เมืองหลี่เฉิงที่เคยคึกคักเริ่มมีความตึงเครียดบางอย่างเข้ามาปะปน ผู้คนเริ่มซุบซิบถึงข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับแขกสำคัญจากเมืองหลวงที่กำลังจะเดินทางมาเยือน มีผู้คนจากราชสำนักเข้ามาจับจองโรงแรมที่ดีที่สุด จัดเตรียมเส้นทางและระเบียบการอย่างพิถีพิถัน บรรยากาศที่เคยเป็นกันเองของเมืองชายแดนเริ่มกลายเป็นทางการและสงบนิ่งผิดปกติ
"คุณหนูเจ้าคะ ได้ยินมาว่าองค์ชายสามจะมาถึงพรุ่งนี้" เสี่ยวชุนกระซิบกับเซียวหลันขณะจัดยา "เขาเป็นคนเจ้าสำราญและขี้เล่นนัก ผู้คนในเมืองหลวงต่างยกย่องเขาว่าเป็นองค์ชายที่เก่งกาจและรูปงามที่สุด"
เซียวหลันเงยหน้าจากตำรายาที่กำลังอ่าน นางไม่ได้สนใจข่าวลือในราชสำนักนัก แต่ชื่อของ องค์ชายสาม หรือ เฉินเหวิน นั้นกลับทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ความทรงจำของเซียวเหลียนบอกว่าเขาคือคนที่เคยให้ความช่วยเหลือตระกูลเซียวเมื่อครั้งอดีต แต่เซียวหลันในตอนนี้กลับรู้สึกว่าชื่อนี้แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนและอันตราย
"ข้าไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในราชสำนัก" เซียวหลันกล่าวเสียงเรียบ "ให้พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขก็พอแล้ว"
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ยอมให้นางหลีกหนีได้ง่ายๆ
ในวันรุ่งขึ้น... เมืองหลี่เฉิงดูตื่นตัวเป็นพิเศษ ผู้คนต่างออกมาต้อนรับองค์ชายผู้สูงศักดิ์ กองทหารม้าในชุดเกราะสีเงินเรียงรายเป็นขบวน ตามด้วยรถม้าสีทองแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ผู้คนรอบข้างต่างก้มศีรษะให้ด้วยความเคารพ
รถม้าหยุดลงที่กลางถนน บุรุษหนุ่มรูปงามในชุดคลุมผ้าไหมสีเข้มปักลายมังกรทองก้าวลงมา ใบหน้าของเขาคมคายราวกับรูปสลัก ดวงตาเรียวคมฉายแววเจ้าเล่ห์แต่มีเสน่ห์ รอยยิ้มบนใบหน้าดูอบอุ่นและเป็นมิตร แต่เซียวหลันกลับรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังเมื่อได้สบตาเขาเพียงแวบเดียว
"ท่านองค์ชายสาม" ผู้ว่าการเมืองหลี่เฉิงคุกเข่าลงทำความเคารพ เฉินเหวินยิ้มและผายมือให้ผู้ว่าการลุกขึ้น
"ท่านไม่ต้องมากพิธี" เฉินเหวินกล่าวเสียงนุ่มนวล "ข้าเพียงแค่มาเยี่ยมเยือน ไม่ได้มาเพื่อสร้างความลำบากให้แก่ผู้ใด"
แต่คำพูดของเขาขัดแย้งกับการกระทำของทหารองครักษ์ที่กำลังกวาดสายตาไปทั่วเมือง ราวกับกำลังตามหาบางสิ่งอยู่ และสายตาของเฉินเหวินเองก็จับจ้องไปยังหอโอสถเซียวที่อยู่ไม่ไกลนัก
"ที่นี่มีหอโอสถเปิดใหม่ด้วยหรือ" เฉินเหวินกล่าวเสียงเรียบ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความสนใจ "ดูเหมือนจะได้รับความนิยมไม่น้อย"
เขาเดินตรงเข้ามาที่หอโอสถเซียวอย่างไม่ลังเล ท่ามกลางความตกตะลึงของเสี่ยวชุนและอาหลง
"ถวายบังคมฝ่าบาท" อาหลงคุกเข่าลงทำความเคารพด้วยความหวาดกลัว
เซียวหลันพยายามควบคุมสีหน้าให้นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางถอนสายบัวอย่างสง่างาม "คารวะองค์ชายสาม"
เฉินเหวินยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของเซียวหลัน ดวงตาของเขาวาววับราวกับพยัคฆ์ผู้ล่าเหยื่อ "หมอเทวดาที่ร่ำลือกันใช่เจ้าหรือไม่"
"หม่อมฉันเพียงแต่ช่วยเหลือผู้ป่วยตามวิชาที่ร่ำเรียนมาเพคะ" เซียวหลันตอบอย่างถ่อมตัว แต่น้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัว
"ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีฝีมือล้ำเลิศ" เฉินเหวินกล่าว "บังเอิญว่าข้ารู้สึกไม่สบายใจนัก... เจ้าพอจะช่วยตรวจดูอาการให้ข้าได้หรือไม่"
นี่เป็นข้ออ้างที่ฟังดูดี แต่เซียวหลันรู้ดีว่าชายผู้นี้มิได้มาเพื่อรักษาอาการป่วย นางพยักหน้าเล็กน้อย "เชิญด้านในเพคะ"
เซียวหลันเชิญเฉินเหวินเข้าไปในห้องด้านในของหอโอสถ นางผายมือให้เขาที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ แล้วจึงลงมือจับชีพจรอย่างชำนาญ
"ชีพจรขององค์ชายมั่นคงดี ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ" เซียวหลันกล่าวเสียงเรียบ นางจับได้ว่าเฉินเหวินมีลมปราณแข็งแกร่ง ไม่ได้มีอาการป่วยไข้ใดๆ เลย
"จริงหรือ" เฉินเหวินถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "แต่ข้ากลับรู้สึกว่าบางอย่างในใจข้าไม่สงบ... เจ้าช่วยหาวิธีรักษาอาการนี้ได้หรือไม่"
เซียวหลันรู้ทันทีว่าเขากำลังลองเชิง นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างชาญฉลาด "ใจของคนเรายากจะรักษาให้สงบได้ หากองค์ชายไม่มีเรื่องที่ทำให้สบายใจ ยาใดก็ไม่สามารถช่วยได้เพคะ"
เฉินเหวินหัวเราะเบาๆ "น่าสนใจ... น่าสนใจนัก" เขามองเซียวหลันด้วยความประทับใจในไหวพริบของนาง "แล้วหากข้าบอกว่า... สิ่งที่ข้าไม่สบายใจนั้นคือเรื่องของตระกูลเซียวเล่า... เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าควรจะรักษาอาการนี้อย่างไร"
ทันทีที่ได้ยินคำว่า 'ตระกูลเซียว' หัวใจของเซียวหลันก็เต้นรัวอย่างแรง แต่สีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉย
"หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ" นางตอบเสียงเรียบ "หม่อมฉันเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวของตระกูลเซียว"
"ไม่คุ้นเคยจริงหรือ" เฉินเหวินยิ้มมุมปาก "แต่ชื่อหอโอสถของเจ้า... เหมือนกับชื่อตระกูลนั้นมาก"
เซียวหลันยังคงรักษาใบหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด นางกล่าวตอบอย่างสุขุม "เป็นเพียงชื่อที่หม่อมฉันชื่นชอบเพคะ"
เฉินเหวินไม่เซ้าซี้ต่อ เขายิ้มอย่างมีเลศนัย "ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป... ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าผู้ใดจะแอบอ้างชื่อของตระกูลเก่าแก่ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้แก่แคว้น"
เซียวหลันก้มหน้าลงเล็กน้อย นางรับรู้ได้ว่าเฉินเหวินไม่ได้มาเพียงแค่หยั่งเชิง แต่เขากำลังสืบหาตัวตนที่แท้จริงของนาง และเขาก็มีเงื่อนงำบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคดีของตระกูลเซียวอย่างแน่นอน
ก่อนจะจากไป เฉินเหวินได้ทิ้งถุงเงินจำนวนมากไว้ให้เซียวหลัน "นี่คือค่ารักษาที่เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย... หากเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนใดๆ ก็สามารถส่งคนมาหาข้าได้ตลอดเวลา"
คำพูดของเขานั้นดูเป็นมิตร แต่เซียวหลันรู้ดีว่านั่นคือคำเชิญชวนให้เข้าร่วมกับเขา ซึ่งนางจะไม่มีวันตอบรับ
หลังจากเฉินเหวินจากไป อาหลงและเสี่ยวชุนที่รออยู่ด้านนอกก็รีบเข้ามาหานางด้วยความตกใจ
