LOGINบทที่ 4
คำเตือนของมู่เสี่ยวชิง
หลี่ฉิงเซียวมาที่ห้องรับรองแขกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แม้นางจะสนิทกับสหายผู้นี้แต่ใช่ว่านางจะยอมให้เสียทุกอย่าง ตัวนางถูกสั่งสอนจากท่านพ่อและท่านแม่เป็นอย่างดีย่อมพอคาดเดาได้ในใจถึงการมาของสหาย
"ฮุ่ยผิง เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าที่จวนวันนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นเรื่องไม่สมควรนัก"
"ขะ ข้าแค่คิดถึงเจ้าเท่านั้นเอง นี่ข้าก็เพิ่งกลับมาจากอารามนอกเมืองจึงเพิ่งทราบข่าวตอนที่มาถึงจวนของเจ้าแล้ว"
'ชุนฮุ่ยผิง' บุตรีคนรองของเสนาบดีชุนกรมคลัง นางมีใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม อายุเพียง 15 หนาวทว่าส่อเค้าความงามมิต่างจากผู้เป็นพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้วเลย เพียงแต่นิสัยของนางค่อนข้างเอาแต่ใจมากไปเสียหน่อย ด้วยเป็นบุตรสาวคนเล็กที่มีแต่คนตามใจ คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่รอบคอบนัก
"ชุนฮูหยินไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าจวนของข้าเวลานี้ไม่สะดวกรับแขก"
"เหตุใดเจ้าถึงได้มาตำหนิข้าเช่นนี้เล่า ท่านแม่ข้าก็เอาแต่สวดมนต์ไม่รู้เรื่องภายนอกนักหรอก ส่วนข้าก็เพิ่งกลับมาแล้วรีบตรงมาหาเจ้าที่นี่เลย ทำไมหรือ... แค่เจ้ามีพี่สะใภ้คนใหม่ก็ลืมเลือนสหายเช่นข้าไปใช่หรือไม่ ฮึก ๆ น่าเสียใจแทนพี่สาวผู้โชคร้ายของข้ายิ่งนัก นางต้องตายไปเพราะเรื่องไม่คาดฝัน สองปีให้หลังท่านพี่เหวินซานก็ลืมเลือนพี่สาวของข้าจนหมดสิ้น แต่งงานกับสตรีอื่นไปเสียแล้ว พี่สาวของข้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก เช่นนี้นางจะนอนตายตาหลับได้อย่างไร ฮือ ๆ"
ชุนฮุ่ยผิงร้องไห้ฟูมฟายเสียใจแทนผู้เป็นพี่สาว ที่แท้นางก็คือน้องสาวของคนรักเก่าหลี่เหวินซานนั่นเอง!
"เจ้า! พูดจาอะไรเช่นนี้ วันนี้คู่บ่าวสาวจะต้องยกน้ำชาให้ญาติผู้ใหญ่ ใครไม่รู้บ้างว่าเดิมทีประตูจวนก็จะปิดไม่ต้อนรับแขกอยู่แล้ว อีกอย่างพี่ใหญ่ของข้าจะแต่งงานใหม่มิได้เลยหรือ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"
หลี่ฉิงเซียวโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ นางมองดูสหายที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความไม่พอใจนัก เป็นอีกฝ่ายที่ไม่รู้ความแล้วยังกล้าเอ่ยวาจาตำหนิพี่ใหญ่ของนางอีก
ครอบครัวนางต้องอยู่ในความเศร้าเสียใจมานานแค่ไหนแล้วเล่า ชุนฮุ่ยผิงเคยรู้บ้างหรือไม่ อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้พี่ใหญ่ต้องสูญเสียคนรักไป พวกนางที่รักพี่ใหญ่มิต่างกันก็เสียใจมิน้อยเลย ยิ่งพี่ใหญ่เอาแต่นึกโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง และยังเก็บตัวเอาแต่ทำงานหนักจนไม่กินไม่ดื่มร่วมหลายเดือน ครอบครัวของนางล้วนรู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก!
"ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับพี่สาวของข้าเล่า ท่านพี่เหวินซานคงจะไม่ลืมกระมัง"
"คำสัญญาอะไรหรือ"
หวงไป๋เฟิ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชุนฮุ่ยผิง นางนึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไรเป็นแน่จึงได้ลอบขอตัวกลับเรือน แต่นางกลับเดินย้อนมาทางเรือนใหญ่ นางมาทันได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ของสตรีนางนี้พอดีเลย
"เจ้าเป็นใคร?!"
ชุนฮุ่ยผิงเช็ดน้ำตาแล้วมองสตรีตรงหน้าอย่างพิจารณา ชุนหลันที่ติดตามเจ้านายสาวรีบตวาดเสียงดังก้องอย่างตำหนิ
"บังอาจ! ท่านผู้นี้คือท่านหญิงแห่งวังชินอ๋องในแดนเหนือ คุณหนูยังไม่คารวะท่านหญิงหวงไป๋เฟิ่งอีกหรือ"
"ที่แท้ก็พี่สะใภ้ของเจ้าเองสินะ" ชุนฮุ่ยผิงหันไปพูดกับหลี่ฉิงเซียว นางหันกลับมามองหวงไป๋เฟิ่งแล้วยอบกายคารวะตามมารยาท "ขออภัยท่านหญิงเจ้าค่ะ ข้าชุนฮุ่ยผิงบุตรคนรองของท่านเสนาบดีกรมคลังเจ้าค่ะ"
"ที่แท้ก็คุณหนูรองชุนนั่นเอง แล้วที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร ท่านพี่เคยให้คำมั่นสัญญาอะไรกับเจ้าหรือ"
"เรียนท่านหญิง นี่เป็นคำสัญญาที่ท่านพี่เหวินซานให้ไว้กับพี่สาวของข้าเจ้าค่ะ"
ชุนฮุ่ยผิงเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี นางไม่นึกให้ความเคารพหวงไป๋เฟิ่งที่มีฐานะสูงกว่าเลยแม้แต่น้อย ด้วยคิดว่าก็แค่ท่านหญิงจากแดนเหนือจะมีความสำคัญอะไร
"อ้อ... เช่นนั้นหรือ ข้าที่เป็นท่านหญิงและฮูหยินของท่านพี่คงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สินะ"
"เจ้าค่ะ"
หลี่ฉิงเซียวเห็นท่าไม่ดีรีบพูดแทรกขึ้นมา "เอ่อ... พี่ใหญ่เคยสัญญาว่าจะช่วยดูแลฮุ่ยผิงเจ้าค่ะพี่สะใภ้ เป็นเพียงคำสัญญาที่ให้ไว้เพราะรู้สึกผิดเท่านั้น ขอพี่สะใภ้อย่าได้คิดมากเลยนะเจ้าคะ"
"เช่นนั้นหรือ แล้วคำสัญญานั่นจะต้องทำไปจนถึงเมื่อไหร่ จนท่านพี่ของข้าแก่ชรา เจ้าแต่งงานหรือว่าเจ้าตาย!"
สายตาคมกริบอันเย็นเยียบมองชุนฮุ่ยผิงนิ่ง นางที่เคยกล้าเชิดหน้าถึงกับตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว กลิ่นอายของความสูงศักดิ์และกดข่มนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
"ระ เรื่องนี้..."
