ศาลาหินกลางสวนที่ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้เขียวขจีให้ความรู้สึกสงบ ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ เสียงลมพัดแผ่วเบา แทรกซึมผ่านบรรยากาศที่เงียบงัน
เขาหยุดพูดไปชั่วครู่หลังจากเอ่ยปากว่าจะเล่าเรื่อง ดวงตาสีเทาหม่นทอดต่ำ ราวกับกำลังพยายามจับเศษเสี้ยวของความทรงจำที่กระจัดกระจาย
“จริงๆ แล้ว… ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นเจืออารมณ์บางอย่างที่ซ่อนลึก
“ที่นี่… มันให้ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าฉันเคยมาที่นี่ แต่กลับจำอะไรไม่ได้”
หญิงสาวมองด้วยความสนใจ ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายอยากรู้อยากเห็น
“แล้วอะไรที่ทำให้นายมั่นใจว่าเคยมาที่นี่?”
ไม่มีคำตอบในทันที สายตาเลื่อนลอยกวาดมองรอบๆ ก่อนจะหยุดที่เสาไม้ด้านหนึ่ง มือยื่นออกไปแตะรอยขีดสามเส้นเล็กๆ ที่ดูเหมือนเกิดจากการแกะสลัก นิ้วลูบเบาๆบนพื้นผิวหยาบกร้าน สีหน้าฉายแววบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
“นี่คือ...” เขาพึมพำ
อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองรอยขีดด้วยความสงสัย
“นี่อะไร?”
“ที่ๆเราเคยใช้วัดส่วนสูงด้วยกัน ตอนนั้นเรามีกันสามคน…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ร่องรอยความทรงจำเลือนลางเหมือนจะกลับมาชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสรอยขีดนั้น
“ใครคือ ‘เรา’?” อีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้
เขาเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาสีเทามองเลื่อนลอยออกไปไกล ราวกับพยายามค้นหาภาพที่หล่นหาย
“จำได้ลางๆว่าตอนเด็ก ฉันเคยมาที่นี่กับพวกเขา… เพื่อนผู้หญิงสองคนที่สนิทกัน แต่ฉันกลับจำใบหน้าของอีกคนหนึ่งไม่ได้”
อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสงบ เสียงลมพัดแผ่วพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา ศาลาหินสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้เขียวขจี เสาต้นที่มีรอยขีดเล็กๆ ดูเป็นหลักฐานของความทรงจำในอดีตที่ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้
เธอมองเขาด้วยความตั้งใจ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม
“พวกเธอสำคัญกับนายรึเปล่า?”
เขาถอนหายใจเฮือกเบาๆ เงยหน้ามองเพดานศาลา ขณะเอ่ยเสียงแผ่วที่เจือความสับสน
“ไม่รู้สิ… ฉันจำไม่ได้ แค่รู้สึกว่ามันมีบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา… เกี่ยวกับที่นี่”
นิ้วยังคงไล้ไปตามรอยขีดบนพื้นผิว ราวกับหวังจับต้องความทรงจำที่หล่นหาย
“ฉันเคยพยายามตามหาที่นี่ แต่สิ่งที่เจอ กลับเป็นเพียงย่านสลัมที่ไม่มีอะไรเหมือนกับในความทรงจำ มันเลยทำให้ฉันสงสัยว่า...บางทีความทรงจำที่มีอาจไม่ใช่เรื่องจริง หรือไม่ก็...”
คำพูดหยุดลง ความเงียบครอบงำ ขณะลมพัดผ่านเบาๆ เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เจือความไม่แน่ใจ
“...หรือไม่ก็ ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ฉันเคยอยู่”
หญิงสาวมองด้วยความสงสัย ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่พูดแทรก สายตาจับจ้อง ราวกับต้องการให้ทุกคำพูดถูกปลดปล่อยออกมา
“แล้วนายทำยังไงกับความทรงจำพวกนั้น?”
