สายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับนำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า—กลิ่นอายของอดีตที่หวนคืนมาในทุกลมหายใจ
ชายหนุ่มพลิกสมุดภาพในมืออย่างแผ่วเบา ทุกหน้ากระดาษเหมือนพาเขาดำดิ่งลึกลงไปในความทรงจำ ภาพเลือนรางที่เคยจางหายกลับชัดเจนขึ้น เสียงหัวเราะในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมาในใจ คำสัญญาที่หลงลืมกลับมาก่อตัวอีกครั้ง ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “เกิดอะไรขึ้น...” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายลมรอบๆ ต้นไม้เริ่มพัดไหวเบาๆ ราวกับกำลังแหวกม่านบางๆ เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่อีกฟากของเวลา
และแล้ว...ภาพในสมุดภาพก็เหมือนจะก้าวข้ามหน้ากระดาษ
เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เด็กชายในชุดเรียบง่ายปรากฏตัวพร้อมเด็กสาวสองคน พวกเขาหัวเราะสดใสราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของผู้ชมจากอนาคต ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนมองผ่านหน้าต่างแห่งเวลา
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างตกตะลึง “นี่มัน...” เธออ้าปากค้าง แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังมาจากภาพลวงตา
ในภาพ เด็กชายในวัยเยาว์วิ่งเล่นรอบต้นไม้ใหญ่กับเด็กสาวสองคน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยประกายสดใส ขณะที่เสียงหัวเราะของพวกเขาก้องอยู่ใต้ท้องฟ้าอันอบอุ่น
เด็กสาวผมสีเงินกอดสมุดวาดภาพแน่น มือเล็กๆ ของเธอค่อยๆ เปิดมันออก ขณะที่เด็กสาวผมสีทองนั่งลงพร้อมกล่องดินสอสี “มาวาดรูปกัน!” เด็กสาวผมสีเงินเอ่ยอย่างตื่นเต้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเบิกบาน
ชายหนุ่มเฝ้ามองภาพในอดีตด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ทั้งอ่อนหวานและเจ็บปวด ขณะที่หญิงสาวข้างกายเหลือบมองเขาด้วยความสงสัย “ภาพเหล่านี้...” เธอเริ่มพูดแต่หยุดไว้แค่นั้น เพราะภาพในสมุดภาพเริ่มมีชีวิตอีกครั้ง
“รู้ไหม?” เสียงของเด็กสาวผมสีเงินดังขึ้นอย่างหนักแน่น “มีตำนานเล่าว่า ถ้าเราขอพรจากต้นไม้นี้ คำขอของเราจะเป็นจริง!”
เด็กสาวผมสีทองหันมามองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย “จริงเหรอ? งั้นฉันจะขอให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องทุกคนที่อ่อนแอ!”
“ส่วนฉัน...” เด็กสาวผมสีเงินลุกขึ้นยืน ตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ “ฉันจะขอให้โลกนี้สงบสุข ไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก!”
เด็กชายในภาพยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันขอให้คำขอของพวกเธอเป็นจริง”
“ขออะไรที่เป็นของตัวเองสิ!” เด็กสาวผมสีทองหันมาแกล้งทำหน้านิ่ว แต่เสียงหัวเราะของเธอก็เผยให้เห็นว่าเธอไม่ได้จริงจังนัก
เขาหัวเราะเบาๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ “นี่แหละความปรารถนาของฉัน ต่อให้ต้นไม้ไม่ช่วย ฉันจะช่วยพวกเธอเอง”
ภาพในอดีตดำเนินต่อไปเหมือนการฉายซ้ำ เด็กๆ หัวเราะ วิ่งเล่น และช่วยกันฝังสมุดภาพไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กสาวผมสีเงินหันมามองพวกเขาด้วยสายตาจริงจัง
“เราจะกลับมาที่นี่ด้วยกันอีกใช่ไหม?”