"คุณหนูรองชุนควรทราบ ท่านพี่ของข้าบัดนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว คนที่เขาควรปกป้องก็คือข้าผู้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของเขา ส่วนเจ้านั้นท่านพี่ของข้าก็ยังคงสามารถปกป้องเจ้าได้ แต่มันก็ต้องมีขอบเขตด้วยมิใช่ว่าจะต้องทำตราบชั่วชีวิตของเขา เจ้าลองคิดดูนะว่าถ้าหากข้ากับเจ้าตกน้ำและกำลังจะตาย ท่านพี่ของข้าจะเลือกผู้ใดระหว่างเจ้าที่เป็นน้องสาวของอดีตคนรักเก่า กับข้าซึ่งเป็นภรรยาของเขา ท่านพี่จะเลือกใครเจ้าลองตรองดูให้ดีเถิด"
"ทะ ท่าน! รังแกกันเกินไปแล้ว ฮือ ๆ"
เมื่อสู้ไม่ได้ชุนฮุ่ยผิงก็ร่ำไห้ออก และเพราะเสียงร้องไห้ของนางนั่นเองที่ได้ยินไปถึงหูของมู่เสี่ยวชิง นางเดินออกมาจากเรือนด้านในเพื่อมาดูว่าที่เรือนรับรองเกิดอะไรขึ้น
"มีอะไรเช่นนั้นหรือ เหตุใดคุณหนูรองชุนถึงร้องไห้อยู่ที่นี่" คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจ
"ฮึก ๆ หลี่ฮูหยินต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะเจ้าคะ ท่านหญิงเอ่ยวาจาข่มขู่ข้าเจ้าค่ะ"
ชุนฮุ่ยผิงรีบเข้าไปฟ้องมู่เสี่ยวชิง นางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารนัก
"จริงหรือเฟิ่งเอ๋อร์ เซียวเอ๋อร์"
"ไม่จริงเจ้าค่ะท่านแม่ พี่สะใภ้แค่เอ่ยเตือนฮุ่ยผิงเท่านั้นเองเจ้าค่ะ"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ เพราะข้าคิดว่าคำพูดของคุณหนูรองชุนนั้นจาบจ้วงท่านพี่มากเกินไป ทั้งยังเอ่ยวาจาไม่น่าฟังจนข้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยตักเตือนนางไปเช่นนั้นเจ้าค่ะ" หวงไป๋เฟิ่งยอมรับตามตรง
มู่เสี่ยวชิงหันไปมองชุนฮุ่ยผิง "แล้วเหตุใดคุณหนูรองชุนถึงมาที่จวนของข้าวันนี้เล่า เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้จวนของข้าปิดประตูไม่ต้อนรับแขก"
"คะ คือข้า"
"ชงเหยา ไปสอบถามว่าใครเป็นคนให้คุณหนูรองชุนเข้ามาในจวน สั่งโบย 20 ไม้แล้วขายออกไปทันที โทษฐานที่ไม่รู้จักทำหน้าที่ของตนให้ดี วันนี้นายท่านสั่งแล้วว่าไม่เปิดประตูจวนต้อนรับแขก แต่ยังกล้าฝ่าฝืนเช่นนั้นก็จงไสหัวออกไปจากจวนตระกูลหลี่เสีย"
"เจ้าค่ะฮูหยินใหญ่"
น้ำเสียงอันเด็ดขาดของมู่เสี่ยวชิงทำให้ชุนฮุ่ยผิงรู้สึกหวาดกลัว นางรีบคุกเข่าขออภัยผู้อาวุโสเป็นการใหญ่
"ขะ ข้าไม่รู้ความเอง ขออภัยหลี่ฮูหยินเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอกลับจวนเลยนะเจ้าคะ"
ชุนฮุ่ยผิงไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป การแสดงออกของมู่เสี่ยวชิงก็เป็นการบอกใบ้แล้วว่าถือหางท่านหญิงผู้นั้น ลงโทษบ่าวเมื่อครู่ก็แค่กำลังตักเตือนให้นางหยุดเสีย
"เดี๋ยวก่อนคุณหนูรองชุน ข้าขอฝากไปบอกเสนาบดีชุนด้วยว่าเร็ว ๆ นี้ข้าอาจจะไปหาเขาที่จวน เพื่อพูดคุยเรื่องที่มันค้างคามานานกว่า 2 ปีให้จบสิ้นเสียที หวังว่าเสนาบดีชุนจะอยู่รอต้อนรับข้ากับท่านพี่"
"จะ เจ้าค่ะ"
ชุนฮุ่ยผิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความขลาดกลัว นางรีบยอบกายคารวะมู่เสี่ยวชิงและหวงไป๋เฟิ่งแล้วจากไปทันที ไม่มีแล้วน้ำตาที่ร้องไห้ออกมาเมื่อครู่นี้
"หมดเรื่องแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด" มู่เสี่ยวชิงหันมายิ้มให้กับทั้งสองคน
"ท่านแม่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก แค่พูดไม่กี่ประโยคก็ปิดปากฮุ่ยผิงไปเลยเจ้าค่ะ"
"เจ้าน่ะ จะคบหากับสหายก็ดูให้ดีหน่อยเถิด สหายที่ดีจะนำพาเจ้าไปในเรื่องที่ดี ๆ แต่ถ้าสหายคนไหนที่ทำให้เจ้าทุกข์ใจก็ควรจะหลีกถอยออกมาเสีย"
"ข้าจะจดจำคำสอนของท่านแม่เจ้าค่ะ"
มู่เสี่ยวชิงยิ้มอย่างเอ็นดู บุตรสาวของนางยังเล็กนักจึงยังมองคนไม่ขาด นางจึงต้องช่วยชี้แนะเสียหน่อยเพื่อที่เซียวเอ๋อร์ของนางจะได้ไม่พลาดท่าอย่างที่นางเคยเป็นเมื่อชาติก่อน
ตอนพิเศษ 2ท่านพ่อข้าอยากได้น้องครอบครัวของหลี่เพ่ยจูได้เดินทางกลับสู่แดนใต้หลังจากมาอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนแล้ว โม่ลี่อินที่ชอบหลี่เฟยหนี่ว์มากร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากกลับบ้านเสียแล้ว อยากจะอยู่เล่นกับน้องน้อยที่นี่"ฮือ ๆ ข้าไม่ยั่กกับ ข้ายั่กเล่นกับน้อล ฮือ ๆ" โม่ลี่อินร้องไห้จ้าไม่ยอมขึ้นรถม้าไปกับบิดาและมารดา นางยืนกอดป้าสะใภ้ที่อุ้มหลี่เฟยหนี่ว์อย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากจากไปไหนเลย"โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะอินเอ๋อร์ อีกไม่นานเราก็จะกลับมาที่นี่อีก ทว่าตอนนี้เราต้องกลับบ้านเสียก่อนนะ" หลี่เพ่ยจูพยายามหลอกล่อบุตรสาว "ไม่ ๆ อินเอ๋อร์ไม่ยั่กรอ อีกนานกว่าจะมาที่นี่ ฮือ ๆ""แต่ว่าอินเอ๋อร์จะต้องรีบกลับไปเตรียมห้องนอนให้น้องแล้วนะ ถ้าหากเรายังอยู่ที่นี่น้องของอินเอ๋อร์ก็จะไม่มีห้องนอนของตัวเองนะ" โม่ลู่หลิ่งก้มหน้าลงไปหาบุตรสาว เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่ลี่อินพลันตาโตแล้วหันไปมองมารดาทันทีด้วยความคาดหวัง"น้อลของอินเอ๋อร์หรือ ทั่นแม่มีน้อลแล้วหรือ""ใช่แล้ว ในท้องของแม่มีน้องของอินเอ๋อร์แล้วนะ" หลี่เพ่ยจูคลี่ยิ้มหวาน นางก้มตัวลงไปหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสามีท
ตอนพิเศษ 1หลี่เฟยหนี่ว์หวงไป๋เฟิ่งที่เพิ่งคลอดบุตรสาวจำต้องอยู่ไฟเพื่อให้ร่างกายของนางปรับสมดุล ดังนั้นแล้วหลี่เหวินซานที่เป็นห่วงบุตรสาวมากจึงได้ทูลลาราชการกับฮ่องเต้เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยเขาจะใช้ช่วงเวลานี้ดูแลบุตรสาวที่ยังเล็กและภรรยาที่ยังคงอ่อนแอ ฮ่องเต้หวงลู่หลงเห็นแก่ความดีความชอบของเขาจึงได้ทรงอนุญาตนามของบุตรสาวผู้นี้เป็นหลี่เหวินซานกับหวงไป๋เฟิ่งที่ช่วยกันตั้ง โดยพวกเขาให้ชื่อบุตรสาวคนแรกว่า 'เฟยหนี่ว์' อันหมายถึงหญิงสาวแห่งการโบยบิน เพราะหวงไป๋เฟิ่งนั้นต้องการให้บุตรสาวของนางมีอิสระในการใช้ชีวิต โบยบินไปสู่โลกกว้างด้วยใจของนางเอง"พี่ใหญ่ได้เวลาป้อนนมหนี่ว์เอ๋อร์แล้วเจ้าค่ะ" หลี่ฉิงเซียวเดินเข้ามาในห้องด้านข้างที่อยู่ติดกับห้องของหวงไป๋เฟิ่ง