สายลมเย็นพัดผ่านศาลาหินกลางป่า หญิงสาวนั่งบนม้านั่งหิน ท่าทางสงบนิ่ง ข้างกายของเธอคือกรงนกเหล็กที่บรรจุหัวใจสีแดงสดเอาไว้ สายตาสีน้ำเงินเข้มของเธอจับจ้องผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าบรรยากาศรอบตัวกลับกดดันราวกับถูกตรวจสอบจากดวงตานับพัน
มวลมานาอันเข้มข้นปกคลุมทั่วบริเวณ พลังเวทย์ที่แฝงความกดดันจนทำให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในกระดูก
"นายเข้ามาได้ยังไง?" เธอเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาไม่ละไปจากเขา "ยังไม่ถึงเวลาทดสอบเลย...ทำไมถึงเข้ามาที่นี้ได้?"
คำพูดนั้นทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ยังคงเลือกที่จะเงียบ เธอยิ้มบางๆ ก่อนพูดต่อ
"ถ้านายไม่อยากตอบ ฉันจะไม่บังคับ" เธอเอนตัวพิงพนักม้านั่ง "ดูเหมือนนายจะสงสัยว่าที่นี้คืออะไร….เห็นแก่ความกล้านั้นของนาย ฉันจะยอมให้ถามก่อนก็ได้"
หลังจากครุ่นคิด เขาเอ่ยคำถามขึ้น "การทดสอบที่ว่าคืออะไร?"
เธอหัวเราะเบาๆ ราวกับพบเรื่องที่น่าสนใจ "นายเข้ามาโดยที่ไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ?"
สายตาของเธอกวาดมองเขา ก่อนหยุดนิ่งอย่างครุ่นคิด "น่าสนใจ... ในตัวนายไม่มีร่องรอยพลังเวทย์หลงเหลืออยู่เลย… ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีอยู่แท้ๆ"
น้ำเสียงราบเรียบแฝงความกดดันของเธอทำให้บรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น "มานารอบตัวนาย แม้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรครอบงำ แต่กลับปฏิเสธพลังเวทย์ของฉัน ทั้งที่มานาในสถานที่แห่งนี้ ควรอยู่ในอาณัติของฉันทั้งหมด"
เธอหยุดชั่วครู่ ราวกับกำลังค้นหาคำตอบจากสิ่งที่เธอสังเกต "เจตจำนง? มันกำลังถูกบงการโดยที่นายไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นหรอ?"
เขาไม่ตอบ ความเงียบของเขากระตุ้นให้เธอยิ้มจางๆ อีกครั้ง "ไม่เป็นไร ฉันไม่คิดว่านายจะตอบอยู่แล้ว"
สายตาเธอเบนกลับไปยังกรงนกเหล็กข้างตัว "การทดสอบที่ว่าคือการหาผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับ... หัวใจของจอมปราชญ์ ไรอัส จอมเวทย์ในตำนาน"
ถ้านั่นคือ หัวใจของจอมปราชญ์ไรอัส จริงๆ มันคงเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่ล้ำค่าและทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเวทมนตร์เคยมีมา
ชื่อของไรอัส อาร์แคนเทีย จอมเวทย์สิบวงแหวนคนแรกและคนเดียว ยังคงถูกเล่าขาน แม้เวลาจะผ่านไปนับศตวรรษ
วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของเขาคือการปราบนอร์มุงดันด์ มังกรร้ายในตำนานที่กัดกินรากของอิกดราซิล ศึกครั้งนั้นทำให้ไรอัสสูญเสียแขนทั้งสอง แต่เขาได้สร้างแขนใหม่จากเขาของนอร์มุงดันด์และกิ่งของอิกดราซิล แขนข้างหนึ่งมอบพลังควบคุมมานาอย่างสมบูรณ์แบบ อีกข้างหนึ่งให้พลังแห่งการฟื้นฟูและการควบคุมเวทมตร์ในตัวของผู้อื่น
บั้นปลายชีวิตของไรอัสเต็มไปด้วยปริศนา บ้างเล่าว่าเขาสละตัวเองเพื่อผนึกสิ่งชั่วร้าย บ้างเชื่อว่าเขาหายไปในมิติที่ไร้ทางกลับ ชื่อของเขาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง ความเสียสละ และความลึกลับที่ยังไม่มีใครไขได้...
เขาเงียบชั่วครู่ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้านี่เป็นการทดสอบ แล้วมีผู้เข้าทดสอบคนอื่นด้วยรึเปล่า? พวกเขาอยู่ที่ไหน?"