"คุณหนู... องค์ชายสาม... เหตุใดเขาจึงมาหาคุณหนู" อาหลงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เขาดูน่ากลัวนัก"
"เขามีเรื่องบางอย่างต้องการจากข้า" เซียวหลันตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาของนางกลับฉายแววครุ่นคิด "เขามาเพื่อสืบหาตัวตนของข้า"
"แล้ว... แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ" เสี่ยวชุนถามด้วยความกังวล
"ไม่ต้องกังวล" เซียวหลันกล่าว "เขายังไม่มั่นใจในตัวข้า แต่ก็ยังไม่เชื่อในคำพูดของข้า เรายังมีเวลา"
ขณะที่เซียวหลันกำลังวางแผนรับมือกับเฉินเหวินอยู่นั้น ก็มีเงาร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นที่หน้าหอโอสถอีกครั้ง หลี่หยางยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า เขามองเข้าไปในหอโอสถ สายตาคมกริบของเขาจับจ้องไปยังร่องรอยของขบวนเสด็จที่หลงเหลืออยู่
"องค์ชายสามมาที่นี่ใช่หรือไม่" หลี่หยางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ไม่เคยมีมาก่อน
เซียวหลันพยักหน้า นางรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา "ท่านรู้จักเขาหรือ"
หลี่หยางไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อน เขากำหมัดแน่น ก่อนจะคลายออกอย่างรวดเร็วราวกับว่าพยายามควบคุมอารมณ์
"ข้าแค่ผ่านมา" หลี่หยางกล่าวเช่นเคย แต่คราวนี้น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างและห่างเหินกว่าทุกครั้ง
เซียวหลันรู้สึกถึงรอยร้าวบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทันที นางไม่รู้ว่าทำไม แต่หลี่หยางดูจะไม่ชอบเฉินเหวินเอาเสียเลย
"ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร" หลี่หยางกล่าวเสียงเบา "อย่าไปเชื่อเขา"
เขาหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เซียวหลันยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน พร้อมกับความรู้สึกสับสนในใจ นางเพิ่งจะเผชิญหน้ากับองค์ชายผู้ทรงอำนาจที่อาจเป็นศัตรู และบัดนี้ก็ต้องรับมือกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับชายผู้ลึกลับที่ดูเหมือนจะมีความแค้นบางอย่างกับองค์ชายผู้นั้น
โชคชะตาได้เริ่มหมุนวงล้อแล้ว... และเซียวหลันก็ถูกดึงเข้าไปในกระแสแห่งอำนาจที่ยากจะคาดเดา
บรรยากาศในห้องโถงกว้างของวังหลวงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เซียวหลันมองหน้าหลี่หยางและเฉินเหวินสลับกันไปมา หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความสับสนและความเจ็บปวด"ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วพวกเจ้า... จะทำอย่างไรกับข้า"คำพูดของเฉินเหวินดังก้องอยู่ในหัวก้องเธอ เธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นกับพวกเธอได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะระแวดระวังกันมาตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะใจร้ายขึ้นมาจริงๆ“เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” เฉินเหวินเอ่ยขึ้น สายตาของเขาจับจ้องมาที่เซียวหลัน“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ทำไมท่านถึงหลอกใช้เรา""ข้าไม่ได้หลอกใช้พวกเจ้า" เฉินเหวินตอบ "ข้าแค่... ทำตามหน้าที่ของข้า""หน้าที่ของเจ้าคือการทำลายพวกเราอย่างนั้นหรือ!" หลี่หยางตะโกนด้วยความโกรธแค้น "เจ้าทำลายครอบครัวของข้า! ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี!""ไม่ใช่ข้า" เฉินเหวินปฏิเสธ "เป็นตระกูลของข้าต่างหาก... ที่ต้องการพลังที่ซ่อนเร้นในตัวพวกเจ้า""แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกเราแต่แรก!" เซียวหลันถาม"เพราะข้า... อยากที่จะสร้างโชคชะตาของข้าเอง" เฉินเหวินตอบ "ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาเกี่ยวข้อง