ในตอนนี้นางได้ทำหน้าที่คอยดูแลพี่สะใภ้และเป็นดั่งพี่เลี้ยงให้กับหลานสาวด้วย"พี่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หนี่ว์เอ๋อร์ก่อน" หลี่เหวินซานตอบกลับมาโดยที่มือคู่นี้ที่เอาแต่จับดาบฆ่าฟันศัตรูกำลังสาละวนกับการผูกผ้าอ้อมให้กับบุตรสาว ตั้งแต่ลางานมาเขาก็คอยดูแลบุตรสาวมิได้ห่าง ทั้งอาบน้ำ เช็ดอึ เช็ดฉี่ เปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วยังกล่อมนางนอนบนอกของเขาด้ว
บทส่งท้าย แดนเหนือหลี่เหวินซานใช้เวลาเดินทัพเพียงหนึ่งเดือนกว่าก็มาถึงยังแดนเหนือ ทันทีที่เขามาถึงก็เข้าพบชินอ๋องเพื่อปรึกษาเรื่องการรบ การพบหน้าของพวกเขาครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในฐานะพ่อตาและบุตรเขย ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยพบหน้ากันมาแล้ว ทว่านั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้วเช่นกัน"ข้าจะลอบไปทางภูเขาด้านนี้เพื่อตีชายแดนของพวกมันให้แตกราบคาบ ส่วนเจ้าก็อ้อมไปอีกทางตลบหลังพวกมันเสีย" หวงซือเหวินชี้มือไปตามแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะ"แต่กระหม่อมคิดว่านี่จะเสี่ยงเกินไป ทั้งยังทำให้เสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะทำเช่นไรเล่า" หวงจินหมิงเอ่ยถาม"กระหม่อมคิดว่าจะแบ่งกำลังทหารออกเป็นสี่ส่วน โดยจะต้องมีพลธนูไปด้วย เราจะใช้ธนูไฟเป็นโล่ในการบุกโจมตี แล้วจึงค่อยตีขนาบข้างเพื่อเลี่ยงความสูญเสียของฝั่งเราให้มากที่สุด อีกทั้งแคว้นอู๋นั้นชำนาญเรื่องการสู้รบบนที่ราบมากกว่าเรา กระหม่อมคิดว่าจะใช้ทหารเขี้ยวพยัคฆ์ที่ชำนาญด้านนี้เป็นทัพหน้าเพื่อประจัญบานกับพวกมัน ส่วนทหารของแดนเหนือที่เก่งเรื่องสู้รบบนที่สูงและชำนาญเส้นทางมากกว่าให้เป็นทัพหลัง คอยสนับสนุนจากบนที่สูงจะดีว่าพ่ะย่ะค่ะ" "อืม.
บทที่ 34ชดใช้"คุณหนูเอ่ยแค่นั้นก็เอามีดสั้นกรีดข้อมือเพื่อจบชีวิตลง ข้าตกใจมากจนทำสิ่งใดไม่ถูก คนที่คอยเฝ้าพวกเรารีบเข้ามาช่วยแล้วแต่ก็ไร้ผล คุณหนูได้จากไปด้วยความแค้นใจ...""มิใช่... นางจากไปเพราะยอมรับในชะตาของตนเอง นั่นมิใช่ความแค้นแต่เป็นการยอมรับและปลงในโชคชะตาของตัวเองต่างหากเล่า!" หวงไป๋เฟิ่งแก้ต่าง การกระทำของชุนอวิ๋นทั้งกล้าหาญและโง่เขลาในคราวเดียวกัน ถ้านางบอกความจริงกับท่านพี่เหวินซาน นางอาจจะไม่ต้องมาแบกรับเรื่องนี้เพียงผู้เดียว แต่ว่าตัวนางเองก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดของชุนอวิ๋น บางทีชุนอวิ๋นอาจมีเรื่องราวมากมายที่ไม่มีผู้ใดรู้ก็เป็นได้ "ฮือ ๆ คุณหนูของข้ามิควรมาตายเช่นนี้เลย ถ้าท่านมาตามสัญญาจะต้องช่วยนางได้อย่างแน่นอน" ฟางหรูเอ่ยโทษหลี่เหวินซาน"วันนั้นข้าถูกดึงตัวไปปราบโจรจึงมิได้ไปพบนางตามที่สัญญาไว้ ด้วยข้าคิดว่าอีกไม่นานนางก็จะกลับมา..." หลี่เหวินซานที่รู้สาเหตุการตายของชุนอวิ๋นรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ตัวเขาไม่เคยรับรู้ถึงความหนักใจของนางเลย"ฮือ ๆ เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้คุณหนูของข้าต้องจบชีวิตของตัวเองลง"ฟางหรูร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร นางคิดถึงคุณหนูเหลือเกิน... แม้