“แน่นอน!” เด็กชายตอบเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ด้วยกัน”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มยืนนิ่ง มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามและความเข้าใจใหม่
และแล้ว ภาพเหล่านั้นก็เริ่มเลือนลาง เสียงหัวเราะค่อยๆจางหาย สายลมที่พัดผ่านเหมือนกระซิบบางอย่างในใจ เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะมีชีวิต ความทรงจำที่เลือนรางค่อยๆหวนคืน ความอบอุ่นจากเสียงหัวเราะของเด็กๆ ในภาพสะท้อนกลับมาในจิตใจ ทำให้รู้สึกว่าอดีตไม่ได้ถูกลืมเลือนไป แต่มันยังอยู่ตรงนี้ ท่ามกลางสายลมและเงาของต้นไม้ใหญ่ในปัจจุบัน มันดูหนักแน่นขึ้นในความรู้สึก ก่อนจะเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยเฝ้ามองเรื่องราวของชีวิตที่เคยอยู่ใต้ร่มเงาของมัน
ชายหนุ่มยังคงจ้องมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ความหนักอึ้งในใจถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น เขาก้มมองสมุดภาพในมือที่เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ใต้ปลายนิ้วของเขา
ทันใดนั้นเอง สายลมรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่เพียงสายลมธรรมดาอีกต่อไป แต่เหมือนเป็นแรงลมหายใจสุดท้ายของสิ่งที่เคยมีชีวิตชีวา พลังงานบางอย่างเริ่มไหลซึมออกมาจากต้นไม้และหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเขา
ลำแสงสีทองจากใบไม้ส่องผ่านร่างของชายหนุ่ม คล้ายกับพยายามหล่อหลอมบางสิ่งเข้าไปในตัวเขา เขารู้สึกถึงความร้อนอุ่นวาบที่ไม่ได้เพียงแค่สัมผัสร่างกาย แต่เหมือนมันกำลังฝังลงไปในจิตใจ ลึกเข้าไปในส่วนที่เขาเองไม่เคยเข้าถึงมาก่อน…
“นี่มัน...” เขาพึมพำเสียงเบา ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของช่วงเวลานี้ ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกาย ราวกับกระแสคลื่นที่พัดพาความอบอุ่นเข้าสู่หัวใจ พลังนี้ไม่ใช่มานาธรรมดาที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ แต่คือสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งที่มีสติปัญญา…พลังเวทย์
พลังเวทของต้นไม้กำลังหลั่งไหลเข้ามา มันไม่ได้มีแค่พลังเพียงอย่างเดียว แต่มันมีเสียงกระซิบของความทรงจำ เรื่องราวที่ถูกจารึกไว้ในวงจรชีวิตของมัน ทุกแผลเป็นบนลำต้น ทุกกิ่งก้านที่แตกหน่อ ทุกใบไม้ที่ร่วงหล่น ล้วนส่งต่อเรื่องราวที่ก้องสะท้อนอยู่ในจิตใจของเขา เป็นการเชื่อมโยง เป็นการสัมผัสถึงแก่นแท้ของชีวิตที่ดำรงอยู่ และ ต่อสู้กับกาลเวลา มันคือการพบกันของอดีตและปัจจุบัน การหลอมรวมของชีวิตที่ต่างกันให้กลายเป็นหนึ่งเดียว…
หญิงสาวข้างกายมองเขาด้วยความตกตะลึง “การหลอมรวมของพลังเวทย์!?...เป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังเป็นพยานในสิ่งที่ยากจะบรรยาย เธอเพียงยืนมองเขาอยู่ไม่ไกล แต่สายตาของเธอแฝงความคาดหวังบางอย่าง
ชายหนุ่มกุมสมุดภาพในมือแน่นขึ้น แต่สมุดภาพในมือเริ่มสั่นไหว เส้นร่างและสีสันที่เคยชัดเจนบนหน้ากระดาษค่อยๆเลือนหายไป ราวกับมันถูกลบออกจากความทรงจำ ขอบกระดาษกร่อนตัวเป็นเศษฝุ่นที่ปลิวไปกับสายลม กล่องเก็บสมุดภาพที่วางอยู่ไม่ไกลก็เริ่มแตกสลาย เศษซากเล็กๆ ร่วงหล่นสู่พื้นก่อนจะกลายเป็นละอองแสง
เขายืนมองสิ่งเหล่านั้นอย่างเงียบงัน จนในที่สุด สิ่งที่เคยอยู่ในมือของเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย
“ความทรงจำเหล่านี้...” เขากระซิบเบาๆ ขณะความอบอุ่นจากพลังเวทแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับกระแสชีวิตที่ต้นไม้เก็บรักษามานับพันปีถูกถ่ายทอดมายังเขา ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกคำสัญญา ทุกความรู้สึกที่มันเคยเป็นพยานค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ คล้ายกับคลื่นทะเลที่ไม่มีวันสงบลง และในชั่วขณะนั้น เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้นไม้พยายามบอกเล่า มันได้หยุดเวลาของตัวเองไว้ยาวนานเพียงเพื่อรอคอยวันนี้—วันที่มันจะได้พบกับเขาอีกครั้งและส่งต่อสิ่งสุดท้ายของตัวเองให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหลับตาลงรับมันไว้ทั้งหมด
ต้นไม้ที่เคยสง่างามค่อยๆ เสื่อมสลาย ลำต้นที่เคยตั้งตระหง่านกลายเป็นเถ้าฝุ่น ปลิวกระจายไปทั่วอากาศ สายลมพัดเอาเศษซากเหล่านั้นไปราวกับกระซิบบางอย่างในใจของเขา
เขายังคงยืนนิ่ง มองละอองเหล่านั้นล่องลอยหายไปเรื่อยๆ เขาหลับตาลง ปล่อยให้พลังสุดท้ายของต้นไม้ซึมซับเข้าสู่จิตใจ เรื่องราวทั้งหมดของมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาของเขาเปล่งประกายแสงเรืองรองเบาบาง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบและมั่นคง “เวลาของมันถูกหยุดเอาไว้มานานมากแล้ว ตอนนี้มันก็ได้พักเสียที”
เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายลมแผ่วเบาพัดผ่านราวกับกำลังบอกลาบางสิ่งที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานแสนนาน ลำแสงสุดท้ายจากต้นไม้ใหญ่จางหายไปพร้อมกับเศษละอองแสงที่ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
"มันจบแล้ว..." เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้าของเธอยังคงแสดงความเศร้าสร้อย แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
"ไม่หรอก" เธอพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น "มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น"
เขาหันมามองเธอ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย "เธอหมายความว่าอะไร?"
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก้มหน้าลงราวกับลังเล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอกลับเปล่งประกายแสงที่แฝงไว้ด้วยความแน่วแน่
"นายไม่เข้าใจงั้นหรอ?" เธอพูดช้าๆ ราวกับต้องการให้ทุกคำสลักลึกลงไปในใจของเขา
"สิ่งที่ฉันรอมานาน...หวังว่ามันจะกลับมาอีกครั้ง และในที่สุด ฉันก็ได้เจอกับความหวังนั้นเสียที"
"สิ่งที่เธอรอ?" เขาถามกลับ เสียงของเขาแฝงความกังวล "จอมปราชญ์ไรอัส...อย่างนั้นหรือ?"
ชื่อที่เขาเอ่ยทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ
"ใช่ ไรอัส..." เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เขา "นายคือภาชนะที่เหมาะสมที่สุด เป็นคนเดียวที่สามารถรับหัวใจของเขาได้โดยไม่ถูกมันทำลาย และที่สำคัญ………สามารถจะกลายเป็นเขาได้"
เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างในอากาศ ความนิ่งสงบของสายลมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดที่ไม่อาจอธิบาย
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาของเธอฉายแววโศกเศร้าแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
"ฉันพยายามแล้ว...พยายามที่จะตัดใจจากเขาโดยตลอด" เธอก้าวเข้าไปใกล้อีก จนกระทั่งระยะห่างระหว่างพวกเขาแทบไม่มีเหลือ "ฉันไม่อยากทำแบบนี้ แต่ความจริงก็คือ...การที่นายสามารถจะกลายเป็นเขาได้ มันทำให้ฉันได้เห็นถึงความหวัง"
ลมที่เคยนิ่งสงบเริ่มหมุนวนเป็นพายุขนาดเล็ก เงาของเธอทอดยาวออกไปบนพื้นราวกับบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติกำลังปลดปล่อยตัวเอง
ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือไปคว้าปืนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสมัน พลังที่มองไม่เห็นกลับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาถูกตรึงแน่นในอากาศ ราวกับเชือกที่มองไม่เห็นพันธนาการทุกส่วนไว้ ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว ปากของเขาถูกปิดด้วยพลังบางอย่างที่กดทับแน่นจนไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้
"………..!" เขาพยายามเปล่งเสียง ดวงตาฉายแววกร้าว แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงกระซิบเล็ดลอดออกไป หญิงสาวยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการต่อต้านของเขา เธอหลับตาลง สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลและเจ็บปวด ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายในจิตใจ
"ขอโทษ..." เสียงกระซิบของเธอแผ่วเบา แทบจมหายไปกับสายลม ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่ง มือข้างหนึ่งกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ความตั้งใจบางอย่างฉายชัดในแววตาของเธอ ขณะที่พลังที่ตรึงเขาไว้ยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก...
"นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือก" เธอเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ในคำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำหนักของการตัดสินใจ
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่