เขาถอนหายใจยาว ราวกับกำลังปลดปล่อยน้ำหนักบางอย่างในใจ
“ฉันพยายามเลิกสนใจมัน” เสียงเรียบนิ่งแฝงความเหนื่อยล้า “ฉันใช้ชีวิตไปตามปกติ พยายามบอกตัวเองว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ภาพหลอน… เป็นแค่อาการป่วย หากปล่อยไว้มันก็หายไปเอง”
สายตามองออกไปยังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากศาลา ใบหน้าครุ่นคิด
“แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่กับฉันตลอด โดยเฉพาะตอนที่ฉันมาที่นี่…”
ดวงตาสีเทาจับจ้องไปยังจุดใต้ต้นไม้ใหญ่ ราวกับเห็นภาพบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น
“ฉันเห็นเด็กสามคนยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้ๆกับต้นไม้นั้น…” เขาชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ มือสั่นเล็กน้อย “พวกมันติดตามฉันมาตลอด และตอนนี้เหมือนจะนำทางให้ฉันไปที่นั้น”
อีกฝ่ายหันมองตาม แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ” เสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่นเอ่ยขึ้น ขณะหลับตาลง พยายามใช้พลังเวทสัมผัสถึงสิ่งที่ผิดปกติ กระแสพลังแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่พบอะไรที่เป็นข้อพิรุธ
“มานารอบต้นไม้นั้นไม่มีอะไรผิดปกติ” เธอกล่าว น้ำเสียงหนักแน่นแต่สีหน้ากลับสะท้อนถึงความลังเล
เขายังคงจ้องไปที่เดิม ร่างกายแน่นิ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ มือยกขึ้นลูบต้นคออย่างเหนื่อยล้า ดวงตาสีเทาฉายแววเหมือนคนที่แบกรับบางสิ่งมานานเกินไป
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกฉันแบบนั้นหรอก” เสียงที่เจือความขมขื่นเล็กน้อยดังขึ้น
“ฉันเคยลองเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง… แต่ก็ไม่มีใคร เชื่อ และ เห็นเหมือนสิ่งที่ฉันเห็น”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งคิด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความลังเล
“หรือบางที… อาจจะมีอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ”
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นช้าๆ กระแสพลังเวทย์แผ่ขยายออกจากร่างของเธอไปผสมครอบคลุมมานาถึงบริเวณต้นไม้ และ บริเวณโดยรอบอย่างเอ่อล้น
แต่แล้วเธอก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างสัมผัสและสิ่งที่มองเห็น เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่สมดุล เมื่อพลังของเธอแผ่ไปถึงพื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า กระแสมานาที่ควรจะตอบสนองต่อแรงกดดันของเธอกลับแสดงออกสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างประหลาด
เธอสัมผัสได้ว่ามานากำลังไหลตามแรงควบคุมของเธอ เหมือนกับน้ำที่เคลื่อนไหวตามการกวนน้ำของมือ แต่ภาพที่ปรากฏกลับนิ่งสนิท ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรแตะต้องมัน ทำให้เธอต้องหยุดพิจารณา
"แปลกมาก" เธอเอ่ยขึ้น สีหน้าของเธอฉายความสงสัยลึกซึ้ง
"นี่...มันแปลกจริงๆ ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน"
เขาเบือนสายตามาสบกับเธอ ใบหน้าเขาดูอ่อนล้า
สายตายังจับจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างละเอียด เด็กสามคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางแสงสีทองที่สาดส่องลงมาจากฟากฟ้า สร้างเวทีที่ทำให้ภาพนั้นดูเหมือนจริงจนน่าหลงใหล
เด็กชายในภาพ ดูเหมือนเขาตอนเด็ก ดวงตาสีเทาหม่นสะท้อนเจตนาบางอย่าง เขายืนอยู่ตรงกลาง มือทั้งสองข้างจับกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยไว้แน่น ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาจะไม่มีวันยอมปล่อย
