้องได้สองเดือนแล้วครับน้าชญา”“...”ชญาณัฐที่ได้ยินก็เงียบปาก มองเด็กทั้งสองด้วยแววตาและสีหน้าเรียบเฉย พลันอีกฝ่ายนึกว่าเธอต้องไม่พอใจกับพฤติกรรมเกินงาม รู้ถึงไหนคงโดนนินทาไปถึงนั่น แต่ในสังคมปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว อยู่ก่อนแต่งหรือท้องก่อนแต่งมันมีเยอะแยะ ฉะนั้นเอามาวัดกันไม่ได้นอกจากความรักและความซื่อสัตย์ที่มีให้กัน สิ่งสำคัญในชีวิตคู่จะประคองอย่างไรให้ตลอดรอดฝั่งไม่เหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เคยล้มเหลวมาก่อน“หนูขอโทษ”“ขอโทษทำไม แม่กับลุงอยากอุ้มหลานจะตาย”“แม่!”“แค่ตกใจที่หลานมาไวกว่าที่คิด”บรรยากาศจากตึงๆ กลายเป็นความรอยยิ้มของคนทั้งสี่ มีแม่บ้านอย่างป้าราตรียืนมองครอบครัวสุขสันต์อยู่ห่างๆ ครั้งที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในสมรภูมิของสงครามมานานหลายปีห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมของเฌอเอม หากนับเวลาก็รวมๆ หกเดือนได้ที่เธอไม่ได้กลับมาใช้ห้องนี้อีกเลย มันดูโล่งไปนิด มีเพียงแจกันและโซฟาที่ยังตั้งวางไว้ ทว่าวันนี้เธอได้กลับมาใช้มันอีกครั้ง“เมื่อไหร่จะขึ้นเตียง มาให้พี่นอนกอด”ปวีร์เอ่ยถามขณะที่ตัวเองนั้นนอนยกแขนเท้าศีรษะแล้วตะแคงออกมาทางระเบียง เฌอเอมอยู่ในชุดนอนสีขาวตัวบางชนิดที่ว่ามองเ
ปวีร์ก็ไม่ฟังอยู่ดี เพิ่มข้อนิ้วเข้าไปอีก ล้วงผนังอุ่นเพื่อหาจุดกระสัน ตำถี่ๆ ให้คนอายุน้อยเสพความสุขได้อย่างเต็มที่ ขณะที่บั้นท้ายอวบอัดมีท่อนลำแข็งขดอยู่ด้านล่าง ความต้องการทำปวีร์ปวดหนึบ อยากควักมันออกมาแล้วสอดกระแทกเสียให้จบๆ แต่เมื่อเฌอเอมบอกว่าไม่ไหว ก็ทำได้เพียงเกี่ยวเบ็ดให้อย่างถึงใจ หลังจากนั้นค่อยจัดการตัวเองด้วยการชักว่าว“เสียวไหมคะ”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เชิดดวงตามองคนอายุน้อยที่เอาแต่กัดริมฝีปากแล้วหลับตาแน่น เฌอเอมตัวแดงขึ้นเพราะความซาบซ่าน นั่งแอ่นเร่าร่างกายบนตักของชายหนุ่มราวกับยั่วเย้าอารมณ์ทางเพศของอีกฝ่าย เรียวนิ้วจิกเข้าที่หัวไหล่หนา ส่วนเรียวขานั้นก็อ้าออกกว้างให้ปวีร์ขยับเข้าออกได้ถนัด“อ่ะ ฮื่อ”ดวงตาคมหลุบต่ำลง มองผลงานตัวเองที่กำลังเล่นงานคนอายุน้อย กระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าน้ำเสียวของเฌอเอมไหลเยิ้มออกมาเป็นสวย“อ่า เอมมองหน่อย”“มะไม่...ไม่มอง”“สวยนะ...มองหน่อย”เขาหว่านล้อมให้คนอายุน้อยก้มมอง จากที่หลับตาก็ปรือปรอยแล้วหลุบมองตามคำสั่ง ช่องทางรักของตัวเองมีข้อนิ้วขอชายคนรักสอดไปตั้งสามนิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่ กลีบกุหลาบแยกออกเป็นทางเห็นแม้กระทั่ง
