กลับถึงบ้าน กัทลีบอกลูกว่าธนนท์ชวนไปเที่ยวสวนสัตว์ตามที่ชายหนุ่มบอกไว้ ซึ่งเด็กหญิงก็ตอบตกลงทันทีว่าจะไปตามประสาเด็กๆ ที่ชอบไปทั้งสวนสัตว์และสวนสนุก
“หนูอยากไปค่ะแม่ แม่กับลุงนนท์จะพาไปจริงๆ นะคะ” เธอถามสีหน้าดูเบิกบาน
“ใช่ค่ะ ไปกันจริงๆ สวนสัตว์ก็อยู่ไม่ไกลด้วยลูก ขับรถไปไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว แล้ววันนี้หนูอารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไรบอกแม่ได้ไหมคะ” กัทลีตะล่อมถาม
น้องบัวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกช้าๆ
“หนูไม่ชอบป้าคนนั้นเลย เขามองหนูไม่ดีพูดกับหนูก็ไม่ดีด้วยค่ะ”
กัทลีขมวดคิ้ว “ไม่ดียังไงคะลูก เล่าให้แม่ฟังได้ไหม”
“ก็เขาถามว่าทำไมหนูต้องมาหาพ่อทุกวันเลยเหรอ ทำไมไม่ไปทำงานกับแม่บ้าง”
กัทลีค่อนข้างงง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเบญจาที่จะมาถามแบบนี้กับเด็ก มันดูไม่น่าเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่โตแล้วจะทำแต่เธอเชื่อว่าลูกเธอไม่เคยโกหก
“แล้วมีอะไรอีกไหมลูก เขาว่าอะไรอีกไหม”
น้องบัวพยักหน้า
“ค่ะแม่ เขาบอกว่าหนูต้องหัดอยู่กับแม่หรือไม่ก็อยู่คนเดียวที่บ้านได้แล้ว เพราะอีกหน่อยถ้าพ่อแต่งงานมีลูกใหม่ หนูจะกลายเป็นหมาหัวเน่าพ่อเขาจะไม่รักหนูแล้วเหมือนเมื่อก่อนค่ะ”
น้องบัวเล่าจบก็น้ำตาร่วงเผาะทำให้คนเป็นแม่โกรธมาก
“แล้วหนูบอกพ่อไหมคะว่าเขาพูดแบบนี้”
เรื่องของหิรัญกับเบญจาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เธอไม่สนใจจุดนี้แต่ว่าหากหิรัญจะแต่งงานใหม่ ก็อย่าฝันว่าเขาและเมียใหม่จะมาทำร้ายลูกของเธอได้อีก
น้องบัวส่ายหน้า “พ่อคุยกับเขาตลอด พ่อไม่สนใจหนูเลย ปล่อยหนูมานั่งรอแม่หน้าบ้านคนเดียว”
กัทลีสงสารลูกจับใจ “ลูกแม่ แม่ขอโทษนะคะที่ปล่อยให้หนูเจอเรื่องแบบนี้”
“หนูไม่ไปหาพ่อแล้วค่ะ หนูจะอยู่บ้านกับพี่แหม่มแล้วรอแม่กลับจากทำงาน” เด็กหญิงพูดเสียงอู้อี้ปนสะอื้นไปด้วย
วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆ มาน้องบัวไม่ยอมไปหาพ่อจริงๆ แม้ว่าหิรัญจะโทรมาถามกัทลีว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเธอจึงไม่ให้ลูกไปอยู่ที่ฟาร์มอีกจนกว่าจะเปิดเทอมตามที่เคยสัญญากันไว้ ซึ่งหญิงสาวก็บอกไปว่าเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน เธออยากให้น้องบัวมีเวลาทบทวนบทเรียนที่บ้านมากกว่า ชายหนุ่มจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับ
จนกระทั่งถึงสุดสัปดาห์ต่อมา กัทลีและลูกไปสวนสัตว์กึ่งสวนสนุกชื่อดังของจังหวัดสระบุรีตามที่ธนนท์เคยชวนสองแม่ลูกไว้ ซึ่งน้องบัวก็มีท่าทีกระตือรือร้นอยากไปมาก
“ลุงนนท์ขา หนูอยากไปดูอัลปาก้าค่ะ”
บัวชมพูพูดเสียงใส มือเล็กๆ กระตุกชายเสื้อของธนนท์เบาๆ เธออยากเห็นอัลปาก้าตัวจริงมานานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะน่ารักแบบในหนังสือนิทานหรือไม่
“งั้นเราไปดูกันเลยครับสาวน้อย แต่ระวังอย่าเดินห่างแม่นะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” เขาหันไปยิ้มให้กัทลีซึ่งเดินตามหลังห่างๆ
ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวเผลอยิ้มบางๆ ธนนท์เคยบอกว่าเขาไม่ถนัดเรื่องเด็ก แต่ดูเหมือนวันนี้เขาเต็มใจเรียนรู้ทุกอย่างจากลูกของเธอตั้งแต่ชื่อสัตว์หายาก จนถึงท่าทางที่น้องบัวใช้เรียกหาสัตว์แต่ละตัว
“ลุงนนท์ ตรงนี้มีเต่าตัวใหญ่ด้วยหนูชอบค่ะ เหมือนที่พ่อเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มเลย”
เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก แต่นั่นทำให้กัทลีและธนนท์ต่างชะงักไปเมื่อเด็กหญิงพูดถึงพ่อของเธอ
“ถ้าหนูชอบเต่างั้นเดี๋ยวเราไปดูเต่าอัลลิเกเตอร์ไหมครับ มันเป็นเต่าสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์เลยนะ” ธนนท์เบี่ยงเบนความสนใจ
“ยังไงเหรอคะคุณลุง แปลว่าอะไร” น้องบัวทำหน้าอยากรู้
“กลุ่มเต่าดึกดำบรรพ์ก็หมายถึงว่ามันมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์และยังสืบเผ่าพันธุ์มาถึงปัจจุบัน”
น้องบัวทำตาโต “โอ้โฮ ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์เลยเหรอคะ แล้วเรารู้ได้ยังไงคะคุณลุง”
“ที่รู้ก็เพราะเราเคยพบฟอสซิลของมันตั้งแต่ยุคนั้น โดยการตรวจสอบอายุเราเชื่อกันว่ามันมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่เก้าสิบล้านปีก่อน” ธนนท์อธิบายต่อ
“จริงๆ ที่นี่มีโซนไดโนเสาร์ด้วยครับ ถ้าวันนี้เราดูไม่ทั่วเอาไว้เรามากันใหม่ก็ได้นะครับน้องบัว” เขาชวนน้องบัวรีบพยักหน้า
“จริงด้วยค่ะ แม่ๆ คราวหน้ามาด้วยกันอีกนะคะ”
กัทลีพยักหน้ารับเบาๆ เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มข้างตัวเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังเก็บเอาไว้
หลังจากเดินชมในโซนสวนสัตว์จนทั่วแล้วก็ได้เวลาเที่ยงพอดี พวกเขานั่งพักที่คาเฟภายในสวนสัตว์โดยที่ร้านนั้นมีบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เด็กหญิงดูดนมชมพูสมูทตี้อย่างอารมณ์ดี ขณะธนนท์ยื่นทิชชูให้กัทลีเช็ดมือลูก เขาถามเบาๆ
“วันนี้สนุกไหมครับ”
“สนุกค่ะ ไม่คิดเลยนะคะว่าที่นี่จะมีอะไรน่าดูเยอะแยะเลย” เธอตอบและเผลอหลุดหัวเราะเมื่อเห็นลูกเลอะนมเต็มปาก
ธนนท์จ้องเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา “พี่ไม่เคยคิดว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ได้เลยนะกล้วย…”
เธอชะงักนิดหน่อย เขาจึงพูดต่อ
“พี่ไม่อยากเร่งอะไร... แต่คิดว่าพี่กำลังเริ่มเข้าใจว่าการมีครอบครัวจริงๆ นั้นเป็นยังไง”
กัทลีเงียบเธอไม่ตอบอะไรในตอนนั้น แต่ในใจเธอก็เริ่มคิดมากและกังวลเพราะคำว่า “ครอบครัว” มันเคยเป็นแค่ภาพจำเจ็บปวดจากอดีตทั้งจากครอบครัวเดิมของตัวเองและทั้งจากหิรัญ เธอจึงไม่เคยกล้าหวังว่าตัวเองจะมีครอบครัวที่อบอุ่นได้จริงๆ
จนถึงวันเปิดเทอมระหว่างที่กัทลีกำลังเตรียมของจะไปส่งลูกที่โรงเรียน ธนนท์โทรเข้ามาชายหนุ่มใช้น้ำเสียงสุภาพ ชวนพูดเรื่องงานกิจกรรมของชุมชนที่เคยวางแผนร่วมกัน ซึ่งกัทลีก็ตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
แต่เมื่อธนนท์ถามขึ้นมาว่า
“กล้วยครับ... ถ้าวันหนึ่งเราไม่ต้องทำงานร่วมกันแล้ว พี่ยังจะโทรหาเราได้ไหม?”
