เช้ามืดวันจันทร์หลังผ่านพ้นคืนที่ฝนตกหนัก หิรัญตื่นเป็นคนแรก เขาจัดการเติมน้ำในกระติกน้ำร้อนเพื่อเตรียมชงเครื่องดื่มเช้า พร้อมกับข้าวต้มหมูบดใส่เห็ดหอมตามที่ลูกสาวชอบ
ย่าจันทร์หอมที่เดินลงมาจากบันไดถึงกับยิ้มออกมา
“เดี๋ยวนี้พ่อคนนี้ขยันแต่เช้าเลยนะ”
“ผมเป็นนิวหินแล้วนะแม่ รอดูเลย”
แม้พูดติดตลกแต่ในใจหิรัญไม่ได้ล้อเล่น เพราะเขารู้ดีว่า…ที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่ตรงนี้ ในวันนี้ที่เขาอยากกลับมาทำหน้าที่แม้จะรู้ว่ามันไม่ทันที่จะกู้ครอบครัวคืนมา แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ไม่ทันที่ฟ้าจะสว่างดีกัทลีและน้องบัวก็ลงมาพร้อมกัน หิรัญรีบเช็ดมือลวกๆ กับผ้าในครัวแล้วหันมาทัก
“อรุณสวัสดิ์ครับเจ้าหญิง... กับคุณแม่ของเจ้าหญิง”
กัทลียิ้มบางๆ แต่ไม่ได้สบตาเขาเธอมองเลยกวาดสายตาไปยังด้านนอก ตอนนี้ถนนยังเปียกอยู่แต่ไม่มีน้ำท่วม ขณะที่ลูกสาวกระโดดโผเข้าไปกอดพ่อและชวนกันตักข้าวต้ม
“วันนี้แม่ไปทำงานตอนสายได้ใช่ไหมคะ?” บัวชมพูถามเสียงใส “แม่ไปส่งหนูก่อนได้ไหมคะ?”
กัทลีหันกลับมายังสองพ่อลูก เธอพยักหน้า “ได้จ้ะ เดี๋ยวเรากลับบ้านแม่ไปอาบน้ำแต่งตัวส่วนหนูไปเก็บของเตรียมไปบ้านพ่อ แล้วแม่จะไปส่งหนูที่ฟาร์มแล้วค่อยไปประชุม วันนี้แม่มีประชุมทั้งวันนะลูกคงจะกลับค่ำๆ เลยจ้ะ ออกจากโรงแรมเดี๋ยวแม่โทรบอกหนูให้เตรียมตัวกลับบ้านนะ”
หิรัญฟังเงียบๆ เขารู้ว่านั่นคือการที่กัทลีบอกเขาทางอ้อมว่าวันนี้เขาต้องเป็นคนดูแลน้องบัวทั้งวันจนถึงค่ำ โดยไม่ต้องให้เขาหรือน้องบัวโทรติดต่อในระหว่างวันนอกจากรอเธอกลับมาเอง
กัทลีไปเข้าร่วมสัมมนากับหน่วยงานอื่นในตัวเมือง และเช่นเคยที่คราวนี้มีเธอและธนนท์ต้องเข้าร่วมการสัมมนาเดียวกันเหมือนรอบก่อน
ในเรื่องงานกัทลีและธนนท์มีงานที่ต้องทำด้วยกันหรือต้องประสานงานกันค่อนข้างมาก และด้วยที่แผนกของแต่ละคนก็มีบุคลากรไม่กี่คน ดังนั้นพวกเขาจึงเจอกันตามงานสัมมนาหรือประชุมวิชาการข้างนอกค่อนข้างบ่อย
วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่กัทลีออกไปสัมมนาแล้วพบธนนท์ในงานเดียวกัน มันเป็นงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาองค์รวม” ของจังหวัด โดยที่มีทั้งการประชุมในห้องประชุมใหญ่และประชุมย่อยตามหัวข้อของแต่ละคน
ณ ห้องประชุมย่อยช่วงบ่าย ธนนท์และกัทลีช่วยกันสรุปข้อคิดเห็น ที่จะเสนอเป็นแผนงานจากหน่วยงานของพวกเขาส่งให้ส่วนกลางพิจารณา
ธนนท์ก้มดูแผนยุทธศาสตร์จังหวัดที่ทีมงานจัดพิมพ์ออกมาอย่างคร่าวๆ แล้วหันมาถามกัทลีที่นั่งตรงข้ามกัน