จากเดิมที่ตั้งใจมาอยู่เพื่อพักฟื้นจากอาการป่วย กลายเป็นว่าชายหนุ่มกลับย้ายมาอยู่ถาวร ขนข้าวของจำเป็นบางส่วนเข้ามาไว้ในคอนโด ปวีร์ยังคงทำงานที่รักตามเดิมคือช่างภาพ แม้ออฟฟิศกับคอนโดอยู่กันหลายกิโลเมตรก็ไม่เป็นอุปสรรค สามารถขับรถไปกลับรวมๆ เกือบสามสิบกิโลเมตรต่อวันได้แบบสบาย และอดทนต่อการจราจรติดขัดจนเฌอเอมแอบประหลาดใจ เพราะชายที่รักไม่ชอบอะไรที่แออัดโดยเฉพาะรถบนท้องถนนขณะที่คนอายุน้อยเริ่มทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งคู่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของปุริม ปล่อยให้คนอายุมากกับภรรยาได้ช่วยกันบริหารอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรหากปุริมเกษียณตัวเองและวางมือลง แน่นอนว่าปวีร์ต้องเข้ามารับช่วงต่อเพราะเป็นลูกชายคนเดียวครัวเล็กๆ กำลังถูกใช้อุ่นอาหารสำเร็จที่ซื้อมาจากตลาด มื้อนี้เฌอเอมเลือกเป็นเมนูโปรดของปวีร์ เป็นแกงพะแนงเนื้อมะเขือพวงและยังมีหมูทอดแดดเดียวและน้ำจิ้มแจ่วรสจี้ดจ้าด ยังไม่ทันเสร็จดี ร่างน้อยๆ ถูกแขนแกร่งโอบกอดทางด้านหลังในจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัว ปวีร์เปิดประตูเข้าห้องหลังจากกลับจากทำงานเพียงเงียบๆ แล้วเดินย่องมากอดคนอายุน้อยเหมือนเช่นทุกวัน“ตกใจหมดเลย”เอ่ยเพียงประโย
เขาสูดดมกลิ่นตัวทั่วกายบาง ความหอมรัญจวนทำสติที่มีแทบคลั่งอยู่รอมร่อ เพราะหลงรักเฌอเอมมานานแต่ทว่าดันซ่อนความรู้สึกเอาไว้แบบมิดชิดและบิดเบือนความจริงที่มี กระทั่งได้เปิดเผยออกมาทุกอย่างมันก็กระจ่างชัดเจนและทำให้เขากล้าแสดงออกมากขึ้นร่างนุ่มนิ่มแดงซ่านขึ้นมาราวกับว่ามีสีละเลงบนกาย ชุดนอนผ้าซาตินบนกายสาวหลุดออกอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของชายหนุ่ม เรือนร่างขาวเนียนยามแสงไฟตกกระทบลงสู่ผิวขาวก็ปลุกตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดีที่เขาเคยบอกว่าร่างกายของเฌอเอมไร้ราคา ตอนนี้มันกลายเป็นของห่วงและของมีค่าที่ประเมินราคาไม่ได้สำหรับเขา...ริมฝีปากหยาบประกบลงที่ต้นขาขาว ลากไซ้ไปมาแล้วยังพ่นลมหายใจรดริน ทำเฌอเอมขนลุกขนซันราวกับว่าที่ตรงนี้มีอุณหภูมิติดลบทั้งที่เปิดแอร์ในอุณหภูมิปกติ“อ่ะพี่วีร์...”เฌอเอมหลุดร้องทั้งสะดุ้ง ปวีร์งับเข้าที่ง่ามขาเพียงเบาๆ แต่ว่าแลบลิ้นเลียบริเวณนั้นก่อนจะปาดมายังช่องทางรักที่อยู่ใกล้แค่คืบ จับเรียวขาขาวให้แยกกว้างออกจากกัน มองรอยหยักที่ปิดไม่เสมอเพราะมันถูกความใหญ่โตของปวีร์มุดเข้าไปสำรวจด้านในมาแล้วครั้ง ชายหนุ่มมุดหน้าลงอย่างตั้งใจ ดูดดึงเนื้อสีอ่อนราวกับว่าเป็นหอยขม มอบค