คำถามนั้นทำให้กัทลีชะงัก เธอเงียบไปเพียงครู่และตอบว่า
“เราก็เป็นเพื่อนกันได้นะคะพี่นนท์ถ้าพี่ไม่รังเกียจ แต่เราอาจต้องพูดกันให้ชัดเจนว่าขอบเขตของความสัมพันธ์เราอยู่ตรงไหน”
ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดเสียงอ่อนลงว่า
“พี่เข้าใจครับ ขอบคุณที่กล้วยพูดตรงๆ แต่พี่ยังไม่หมดหวังใช่ไหม”
“พี่นนท์คะ กล้วยรู้สึกดีมากเลยค่ะกับเรื่องของเราในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่กล้วยยังไม่อยากคิดอะไรมากกว่านี้ อยากดูแลน้องบัวก่อนค่ะ”
หลังจากวางสายกัทลียังนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอเงยหน้ามองไปหน้าบ้านเห็นหิรัญยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มไม่ได้ยินบทสนทนาแต่สีหน้าของเธอก็เพียงพอจะบอกว่า คนที่อยากเป็นคนที่อยู่ในใจเธอไม่ได้มีแค่เขา
เมื่อกัทลีขับรถออกจากบ้านไปส่งลูกที่โรงเรียน ชายหนุ่มขับรถตามไปด้วยและได้ยืนส่งน้องบัวพร้อมกัน เด็กหญิงไหว้ลาทั้งพ่อและแม่และเดินเข้าโรงเรียนไปกับคุณครู หิรัญถอนใจเบาๆ เขารู้สึกว่าลูกห่างจากเขาไปมากกว่าเดิมแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
กัทลีแยกตัวไปทำงานโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขา หิรัญจึงกลับไปที่ฟาร์มเมล่อน ทำงานตามปกติที่ต้องทำในทุกวัน เขาเช็กต้นเมล่อนและเมื่อเดินไปจนถึงต้นที่น้องบัวจองไว้ ผลของมันโตขึ้นมากแต่เขาถอนใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่กำลังจะดีกลับเปลี่ยนไป
การได้อยู่ในแปลงเพาะชำวันนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเป็นเกษตรกรแต่ทำให้เขารู้สึกว่าการเป็น “พ่อ” นั้นไม่ง่าย เฉกเช่นกับการเป็นสามีที่ดีก็ไม่ง่ายเช่นกัน
เขาเหนื่อย เขาล้า เขายังไม่รู้ว่าจะได้หัวใจของลูกและเมียกลับคืนมาไหม แต่เขารู้ว่า...เขาต้อง “อยู่”
อยู่ให้ถึงวันที่พวกเธอแน่ใจว่า เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และเขายังเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์บางเมล็ด… แม้จะงอกช้าแต่มันยังมีวันผลิบานถ้าเราไม่เลิกรดน้ำมันกลางคัน
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั