เสียงบางอย่างแว่วมาแต่ไกล ราวกับคลื่นทะเลกระทบชายฝั่ง มันไม่ใช่เสียงที่คุ้นเคย แต่กลับปลอบโยนอย่างน่าประหลาด สติของเขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากความมืดมิด ดวงตาที่พร่ามัวลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า เหมือนยังติดอยู่ในห้วงฝันที่ยาวนาน
เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่สิ่งที่สัมผัสได้ คือความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ร่างที่เคยเล็กและอ่อนแอกลับมาหนักแน่น นิ้วมือที่เคยเหมือนเด็กเล็กบัดนี้เรียวยาวและหยาบกร้าน รอยแผลที่คุ้นเคยปรากฏบนผิวอย่างชัดเจน มันเป็นหลักฐานของชีวิตที่เขาเคยมี
เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ขาที่มั่นคงและร่างกายที่สมส่วน ทำให้เขารู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่หายไปนาน ชุดเสื้อโค้ทสีดำและกางเกงขายาวกลับคืนมาราวกับมันไม่เคยหายไปไหน ความคุ้นเคยที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสของเนื้อผ้า ทำให้เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง ไม่ใช่ภาพหลอน
"เกิดอะไรขึ้น..." เขาพึมพำ เสียงแหบแห้งแต่หนักแน่นกว่าที่เคยเป็น
เมื่อมองไปรอบตัว เขาเห็นเพียงหมอกดำหนาทึบที่ปกคลุมทุกสิ่ง แต่ในความมืดนั้น มีบางสิ่งดึงดูดสายตา โดมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านกลางความมืด โครงสร้างสีขาวมุกสะท้อนแสงเลือนรางจากหมอก มันดูทั้งน่าค้นหาและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มหยิกที่มือของตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ ยืนยันว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน
"ไม่ใช่ความฝัน... เรื่องจริงงั้นหรอ?" เขาเอ่ยกับตัวเอง ขณะเริ่มก้าวไปข้างหน้า
ทุกย่างก้าวให้สัมผัสของพื้นดินแข็งกระทบฝ่าเท้า แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในใจคือเขาต้องไปให้ถึงโดมนั้น
เมื่อเข้าใกล้ โครงสร้างของโดมยิ่งดูน่าเกรงขาม พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนเสียงฝีเท้าของเขาก้องในความเงียบ เบื้องบน เพดานกระจกแตกร้าวในบางส่วน แสงอาทิตย์เลือนรางลอดผ่านรอยร้าว ทาบเงาลวดลายซับซ้อนบนพื้นหิน เงากิ่งไม้ใหญ่ที่ทับซ้อนสร้างบรรยากาศที่ทั้งลึกลับและกดดัน
เขาเดินตรงไปยังศาลาหินเก่าที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ โครงสร้างเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ยังตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง เบาะหินที่ปกคลุมด้วยมอสเขียวบ่งบอกว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานมานาน
ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนขอบหินของศาลา สัมผัสหยาบกร้านปลุกความทรงจำที่เลือนรางขึ้นมา เสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กเล็กๆ ดังสะท้อนในหัว ภาพเด็กชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงบันไดที่เขายืนอยู่ พร้อมกับเด็กสาวอีกสองคน รอยยิ้มของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะดังก้องในบรรยากาศ แต่ภาพเหล่านั้นเลือนหายไปราวกับหมอกถูกพัดด้วยลม
เขาหลับตา พยายามจะจับภาพเหล่านั้นไว้ แต่ยิ่งพยายาม มันก็ยิ่งหลุดลอยไปเหมือนทรายร่วงหล่นจากฝ่ามือ แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น สายตากลับสะดุดกับร่างของใครบางคนที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นก่อนหน้านี้
ใต้เงาไม้ใหญ่ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงเสาศาลา ผมยาวสีดำขลับพลิ้วไหวรอบใบหน้าที่นิ่งสงบ ราวกับคนที่กำลังหลับไหล อ้อมแขนของเธอกอดกรงเหล็กเล็กๆ ที่ภายในมีหัวใจสีแดงฉานเต้นเป็นจังหวะ โซ่เงินบางพันธนาการหัวใจนั้นไว้แน่น แสงสะท้อนจากโซ่ทำให้ทุกอย่างดูน่าหวาดหวั่น
เขาก้าวเข้าไปใกล้ ความรู้สึกหนักหน่วงจากพลังเวทย์ที่แผ่ออกมาจากเธอ ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด บรรยากาศรอบตัวหญิงสาวเหมือนอากาศที่บิดเบี้ยวในวันร้อนจัด เหมือนกับพลังเวทย์ที่เขาสัมผัสมาก่อนหน้านี้ แต่หนักหน่วงเกินไปจนหัวใจเต้นแรง
ผิวของเธอขาวนวลดุจไข่มุก เผยเงาอ่อนๆ เมื่อแสงลอดผ่านปลายผมดำขลับที่ตกลงมาถึงขอบพื้น เดรสสีดำผสมสีขาวที่เรียบหรู ผูกริบบิ้นสีดำไว้คอปกอย่างเรียบง่าย
เขาหยุดห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว มองตรงไปยังร่างที่สงบนิ่ง หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยคำถามเริ่มสั่นคลอน มันไม่ใช่เพียงความงามของเธอที่ทำให้เขาหยุด แต่เป็นพลังเวทย์มหาศาลที่เก็บซ่อนไว้ในร่างเล็กๆเหล่านั้น
ขณะนั้นเอง เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ ใบไม้สั่นไหวในบรรยากาศที่สงบนิ่งแต่แฝงความลึกลับ หญิงสาวค่อยๆลืมตา ดวงตาสีเงินเข้มจ้องมองเบื้องหน้า ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ เธอสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความรู้สึกประหลาดที่เกาะกินในใจ ศาลาแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ชั่วขณะนั้น ดวงตาของเธอเหลือบเห็นเงาบุคคลหนึ่ง—ตัวตนอื่นที่ไม่ควรอยู่ที่นี้ตอนนี้ เขายืนอยู่ใต้แสงที่ส่องผ่านใบไม้ไม่ไกลจากเธอ ราวกับธรรมชาติรอบตัวหยุดนิ่งเพื่อต้อนรับการมาของเขา หัวใจของหญิงสาวกระตุก สัญชาตญาณเตือนถึงอันตราย ชายหนุ่มผู้นั้นสามารถลอบผ่านเวทมนตร์ของเธอ โดยที่เธอไม่รู้สึกตัว
พลังเวทย์ในตัวเธอพลุ่งพล่านราวกับทะเลเดือด ดวงตาของเธอเบิกกว้างก่อนจะระเบิดพลังเวทย์ออกมา คลื่นพลังทำให้ใบไม้ปลิวกระจาย บรรยากาศเปลี่ยนจากสงบเป็นความกดดันหนักอึ้ง
ชายหนุ่มสะดุดลมหายใจ แรงกดดันมหาศาลโถมเข้าใส่จนแทบขยับไม่ได้ แม้แต่ต้นไม้รอบศาลายังสั่นสะเทือน แต่เขายังคงยืนหยัด กัดฟันแน่น ดึงพลังจากจิตวิญญาณที่เคยกลืนกิน วงแหวนสีแดงเข้มปรากฏรอบหัวใจของเขา หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พลังเวทย์ร้อนระอุแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทา ผิวหยาบกร้านคล้ำขึ้น แสงสีแดงจากมานาเรืองรองใต้ผิวหนัง บรรยากาศรอบตัวเขากลายเป็นมวลความร้อนที่แผ่ซ่าน กระจายแรงกดดันจากพลังเวทย์ของเธอให้เจือจางลงเพียงเล็กน้อย
หญิงสาวมองการเปลี่ยนแปลงของเขาด้วยความตกใจปนสงสัย เธอถอยหลังจนชิดผนังหิน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องเขาด้วยความหวาดระแวง แต่ก็มีแรงดึงดูดบางอย่างในตัวเขาที่เธอไม่อาจละสายตา เธอใช้เวทมนตร์ตรวจสอบจิตวิญญาณของเขา และพบว่ามีจิตวิญญาณอีกดวงที่กำลังหลอมรวมกับเขาอยู่—จิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง และ บิดเบี้ยว ถูกผสมกับอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีอยู่ในมนุษย์
ชายหนุ่มกัดฟัน ขณะที่พลังเวทย์ในตัวเขาก่อตัวเป็นเกราะบางๆ คลุมร่างกาย พลังสีแดงเข้มลุกโชน ดินและใบไม้รอบตัวเขาเหี่ยวแห้ง หญิงสาวค่อยๆลดแรงกดดัน แม้ยังไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความลับที่อยู่ตรงหน้าได้ พลังเวทย์ในศาลาค่อยๆจางหาย ใบไม้ร่วงลงอย่างเงียบงัน
เธอยืนมองเขาที่พยายามฟื้นคืนสู่ร่างเดิม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า หอบหายใจหนักหน่วงเหมือนร่างกายกำลังรับภาระอันใหญ่หลวง เขามีทั้งพลังและข้อจำกัดในคราวเดียวกัน มันทำให้เธอรู้สึกขัดแย้ง—ทั้งสับสนและสนใจในตัวเขาอย่างประหลาด
บรรยากาศรอบตัวค่อยๆกลับสู่ความสงบ แต่หัวใจของหญิงสาวยังคงเต้นแรง ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจ—ชายตรงหน้าอาจทำให้สิ่งที่เธอปรารถนามาโดยตลอดเป็นจริงได้ แต่มันจะเป็นไปได้งั้นหรอ? คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจเธอขณะที่สายตาของทั้งสองประสานกัน ราวกับว่าความลับในจิตใจของทั้งคู่กำลังจะเปิดเผย
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่