“เอมเคยโกรธพี่ ที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ยัดเยียดให้เอมกับแม่เป็นผู้ร้ายมาตลอด”“...”เขาตั้งใจฟังอย่างมาก รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ ขณะที่คนอายุน้อยก็หายใจแรงเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ“แม่เคยสอนไว้ว่า การให้ที่ดีคือการให้อภัย – ถ้าเอมให้แล้ว พี่สัญญาได้ไหมจะไม่ทำให้เอมเสียใจอีก”“...”“เอมให้โอกาสพี่วีร์นะ”“เอม!!”ปวีร์ที่ได้ยินใจเต้นรัวมากกว่าเดิม แต่มันเป็นความดีใจ เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู เฌอเอมให้โอกาสเขาแล้ว รีบจับร่างระหงหันหน้าเข้ามาหา ยกมือเกลี่ยข้างแก้มเนียนละเอียดแผ่วเบา พลันมองเห็นใบหน้าละมุนมีรอยยิ้มขึ้นมามันทำให้หัวใจของเขาพองโต ความพยายามง้อให้เธอกลับมาหากนับก็เวลาเป็นเดือนๆ อาจยังน้อยกับการกระทำป่าเถื่อนที่เขาเคยทำ แต่ถือว่านานมากสำหรับเขากับการใจแข็งของเธอ แต่ตอนนี้มันอ่อนลงแล้ว เฌอเอมให้โอกาสอย่างที่เขาขอ“พี่รักเอม”มือหนายังประคองข้างแก้ม เขาโฉบหน้าต่ำลง ป้อนเรียวปากให้คนอายุน้อยอย่างละมุน ปวีร์ค่อยๆ เล็มงับไปทีละน้อย แตกต่างจากที่เคยเอาแต่บดเบียดแรงๆ เพื่อความสะใจ มันอ่อนโยนขึ้นจนหญิงสาวหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง“พี่วีร์หยุด...”“พี่คิดถึง พี่โหยหาแต่เอม”ยิ่งเขาพูดออกม
“วันนี้กลับบ้านเลย ไม่มีอะไรน่าหวงแล้ว”“ขอบใจนะหมอ”ปุริมที่เอ่ยขอบคุณเมื่อคุณหมอที่รู้จักดูแลลูกชายอย่างดีตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้“ค่ารักษาใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ ไม่ต้องสำรองจ่ายอะไร – กลับบ้านไปก็ดูแลตัวเองดีๆ นะวีร์”“ครับอาหมอ”อาการป่วยของปวีร์ในตอนนี้ ตัวไม่ร้อนและไม่มีอะไรน่าห่วง เมื่อดีขึ้นตามลำดับคุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ข้าวของบางอย่างมีเฌอเอมช่วยเก็บและขนลงไปไว้ในรถให้ก่อน ภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงพ่อลูกที่อยู่กันลำพัง ปวีร์สวมชุดลำลองตัวโปรดของตัวเอง และนั่งรอเฌอเอมขึ้นกลับมาประคองเดินลงไปด้วยกัน“กลับบ้านนะวีร์”“กลับคอนโดครับ”“...”ได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ลูกชายไม่มีคอนโดส่วนตัวแล้วจะไปอยู่กับใคร“คอนโดของเอม – ผมอยากไปอยู่กับน้อง”“จะไม่กวนใจน้องเหรอวีร์”เพราะความสัมพันธ์ของเด็กสองคนมันยังไม่ดีขึ้นและยังคลุมเครือ ปุริมเกรงว่าลูกชายจะไปสร้างความรำคาญให้คนอายุน้อย ครั้นเฌอเอมยังมีธุระเรื่องของงานที่เธออาจจะต้องทำเป็นจริงเป็นจังในเร็วนี้ แต่กระนั้นปวีร์ยังยืนยันที่จะติดสอยห้อยตามไปพักฟื้นตัวเองต่อที่คอนโดของหญิงสาว และเหตุผลหลักเขาอยากอยู่ที่นั่นเพื่อง้อและปรับคว
Comments