“ตรงนี้ที่เขาระบุว่าต้องมีโครงการพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัย กล้วยคิดว่าเราจะใช้ฐานโรงเรียนที่เราดูแลจัดเป็นพื้นที่นำร่องได้ไหม”
กัทลีเหลือบดูเอกสารครู่หนึ่ง วิเคราะห์คำถามที่ถูกส่งมาแล้วพยักหน้า
“กล้วยว่าได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ยั่งยืนเราน่าจะต้องดึง กศน. กับอบต. มาร่วมด้วยเลย จะได้ต่อยอดการศึกษานอกระบบด้วย”
“โอเค งั้นพี่จะลองเพิ่มส่วนที่กล้วยเสนอมาตรงข้อเสนอแนะไว้ในตอนสรุปการประชุมกลุ่มนะ”
“เดี๋ยวกล้วยช่วยเขียนเคสตัวอย่างให้ค่ะ มีโรงเรียนเล็กที่เคยทำโครงการคล้ายๆ กันกับที่ว่านี้ กล้วยว่ามันน่าสนใจ”
ธนนท์หันมามองเธอ ยิ้มนิดหนึ่ง
“ดีเลย ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มยกข้อมือขึ้นดูเวลาและเอ่ยชวน
“ได้เวลาเบรกบ่ายแล้ว พี่ว่าเราออกไปหาชากาแฟจิบให้หายง่วงกันแล้วค่อยมาทำงานต่อดีกว่า”
การสัมมนาวันแรกผ่านไปด้วยดี ซึ่งกัทลีจะต้องไปเข้าร่วมอีกวันในวันรุ่งขึ้น หญิงสาวออกจากโรงแรมเกือบสิบแปดนาฬิกา เธอโทรบอกน้องบัวว่ากำลังจะไปรับที่ฟาร์มของหิรัญ
วันนั้นเธอและลูกกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมากแล้ว กัทลีจึงให้น้องบัวรีบไปอาบน้ำและรับประทานมื้อค่ำก่อนจะพากันพักผ่อน โดยที่เธอเล่านิทานสั้นๆ ให้ลูกฟัง
ต่อด้วยการถามไถ่ว่าวันนี้น้องบัวทำอะไรบ้างอันเป็นกิจกรรมประจำที่กัทลีไม่เคยละเลยต่อให้วันนั้นจะเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตาม
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สองและวันสุดท้ายของการสัมมนา กัทลีไปส่งลูกที่ฟาร์มตอนเช้าและตรงไปที่งานสัมมนาต่อ วันนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างสบายๆ เพราะแผนการของเธอและธนนท์สรุปปิดจบส่งเรียบร้อยแล้ว
ในตอนพักเที่ยงเธอและเขาจึงคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ไม่ได้โฟกัสที่งานเช่นเมื่อวานอีกแล้ว
“สวนสัตว์.... กล้วยเคยไปรึยังครับ พี่ว่าน้องบัวน่าจะชอบนะมันมีหลายโซน มีทั้งสวนสัตว์ Exotic มีส่วนแสดงความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์แล้วก็มีโซนเครื่องเล่นต่างๆ เหมาะกับเด็ก”
ธนนท์ถามระหว่างที่เขาสองคนรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“ยังเลยค่ะ กล้วยก็มองๆ อยู่แต่ว่าเพิ่งย้ายมาด้วยอะไรๆ ยังไม่ลงตัวก็เลยยังไม่ได้พาน้องบัวไปสักที”
“อาทิตย์หน้าไปสิครับทางสวนสัตว์มีกิจกรรมพิเศษ ไปก่อนเปิดเทอมพี่ว่าก็ดีนะ” เขาชวนทำให้กัทลีมีท่าทางสนใจ
