ขณะที่ชายหนุ่มก้าวไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ที่ทำงานอย่างคุ้นเคย ภาพของพวกทาสในรถม้าคันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ใบหน้าอ่อนล้าของพวกเขาสะท้อนความหมดหวังอย่างเงียบงัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่เขาได้เห็น มันกลับฝังลึกในความคิด
หากย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน รถม้าแบบนี้คงไม่มีทางเข้ามาถึงเมืองได้อย่างแน่นอน พวกเราสองคน เคยร่วมกันตระเวณทำลายเครือข่ายค้าทาสในทวีปจนราบคาบ ทำให้ชื่อเสียง และ ตัวตนของ "จอมเชือด" เป็นที่หวาดกลัว และ โจษจัน จนพวกมันไม่แม้แต่จะกล้าเอาเรือเฉียดเข้ามาในทวีปด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป นับตั้งแต่ตอนที่เธอหายตัวไป
พลังที่เขาใช้สร้างชื่อเสียง และ ความหวาดกลัวนั้นไม่ใช่ของเขาเอง แต่มาจากตัวตนที่เขาเคยใช้พลังกลืนกินเมื่อเกือบสิบปีก่อน ในตอนที่ยังอยู่ในตระกูล แม้เหตุการณ์จะผ่านมานาน แต่จิตวิญญาณของมัน ก็ยังคงติดอยู่ในตัวเขา และทุกครั้งที่เขาใช้พลังนั้น มันก็จะทิ้งร่องรอย และ ความเสียหายไว้ในจิตใจเสมอ
เมื่อก่อนเธอเป็นเหมือนกำลังใจสำคัญ ทุกครั้งที่เขาเริ่มถูกครอบงำ เธอจะดึงเขากลับมา แต่เมื่อไม่มีเธอ ทุกอย่างก็เหมือนจะพังทลาย พลังนั้นเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน มันกลับต่อต้านเขามากขึ้น ทุกครั้งที่เรียกใช้ตัวตนของมัน เขาจะต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากจิตวิญญาณและความทรงจำของเจ้าของพลังดั้งเดิม
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเลือกที่จะลดการใช้พลังให้น้อยที่สุด ชื่อเสียงของ “จอมเชือด” เริ่มเลือนหายไป พ่อค้าทาสที่เคยหวาดกลัวจึงกลับมามีอำนาจอีกครั้ง พวกมันเริ่มส่งทาสผ่านเมืองนี้ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น แต่เขายังมีวิธีที่จะล้มล้างพวกมันได้ วิธีที่สามารถพลิกโครงสร้างและเปลี่ยนอำนาจของเมืองนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แต่วิธีนั้นต้องแลกมาด้วยการสูญเสียฐานะและชื่อเสียง รวมถึงสิ่งที่เขาแบกรับและฟันฝ่ามาตลอดทั้งหมด
เมืองนี้ถูกค้ำจุนโดยสามตระกูลผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งแต่ละตระกูลต่างมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อสมดุลของอำนาจในเมือง
ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้ปกครองเมืองอันดับหนึ่ง บทบาทของพวกเขาคือการค้ำจุนความสงบ และ ยึดถือความยุติธรรม แต่ปัญหาที่สะสมมานาน รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้ตอนนี้ตำแหน่งของพวกจึงเริ่มสั่นคลอน ทำให้อำนาจที่มีจึงลดลงมาพอๆกับอีกสองตระกูลที่เหลือ
ตระกูลดราโกร์น ตระกูลแห่งเปลวเพลิง ผู้สืบทอดเชื้อสายมังกรโบราณ บุคคลในตระกูลนี้โดดเด่นด้วยผมสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ พลังไฟของพวกเขาไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อการต่อสู้ แต่ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งและอำนาจ แม้จะไม่ได้เป็นผู้นำ แต่พวกเขาก็ถืออำนาจในการสั่งการที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามได้
ตระกูลแบล็คการ์ด ตระกูลที่ถือครองอำนาจทางทหารส่วนใหญ่ มีหน้าที่ปกป้องเมืองและรักษาความสงบ แม้ว่าความเข้มงวดของพวกเขาจะช่วยป้องกันภัยคุกคาม แต่ก็ทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนถูกควบคุมมากกว่าปกป้อง
การที่เขาจะเข้าแทรกแซงสมดุลของสามตระกูลนี้ อาจนำไปสู่ความวุ่นวายที่ไม่อาจควบคุมได้ และแม้วิธีนี้จะจัดการพวกมันได้อย่างเด็ดขาด เขากลับเลือกที่จะไม่ทำ ไม่ใช่เพราะกลัวการสูญเสีย แต่เพราะไม่อยากให้เธอผิดหวัง หากวันหนึ่งเธอกลับมาและพบว่าเขาเลือกหนทางนี้ เธออาจไม่ให้อภัยเขา และความเกลียดชังจากเธอคือสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้