การฝึกฝนของเซียวหลันภายใต้การดูแลของเฉินเหวินดำเนินไปอย่างเข้มข้น วันแล้ววันเล่าที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจ พลังแห่งแสงของเธอนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอก็รู้สึกถึงความมืดที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจเช่นกัน"เจ้าต้องควบคุมมันให้ได้" เฉินเหวินกล่าวขณะมองเซียวหลันที่กำลังควบคุมพลังแสงในมือของเธอให้แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธที่ทรงพลัง "หากเจ้าปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ... เจ้าก็จะกลายเป็นพวกมัน"เซียวหลันเข้าใจดี นางไม่ต้องการที่จะกลายเป็นคนเช่นนั้น นางจึงพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองและใช้พลังในทางที่ถูกต้องในขณะเดียวกัน... หลี่หยางที่นอนป่วยอยู่ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แม้พลังของเขาจะหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความผูกพันที่เชื่อมโยงระหว่างเขากับเซียวหลัน และเขาก็ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือนาง"ข้าจะต้องช่วยเซียวหลัน" หลี่หยางพึมพำกับตนเอง "ข้าจะต้องฟื้นฟูพลังของข้าให้กลับมา"เขาเริ่มค้นหาวิธีที่จะฟื้นฟูพลังของตนเองโดยเริ่มจากการค้นหาตำราโบราณที่เฉินเหวินเก็บไว้ในห้องสมุดของเขา ในตำราเหล่านั้นมีบันทึกเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังอัคคีที่บร
การเดินทางออกจากหุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยความยากลำบากเซียวหลันพยุงร่างที่ไร้สติของหลี่หยางไว้ในอ้อมแขนขณะที่เฉินเหวินคอยนำทางและระวังภัยให้ การเสียสละของหลี่หยางทำให้พลังในตัวเขาหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงร่างกายที่อ่อนแรง และเซียวหลันเองก็รู้สึกถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตของเธอ"เราจะไปไหนกันต่อ" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว"เราจะไปที่สำนักแพทย์หลวงในเมืองหลวง" เฉินเหวินตอบ "ที่นั่นมีหมอที่ดีที่สุด และพวกเขาก็จะสามารถดูแลหลี่หยางได้"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาจะทำได้ในตอนนี้เมื่อเดินทางมาถึงสำนักแพทย์หลวง เซียวหลันก็รีบพาหลี่หยางไปให้หมอหลวงตรวจดูอาการ หมอหลวงวินิจฉัยว่าหลี่หยางได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง และไม่มีวิธีใดที่จะสามารถรักษาเขาได้เลย นอกจากปล่อยให้เขาฟื้นตัวด้วยตนเอง"ไม่... ไม่จริง!" เซียวหลันกล่าวด้วยความสิ้นหวัง "ท่านต้องช่วยเขา!""ข้าขอโทษ" หมอหลวงกล่าว "ข้าไม่มีทางเ
