ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องทำงานในแผนกสืบสวน แสงอ่อนจากหน้าต่างสูงเพียงจุดเดียวพาดลงบนพื้นไม้เย็น เงาทอดยาวไปบนความว่างเปล่ารอบตัว เขากวาดสายตามองรอบห้อง—โต๊ะเก้าอี้จัดเรียงอย่างเรียบร้อยแต่ไร้ชีวิต ราวกับมีเขาคนเดียวที่มาที่นี้
สายตาเหล่มองนาฬิกาบนฝาผนัง ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เรียกมาตั้งแต่เช้า แต่ไม่เห็นโผล่หัวออกมาสักตัว อะไรกันว่ะเนี่ย?” เสียงสะท้อนกลับมากระทบห้องว่างเปล่า
มือเอื้อมหยิบลูกบอลแสงสีทองจากกระเป๋าหนัง มันเปล่งแสงสลัวคล้ายจันทร์คืนมืด ก่อนจะถูกวางลงบนแท่นเล็กที่โต๊ะ สัญญาณแสงสีฟ้ากะพริบขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะบอกว่าการรายงานตัวเสร็จสมบูรณ์ แต่ความเงียบยังคงปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินไปตามทางเดินเล็กมุมห้องที่นำไปสู่ห้องทำงานส่วนตัว ห้องนั้นเล็ก และ อับแต่สงบ โต๊ะไม้เก่าเต็มไปด้วยฝุ่นและกองเอกสารที่วางกองกันอยู่ มุมหนึ่งยังมีปากกาดินสอที่เริ่มกร่อนตามกาลเวลา บ่งบอกถึงการถูกทิ้งร้าง
เขาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แขนกอดอกแน่น สายตาจ้องเอกสารบนโต๊ะที่ดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ ภายในรายงานคือข้อมูลการหายตัวไปของจอมเวทย์หนุ่มสาวจากตระกูลขุนนาง ทุกคนถูกพบในภายหลัง 1-2 สัปดาห์ หลังจากที่หายตัวไป โดยพวกเขาทั้งหมดจะไร้ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เกิดขึ้น ราวกับถูกลบออกจากความคิด
หลังอ่านคร่าวๆ คิ้วเริ่มขมวด เขาไล่สายตาผ่านข้อมูลที่เหมือนจะบอกบางอย่าง แต่กลับเว้นจุดสำคัญไว้เหมือนมีเจตนาแอบแผง กระดาษแผ่นถัดไปไม่มีคำใดจารึกไว้ ราวกับมันกำลังรอให้ใครมาเขียนคำตอบเอง
“จริงจังใช่ไหมเนี่ย?…ให้มาแค่เนี่ย?” เสียงพึมพำหลุดออกมา สายตาจ้องชื่อเหยื่อพลางครุ่นคิด ทำไมเป้าหมายมักเป็นลูกหลานขุนนาง? นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
มือเขาค่อยๆ ไล่ดูเอกสารทีละหน้า ทุกหน้ามีเพียงข้อความลึกลับ รายชื่อ และข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ เขาจดบันทึกลงสมุดเล็ก เพิ่มสัญลักษณ์เตือนใจให้กลับมาตรวจสอบ
“อย่างน้อยก็ต้องหาวิธีที่ทำให้พวกเขาหายไปได้ยังไงก่อน” เขาพึมพำเสียงเบา ขณะจ้องเอกสารในมือพลางไล่อ่านซ้ำอีกครั้ง
แต่ในจังหวะที่สายตาเลื่อนผ่านตัวอักษร ความรู้สึกแปลกประหลาดก็พลันเกิดขึ้น มุมหนึ่งที่กระดาษบดบัง เขาเห็นเงาจางๆ ของเด็กสามคนกำลังยืนมองอยู่ ร่างเหล่านั้นดูสลัวและสว่างไสวในคราวเดียวกัน ราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง
เขาเคยเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ปรากฏการณ์ภาพหลอนของความทรงจำ เงาเหล่านี้เป็นผลพวงจากมานาแปลกปลอมที่ติดตามเขามาตั้งแต่วันที่ฟื้นคืนสติ เงาเหล่านั้นพูดไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ แต่เหมือนว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวตามเจตจำนงของเขาเอง และบ่อยครั้งพวกมันก็ช่วยนำทางหรือชี้เบาะแสในคดีต่างๆ
เขามองพวกมันเงียบๆ ร่างแรกเป็นเด็กชายในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขายาว เหมือนเขาในวัยเด็ก ข้างๆกันคือเงาของเด็กหญิงสองคน ร่างหนึ่งดูเหมือนเอเลน่าในวัยเด็ก แต่ชุดเดรสสีขาวเรียบง่ายที่เธอสวมกลับแตกต่างจากเครื่องแต่งกายหรูหราที่เคยเห็นในอดีต
ส่วนเงาสุดท้ายเป็นเด็กสาวผมสีขาวยาว ในเดรสลูกไม้สีดำ แม้ใบหน้าของเธอจะพร่ามัวจนจับไม่ได้ แต่เธอกลับดูคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเป็นความทรงจำที่หลบซ่อนในมุมมืดของจิตใจ ร่างนั้นเลือนรางเหมือนภาพที่ไม่สมบูรณ์กว่าทั้งสองเงา
โดยปกติ เขามักจะเห็นเพียงร่างของตัวเองในวัยเด็ก และ ของเพื่อนสมัยเด็กเท่านั้น เงาของเด็กสาวปริศนานั้นนานๆ ทีจะปรากฏ บางครั้งก็หายไปนานเป็นปีจนเขาแทบลืม แต่ในยามที่เธอปรากฏตัว มักจะเกิดเรื่องแปลกๆที่อธิบายไม่ได้อยู่เสมอ
ในตอนที่เขาตั้งใจจะอ่านเอกสารต่อ เงาของเด็กสาวในเดรสลูกไม้สีดำดูเหมือนจะขยับเล็กน้อยจากมุมสายตา เมื่อเขาหันไปมอง เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้า แต่เขาสัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆ นั้นกำลังแอบยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก รอยยิ้มบางเบานั้นราวกับส่งผ่านความลึกลับบางอย่างที่ยังรอการไขคำตอบ
ชายหนุ่มมองมันเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะเมินเฉย ล่ะสายตาไปจากมัน หลังจากไล่อ่านเอกสารต่อสักพัก เสียงของคนข้างนอกเริ่มดังขึ้น ดูเหมือนมีคนทยอยกันเข้างานมาแล้ว
เขาเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ เสียงเข็มวินาทีดังก้องในห้องเงียบสงัด เข็มชี้บอกเวลา 9 โมงเช้าพอดี อีกหนึ่งชั่วโมงกว่าคนอื่นจะมา แต่สำหรับเขา ดูเหมือนเวลาจะไม่มากพอเสียแล้ว ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้าไม่มีที่ว่างให้ความล่าช้า
สายตาของเขาเลื่อนมองไปยังลิ้นชักโต๊ะอย่างลังเล ก่อนจะเอื้อมมือเปิดมันออก ด้านในมีนาฬิกาพกสีเงินวางเรียงอยู่ห้าเรือน ถูกบรรจุในซองใสอย่างประณีต แสงสะท้อนจากนาฬิกาเหล่านั้นคล้ายจะสะท้อนความทรงจำในอดีต
มันคือของขวัญที่เขาตั้งใจจะมอบให้เด็กฝึกงานทั้งห้าคนที่เขาดูแลอยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลใครสักคน และสองปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนความรู้สึกของเขาอย่างสิ้นเชิง
เขายังจำได้ถึงวันแรกที่พวกเราพบกันได้อย่างชัดเจน เด็กฝึกงานมองเขาด้วยความลังเล แฝงไปด้วยความไม่เชื่อใจ แต่ในวันที่พวกเขาส่งยิ้มกว้างเมื่อแก้ไขคดีสำเร็จด้วยตัวเอง ความมุ่งมั่นในแววตาของพวกเขาเหมือนสะท้อนถึงตัวเขาในอดีต พวกเขาจึงกลายเป็นเหมือนเพื่อนที่ชายหนุ่มสามารถไว้ใจ และ ฝากฝังงานบางอย่างได้ แม้ว่าเขาจะพยายามรักษาระยะห่างอยู่เสมอ เพราะความลับเกี่ยวกับพลังของเขาก็ตาม
ชายหนุ่มหยิบหนึ่งในนาฬิกาพกขึ้นมา ค่อยๆ หมุนมันในมืออย่างระมัดระวัง ด้านหลังสลักตัวอักษรเล็กๆ เป็นชื่อของอนาคตเจ้าของมันเอาไว้—เครื่องหมายแห่งความทรงจำ และ มิตรภาพตลอดสองปีที่ผ่านมา เขามองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะซ่อนมันเอาไว้ในลิ้นชัก พร้อมกับปิดมันอย่างเบามือ
“อีกสองสัปดาห์… หลังจากการฝึกงานของพวกเขาจบ ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกเดินทาง” เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง รอยยิ้มจางๆ แต่แฝงความเศร้าไล้บนใบหน้า
เขามีแผนอยู่ในใจ แผนที่จะออกเดินทางไปนอกทวีป เพื่อตามหารุ่นพี่ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาใช้เวลาหลายปีค้นหาไปทั่วทั้งทวีป แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยความว่างเปล่า
ครั้งนี้ เขาจะก้าวออกไปไกลกว่านั้น ออกจากกิลด์ ออกจากทวีป ราวกับจะละทิ้งทุกอย่างเพื่อคำตอบที่อาจไม่มีวันพบ และ ในตอนที่เขา และ เธอกลับมา…….จะเป็นวันที่พวกเราทั้งสองจะเปลี่ยนแปลงเมืองนี้อีกครั้ง
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะหันมองรอบห้อง สุดท้ายก็เดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าก้าวออกไปอย่างมั่นคง เงาเด็กทั้งสามก้าวตามหลังเขาอย่างเงียบงัน แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างทอดเงาของพวกเขาไว้เบื้องหลัง ราวกับทิ้งอดีตที่ไม่อาจลบเลือนไว้กับห้องแห่งนี้
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่