บทที่ 33สาเหตุที่แท้จริงหลี่เหวินซานมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยอาการสงบ คราแรกเขาก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องในจวนตระกูลชุนจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ "กุมตัวไปขังคุกหลวงทั้งหมด ยกเว้นนาง" เขาเอ่ยสั่งการเสียงเข้มก่อนจะชี้มือไปยังฟางหรู จินเกอที่ติดตามมาด้วยได้เข้ามาควบคุมตัวฟางหรูเพื่อพาไปสืบสวนต่อไป เรื่องของนางนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ฟางหรูถูกนำตัวมาขังยังคุกของค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ มือเท้าของนางถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนที่ยากจะหลบหนีออกไปได้ ห้องขังนี้เป็นห้องขังเดี่ยวที่มีไว้สำหรับนักโทษสำคัญ หลังจากหลี่เหวินซานเข้าไปรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว เขาก็ได้มาหาฟางหรูเพื่อไต่สวนนางต่อไป ยังคงมีเรื่องของชุนอวิ๋นที่เขายังไม่รู้ รวมถึงการตายที่แท้จริงของนาง ด้วยตอนนี้ชุนฮูหยินได้เสียสติจนมิอาจให้การอะไรได้อีกแล้ว"เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วยสินะฟางหรูที่สวมรอยอวิ๋นเอ๋อร์" ใบหน้าคมเข้มตวัดสายตามองอดีตสาวใช้ข้างกายของชุนอวิ๋น มิน่าเล่านางถึงได้เลียนแบบชุนอวิ๋นอย่างไร้ที่ติ ทั้งยังรับรู้เรื่องราวข
บทที่ 32ปิดจบเรื่องนี้หลี่เหวินซานมองทุกคนไปมา ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเป็นเขาที่ไม่รู้อะไรเลย ทุกคนต่างร่วมกันแสดงงิ้วฉากใหญ่นี้ขึ้นมา โดยที่ไม่คิดว่าตัวเขานั้นจะรู้สึกเจ็บปวดใจเช่นไร ทั้งที่สามารถบอกเขาก่อนได้"ท่านพี่คงกำลังคิดว่าเหตุใดพวกเราถึงไม่บอกท่านใช่หรือไม่ ดังเช่นที่ท่านพี่ไม่บอกข้าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ข้านอนร้องไห้หลังจากกลับจากโรงเตี๊ยม ถ้าไม่ใช่เพราะอาเฟิงแอบมาบอกว่าทุกอย่างที่ท่านพี่ทำลงไปเพื่อสืบหาตัวจริงของชุนอวิ๋น ข้าคงได้เป็นบ้าตายและทำเรื่องไม่ยั้งคิดไปเสียแล้ว" หวงไป๋เฟิ่งยังคงรู้สึกน้อยใจสามีในเรื่องนี้ นางยังเสียใจที่เขาเข้าข้างชุนอวิ๋นและดูเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเรื่องเกิน"เรื่องนั้น... พี่ทำไปเพราะต้องการกันเจ้าให้ออกห่างจากเรื่องนี้ มันอันตรายมากนะเฟิ่งเอ๋อร์ ชุนอวิ๋นผู้นั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ และเหตุใดนางถึงได้สวมรอยได้เหมือนกับชุนอวิ๋นตัวจริงยิ่งนัก เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันแค่เพียงพวกเราแต่ยังเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองด้วย""ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้า แต่เราเป็นสามีภรรยากันก็มิควรมีเรื่องปิดบังกันมิใช่หรือเจ้าคะ วันนั้นท่านพี่ก็