หญิงสาวยิ้มบาง ดวงตาสีเงินเปล่งประกายคล้ายสนุกกับคำถาม
"แน่นอน พวกเขาอยู่ที่นี้" พูดเสร็จ เธอก็ยื่นมือออกไปโดยไม่เอ่ยคำใด
ทันใดนั้น เสียงครืนดังขึ้นจากด้านหลังชายหนุ่ม บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกขึ้นทันที เขาหันกลับไปตามเสียง ภาพที่เห็นทำให้เขาชะงัก ลมหายใจสะดุด
เบื้องหน้าของเขา มีแท่งคริสตัลขนาดใหญ่ห้าแท่งตั้งเรียงรายกลางสวน แสงที่ลอดผ่านใบไม้กระทบผิวคริสตัล สะท้อนเงาพริ้วไหว ทว่าภายในกลับเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความสงบของบรรยากาศ
ในคริสตัลเต็มไปด้วยของเหลวสีเขียวหม่นเรืองแสงจางๆ ห่อหุ้มร่างคนห้าคน พวกเขาอยู่ในสภาพแตกร้าวราวกระจกที่ถูกทำลาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกด้านซ้าย
แต่รอยแตกร้าวพวกนั้นกำลังค่อยๆถูกซ่อมแซม และ สมานกันอย่างช้าๆ ด้วยของเหลวที่ซึมเข้าสู่ร่าง
หญิงสาวมองไปที่คริสตัล เอ่ยเสียงเรียบ "พวกเขาคือผู้เข้ารับการทดสอบที่ล้มเหลว... และกำลังอยู่ในกระบวนการฟื้นคืนชีพ"
"ฟื้นคืนชีพ?" เขาทวนคำ พลางหันกลับไปมองเธอ
เธอเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ
“พวกเขาไม่สามารถรองรับหัวใจเข้าไปได้ จนร่างกายระเบิดออก" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้มีความรู้สึกผิดหรือกังวลแฝงอยู่เลย
"ระเบิด?" ชายหนุ่มทวนคำ รู้สึกหนาวเยือกตั้งแต่ต้นคอจนถึงปลายเท้า
"ใช่" หญิงสาวตอบ พร้อมเหลือบมองไปยังหัวใจในกรงที่อยู่ข้างตัว
"ฉันต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะคืนชีพพวกเขากลับมาในสภาพนี้ รวมถึงต้องใช้เวทย์ลบความทรงจำ ในช่วงเวลาที่ร่างกายของพวกเขาระเบิดออกด้วย"
เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ดวงตาสีเงินของเธอจับจ้องมาที่เขา ราวกับต้องการสังเกตการตอบสนอง ก่อนจะพูดต่อ
"แต่ไม่ต้องห่วง มะรืนนี้ร่างกายของพวกเขาก็จะกลับมาหายโดยสมบูรณ์ ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ"
คำพูดของเธอทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ การฟื้นคืนชีพ การลบความทรงจำ การซ่อมแซมร่างกายที่แตกร้าว...ทุกอย่างฟังดูขัดกับกฏของโลกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในเวลาเดียวกัน มันทำให้เขาเข้าใจถึงความอันตรายของหัวใจดวงนี้มากขึ้น
ชายหนุ่มหันกลับไปมองกลุ่มคนในคริสตัลอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขายังคงสงบนิ่งเหมือนกำลังหลับลึก แต่บริเวณหัวใจของพวกเขายังมีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดที่ซ่อมแซมได้ช้าที่สุด
และเมื่อเขาพยายามยืนยันตัวตนว่าบุคคลที่อยู่ข้างในเป็นใคร เขาก็พบว่าร่างในคริสตัลสามแท่งแรกนั้น เป็นเหล่าจอมเวทย์ที่หายตัวไป เมื่อราวๆสองสัปดาห์ก่อน ตามรายงานที่ได้รับมาก่อนหน้านี้
ส่วนอีกสองคนที่เหลือ แม้จะไม่มีรายงานการหายตัวไป แต่ชายหนุ่มรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี
แท่งแรกเป็นร่างของชายหนุ่มผมสีแดงเพลิง พลังไฟแผ่กระจายรุนแรงแม้จะอยู่ในสภาพหลับใหล "ไครอส ดราโกร์น" ทายาทแห่งตระกูลเปลวเพลิง
รอยแตกร้าวบนแขนขวา และ หน้าอกดูแตก และ เสียหายมากกว่าคนอื่นๆ สะท้อนถึงนิสัยที่ดุดัน รุนแรงยากจะควบคุม
ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามบังคับให้จิตวิญญาณที่อยู่ในหัวใจยอมจำนน สภาพถึงได้ดูพังทลายขนาดนี้
ตัดกลับมาที่อีกคนนึง ชายผมสีน้ำเงินเข้ม พลังรอบตัวเย็นเยียบและเงียบงัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับที่จะกักขังทุกสิ่งไว้ "ดาเมียน แบล็คการ์ด" ผู้สืบทอดเวทพันธนาการ
รอยแตกร้าวบนแขนซ้าย แตกหัก และ พังทลาย ซ่อมแซมได้ช้าที่สุด
ทว่าความเสียหายของเขานั้นต่างจากของคนอื่นๆอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพียงคนเดียว ที่พยายามควบคุมหัวใจได้ดีที่สุด เลยทำให้รอยแตกของเขาดูเสียหายน้อยที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่