ขณะเขาเดินทอดน่องอยู่บนถนนด้วยจิตใจที่หนักอึ้งกับความลังเลของตัวเอง ท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามเช้า ความคิดที่ถาโถมอยู่ในหัวกลับถูกขัดจังหวะเมื่อสายตาของเขาพลันสะดุดกับเงาร่างของใครบางคน
หญิงสาวในชุดเกราะสีเงินบริสุทธิ์ที่โดดเด่น ท่ามกลางฉากหลังของเมืองที่กำลังตื่น เธอยืนอยู่โดยไม่ได้สวมหมวกอัศวิน ทำให้เปิดเผยใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และมั่นคง ผมสีทองอ่อนของเธอเรียบลื่นพาดลงไปถึงกลางหลัง ทอประกายเมื่อต้องแสงแดดอ่อนยามเช้า ตัดกับชุดเกราะเรียบง่ายแต่แฝงความสง่างามและทรงพลัง
ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอจับจ้องมาที่เขา ฉายแววลังเล และ ความเปราะบาง ราวกับต้องการเอ่ยบางสิ่งแต่กลับไม่อาจพูดออกมาได้ ความมุ่งมั่นที่สะท้อนออกมานั้นขัดแย้งกับความสับสนลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในแววตา
ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการตอบรับหรือแปลกใจใดๆ เพียงมองเธอกลับอย่างเรียบเฉย ราวกับปกปิดทุกสิ่งที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในใจ เงียบงันเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์จากระยะไกล ไม่ได้แสดงความแปลกใจหรือความอ่อนแอใดๆ ราวกับพยายามปิดกั้นตัวเองจากความนัยที่เธออาจพยายามส่งมา
หญิงสาวสบตาเขาเพียงครู่เดียว ก่อนจะเบือนหน้าหนี ท่าทางของเธอดูสง่างามและมั่นคง แม้เงาในแววตาจะบ่งบอกถึงความเจ็บปวด และ ความต้องการบางอย่าง แต่เธอก็เลือกจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน แทรกตัวหายไปในฝูงชนที่เคลื่อนไหววุ่นวาย ทิ้งไว้เพียงเสี้ยวความทรงจำในหัวของเขา—ภาพเรือนผมสีทองที่เปล่งประกายในแสงแดด และดวงตาสีเขียวมรกตที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจลบเลือน
ในอดีตที่เขาจำไม่ได้นั้น เธอเป็นลูกสาวของตระกูลวัลธอเรน ขณะที่เขาเป็นเพียงเด็กที่ถูกนำมาดูแลภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูล เพราะความสามารถด้านดาบ และ เวทมนตร์ ทำให้ถูกเลือกให้เป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอ ทั้งคู่เติบโตด้วยกัน และมิตรภาพระหว่างพวกเราก็พัฒนาจนกลายเป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้นยากที่ใครจะตัดขาดลง
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล เขารอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมบางอย่าง แต่มันก็ทำให้เขาเหมือนกลายเป็นคนล่ะคน ความทรงจำของเขา พึ่งจะเริ่มต้นตอนนี้ เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร วิชาดาบ หรือ อะไรก็ตามที่ตัวเขาคนก่อนมี แต่เขากลับไม่มี แม้กระทั่งพลังเวทย์ที่ควรจะมีก็หายไป ราวกับว่าพลังและความทรงจำเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง
การสูญเสียในครั้งนั้นจึงเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย เมื่อเขากลับมาที่ตระกูล เขาก็ได้รับสายตาดูถูกจากผู้คนรอบข้าง สมาชิกในตระกูลมองเขาด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าเขาเป็นเพียงภาระที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของพวกเขา เขาคือผู้ที่สูญสิ้น และ ไม่มีคุณสมบัติที่จะดำรงอยู่ในตระกูลอีกต่อไป แต่เขาก็อดทน และ ฝึกฝนตัวเอง เพื่อหวังว่าจะได้รับการยอมรับในสักวัน
วันเวลาผ่านไป 4 ผ่านปี ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น—เหตุการณ์ที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย มันทำให้ตระกูลตัดสินใจขับไล่เขาออกมาอย่างไร้เยื่อใย การตัดสินใจครั้งนั้นเหมือนตราประณามสุดท้าย จากผู้คนที่เขาเคยเรียกว่าครอบครัว
เขาถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกไม่ดีเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ จนทำให้เขาลืมเรื่องที่คิดไปก่อนหน้า ชายหนุ่มรีบปรับอารมณ์ และ ท่าทีให้สงบยิ่งขึ้น ก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังที่ทำงานที่อยู่ไม่ไกลนัก
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่