แสงจากคันธนูแห่งแสงเลือนหายไปในความมืดมิดของถ้ำ เหลือไว้เพียงร่างที่ไร้สติของเซียวหลันที่นอนอยู่บนพื้น หลี่หยางรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมาอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด"เซียวหลัน! เซียวหลัน!" หลี่หยางเรียกชื่อนางซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากนางเฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว เขามองไปยังเซียวหลันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "นาง... ต้องมาเจอกับเรื่องนี้เพราะข้า""ไม่ใช่ความผิดของท่าน" หลี่หยางกล่าว "เป็นความผิดของข้าต่างหาก... ที่ปล่อยให้นางต้องมาเสี่ยงชีวิต"หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อรักษาเซียวหลัน แต่นางก็ยังคงไม่ฟื้น และลมหายใจของนางก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ"ไม่... ไม่จริง!" หลี่หยางร้องไห้ออกมาอย่างหมดหวัง "เจ้าต้องไม่เป็นไรนะ... เซียวหลัน!"เฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้หลี่หยาง "ยังมีทางเดียวที่จะช่วยนางได้""วิธีอะไร" หลี่หยางถามด้วยความหวังอันริบหรี่
ในที่สุดอาวุธในตำนานก็ตกอยู่ในมือของเซียวหลัน คันธนูส่องแสงประกายสว่างท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขาต้องห้าม พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลเวียนออกมาจากอาวุธนั้นทำให้ทั้งหลี่หยางและเฉินเหวินรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่น่าเกรงขาม"มันคือ... คันธนูแห่งแสง" เฉินเหวินเอ่ยเสียงแผ่ว "อาวุธที่ถูกกล่าวถึงในคำทำนาย"เซียวหลันรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่ผสานเข้ากับพลังแห่งแสงในตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าอาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ"แต่เราจะใช้มันอย่างไร" เซียวหลันถาม"เจ้าจะต้องใช้จิตใจที่บริสุทธิ์เพื่อควบคุมมัน" หลี่หยางกล่าว "พลังของเจ้าจะหลอมรวมเข้ากับคันธนูแห่งแสง และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นผู้เดียวที่จะสามารถใช้มันในการต่อสู้ได้"ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกถ้ำ ตามมาด้วยเงาร่างที่ปรากฏขึ้นในความมืดมิด"พวกเราตามพวกเจ้ามานานแล้ว" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น "และในที่สุด... เราก็เจอตัวผู้สืบทอดพลังแห่งแ
หลังจากความจริงอันน่าตกตะลึงถูกเปิดเผยในคัมภีร์โบราณ เซียวหลันและหลี่หยางก็เข้าใจแล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ได้ผูกพันเพียงแค่การกอบกู้ตระกูล แต่ยังเกี่ยวพันกับสงครามที่จะตัดสินชะตาของโลกเฉินเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรู บัดนี้ได้กลายเป็นพันธมิตรที่ไม่อาจขาดไปได้"ในคัมภีร์ระบุว่ามีอาวุธโบราณถูกซ่อนไว้ในที่ลับแห่งหนึ่ง" เฉินเหวินกล่าวขณะมองแผนที่ที่เพิ่งค้นพบ "หากเราได้อาวุธนี้มา จะช่วยให้เรามีพลังที่จะต่อสู้กับคนพวกนั้นได้""แล้วอาวุธนั้นอยู่ที่ไหน" หลี่หยางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น"มันถูกซ่อนไว้ใน... หุบเขาต้องห้าม" เฉินเหวินตอบ "สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและพลังที่ชั่วร้าย"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะยอมเสี่ยง"เราจะไป" เซียวหลันกล่าวอย่างหนักแน่น "เราต้องไปเอาอาวุธนั้นมาให้ได้"การเดินทางสู่หุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยอุปสรรค พ