ทางขวาเป็นเด็กสาวที่มีเรือนผมสีขาวเงินที่ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงสีทอง แม้ร่างกายเธอจะพร่ามัว แต่เส้นผมสีเงินนั้นกลับเด่นสะดุดตาอย่างประหลาด ทำให้สายตาของเขาไม่อาจละไปได้ ทว่าทุกครั้งที่เขาพยายามเพ่งมองใบหน้าของเธอ มันกลับเลือนหาย ราวกับเธอปฏิเสธที่จะถูกจดจำ
ทางซ้ายมีเด็กหญิงอีกคนนึง เธอมีผมสีทองยาวและดวงตาสีเขียวมรกต ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสดใสและความเชื่อมั่น เหมือนกับตอนที่เขาเคยอยู่ด้วยกันดังเช่นในอดีต เธอยิ้มกว้าง มือหนึ่งจับไหล่ของเขาเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังกล่องไม้ในมือของเด็กชาย ก่อนจะหันไปพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แสงสีทองที่สาดลงมาทำให้ทุกอย่างในภาพดูราวกับเป็นฉากในฝันที่สมจริงยิ่งกว่าความเป็นจริง ความอบอุ่นและความสุขจากภาพนั้นแผ่ซ่านเข้ามาจนเขารู้สึกได้ แต่ยิ่งมอง ภาพนั้นก็ยิ่งคลุมเครือราวกับมันกำลังหลบหนีไปจากสายตา
แต่ในความเลือนลางนั้น บางสิ่งกลับผุดขึ้นมาในห้วงความคิด…
กล่องไม้
ภาพกล่องปรากฏขึ้นในความทรงจำ มันดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกว่าข้างในนั้นบรรจุสิ่งสำคัญบางอย่างเอาไว้ และเขาจำได้ชัดเจนว่า…
พวกเขาเคยฝังกล่องใบนั้นไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
เขาเบิกตากว้างเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกแปลกประหลาดที่หลั่งไหลมาทำให้เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวข้างกาย
"ฉัน…ขอไปดูอะไรหน่อย" น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
เธอมองเขาด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ซักถามอะไร เพียงพยักหน้ารับ และ ก้าวตามไปอย่างเงียบๆ
เขาเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ แต่ละก้าวของเขาหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีเทาหม่นจับจ้องไปยังพื้นดินเบื้องหน้า ราวกับถูกชักนำด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
เมื่อเขาเดินเข้าใกล้ ภาพหลอนของเด็กทั้งสามค่อยๆจางลงอย่างช้าๆราวกับหมอกที่ถูกลมพัดพาไป จนกระทั่งมันเลือนหายไปในที่สุด อากาศเย็นวูบสัมผัสผิว เสียงรอบตัวเงียบงัน ราวกับเวลาได้หยุดนิ่ง
เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลง มือสั่นเล็กน้อยขณะที่เริ่มใช้ปลายนิ้วเขี่ยใบไม้แห้งและดินออกจากพื้นบริเวณนั้น
เธอยืนเฝ้ามองเขาเงียบๆ "นายกำลังหาอะไร?" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เขาไม่เงยหน้าขึ้น แต่ตอบเบาๆขณะมือยังคงขุดต่อไป "บางอย่างที่ฉันเคยซ่อนไว้…เมื่อนานมาแล้ว"
เมื่อเขาค่อยๆขุดพื้นดินเบื้องหน้า เสียงปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่แข็งและเย็น เขาดึงมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กล่องไม้ใบเล็กปรากฏขึ้นจากชั้นดินที่ปกคลุมมันมานาน
"นี่น่ะหรอ คือสิ่งที่อยากจะบอก?" เขาพึมพำเบาๆขณะจ้องมองกล่องไม้ธรรมดาในมือ สีหน้าเขาฉายแววสับสนราวกับไม่เชื่อว่านี่คือสิ่งที่ภาพหลอนพยายามชี้นำให้เขาเห็น
มันเป็นกล่องไม้ธรรมดา ไม่มีลวดลาย ไม่มีสีสันโดดเด่น เป็นเพียงไม้เก่าที่ขอบเริ่มผุกร่อนตามกาลเวลา ความทรงจำเกี่ยวกับมัน เคยถูกเขาเพิกเฉยไปนาน ราวกับมันไม่เคยมีอยู่เลย—จนกระทั่งเมื่อครู่นี้
เขาค่อยๆ ลูบมันเบา ดวงตาของเขาฉายแววซับ หญิงสาวมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ
“ในนั้นมีอะไร…?” ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธอ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“...ความทรงจำของฉัน”
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่