“น่าสนใจค่ะ เดี๋ยวกล้วยไปถามน้องบัวก่อนนะคะว่าแกสนใจไหม” เธอยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
“งั้นถ้าน้องบัวอยากไปพี่ขอเป็นไกด์พาไปนะครับ ไปด้วยกันหลายๆ คนสนุกดี”
วันนั้นการประชุมปิดลงตั้งแต่ช่วงบ่าย กัทลีจึงมีเวลาไปรับลูกเร็วขึ้น เธอโทรบอกน้องบัวว่าแม่จะไปรับก่อนเวลาซึ่งเด็กหญิงก็รับคำอย่างรวดเร็วจนเธออดแปลกใจไม่ได้
เมื่อไปถึงฟาร์มแล้ว น้องบัวนั่งรอแม่อยู่ที่ระเบียงบ้านเมื่อเห็นรถยนต์ของมารดาจอดลงที่ริมรั้วเธอก็รีบลุกวิ่งออกมาหาแม่ทันที
“วิ่งมาทำไมคะลูก เดี๋ยวก็ล้มแล้วหนูบอกพ่อหรือยังว่าแม่มารับเร็ววันนี้พ่อรู้แล้วใช่ไหมคะ”
กัทลีถามเด็กหญิงที่มีสีหน้าบูดบึ้งแต่ในใจก็ประเมินสถานการณ์ไปด้วย
‘พ่อขัดใจอะไรสักอย่างแน่ทรงนี้’ เธอคิดในใจ
“บอกแล้วค่ะ แต่พ่อคงไม่สนใจหนูหรอก” น้องบัวยกมือขึ้นกอดอกทำให้คนเป็นแม่หรี่ตามอง
“พ่ออยู่ไหนคะ เดี๋ยวแม่จะเข้าไปบอกเขาว่าแม่มารับหนูแล้ว”
“อยู่ในห้องรับแขกค่ะแม่ กับยายป้าปลาทอง” เด็กหญิงบอกทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว
“ทำไมเรียกใครแบบนั้นล่ะคะ ไม่น่ารักเลยหรือว่ามีใครทำอะไรหนูบอกแม่ได้นะ”
น้องบัวส่ายหน้าไปมา กัทลีดึงลูกมากอดไว้ตอนนั้นเองที่หิรัญเดินออกมาจากบ้านโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามออกมา
หิรัญยกมือขึ้นเคาะกระจกรถ กัทลีลดกระจกลงเธอจึงได้เห็นหน้าคนอีกคนที่มากับเขา เบญจานั่นเอง
“ฉันกำลังจะเข้าไปบอกคุณพอดี ว่าจะรับลูกกลับแล้ว”
“ทำไมมาเร็วล่ะ วันนี้คุณเสร็จงานแล้วเหรอกล้วย” เขาถาม
“ใช่ วันนี้สัมมนาจบแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะหิน จ๋าด้วยฉันไปนะ น้องบัวไหว้ลาคุณพ่อกับน้าจ๋าสิลูก” เธอลาหิรัญและบอกเลยไปยังคนด้านหลังอีกคน
“ฮื่อ หวัดดีนะกล้วย” เบญจายกมือเป็นเชิงทักทาย
หญิงสาวหันไปมองลูกเห็นแกยกมือสวัสดีคุณพ่อก็เบาใจ แต่ทว่า “สวัสดีค่ะคุณพ่อหนูกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณป้าหนูจะกลับบ้านแล้วนะคะ”
เบญจาชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อเด็กหญิงเรียกเธอว่าป้า แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจว่าเธอไม่พอใจ หิรัญยกมือโบกลาให้ลูกและยิ้มกว้างพลางสัญญากับเด็กหญิง
“ค่ำนี้ก่อนนอนพ่อโทรหานะคะน้องบัว”
“ค่ะคุณพ่อ” เด็กหญิงตอบก่อนที่กัทลีจะเลื่อนกระจกขึ้นตามเดิมและเคลื่อนรถยนต์ออกจากตรงนั้น
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั