หิรัญนั่งเงียบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เขาใช้มันวางแผนและบันทึกการทำงานทุกอย่างในฟาร์ม ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองปฏิทินแล้วถอนหายใจยาว วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของลูกเขาได้ไปส่งตามที่เคยบอกน้องบัวไว้ แต่ในระหว่างเขาและลูกกลับเกิดระยะห่างแบบที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เสียงโทรศัพท์สั่นมันเป็นแจ้งเตือนการทำงานในฟาร์มไม่ใช่สายโทรเข้าหรือข้อความจากใครที่เขารอ ไม่มีภาพกิจกรรมของลูกในวันแรกที่ไปโรงเรียนที่ปกติครูจะส่งให้ผู้ปกครอง รวมถึงไม่มีข้อความจากกัทลีแจ้งความคืบหน้าใดใด
ชายหนุ่มมองมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น เดินไปยังโดมปลูกที่มีต้นเมล่อนของน้องบัวอยู่ เขาตรงไปหาต้นเมล่อนต้นนั้นมองดูต้นไม้ที่ผลผลิตกำลังโตขึ้นทุกวัน
“วันนี้หนูเปิดเทอมแล้วนะครับน้องบัว…” เขาพูดกับต้นเมล่อนเบาๆ
“พ่อขอโทษนะลูก ที่ปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้” เขาตัดสินใจโทรไปหากัทลี เพื่อไขข้อข้องใจว่าระหว่างเขากับน้องบัวมันเกิดอะไรขึ้น
บ่ายวันนั้นเบญจามากับคนงาน เพื่อเอาอุปกรณ์การเกษตรที่เจ้าของฟาร์มหนุ่มสั่งมาส่งด้วยตัวเอง
“เราว่าหินน่าจะทำห้องเก็บของเป็นเรื่องเป็นราวนะ จะได้เก็บของได้แบบดีๆ ตอนนี้ของยังไม่เยอะรีบทำบัญชีไว้จะได้ง่ายๆ”
“ขอบคุณที่แนะนำนะจ๋า” เขาตอบเป็นงานเป็นการทำให้หญิงสาวค้อนน้อยๆ อย่างมีจริต
“แหม... พูดซะห่างเหินเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลกัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกหินถ้าเธอไม่ว่างให้เรามาช่วยก็ได้นะ งานแบบนี้เราถนัด” เบญจาเสนอตัว
“ไม่เป็นหรอกจ๋า ขอบใจนะแต่เราทำกันเองได้ อ้อผมมีอะไรอยากถามคุณด้วย”
เบญจาเลิกคิ้ว หรือว่าเขาจะถามว่าเธอยังโสดไหม หญิงสาวยิ้มกว้าง “หินจะถามอะไรเราเหรอ ถามได้เลย”
“วันก่อนคุณพูดอะไรกับลูกผม”
หิรัญถามตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อมอะไรทั้งนั้น ทำเอาเบญจามีสีหน้าตกใจ
“พูดอะไรเหรอ ก็คงแค่ทักทายธรรมดาไม่มีอะไรนี่หิน”
หิรัญมองเธอด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“งั้นเหรอ แปลว่าน้องบัวคงฟังผิดไปเองหรือไม่ก็คงจำผิดว่ามีใครมาบอกว่าผมจะแต่งงานใหม่ มีลูกใหม่แล้วแกจะกลายเป็นหมาหัวเน่า”
“ใครจะไปพูดแบบนั้นกับเด็กล่ะหิน เห็นเราเป็นคนยังไง” เบญจาเสียงแข็ง
“เผื่อคุณไม่รู้นะจ๋า บ้านผมมีกล้องวงจรปิด”
เบญจาหน้าซีด
“เดี๋ยวนะหินอย่าเพิ่งโกรธ เราหวังดีกับน้องบัวกล้วยเองก็เป็นเพื่อนเรานะ เราแค่หวังดีอยากให้น้องบัวยอมรับความจริงว่าพ่อแม่เลิกกันแล้ว ก็ต้องอยู่เองให้ได้หลานจะได้เข้มแข็งเราผิดตรงไหน”
“ความจริงก็คือคุณเป็นคนอื่นสำหรับครอบครัวผมไงจ๋า เพื่อนก็ต้องมีขอบเขต ส่วนกล้วยถึงผมจะหย่ากับเขาก็เพราะเขาขอหย่า แต่ผมไม่ได้เป็นคนอยากหย่า ไม่ว่ายังไงสองคนนั้นก็คือครอบครัวของผมคงไม่ต้องให้คนอื่นแบบคุณมาคอยสอนหรือหวังดี”
หิรัญหยุดหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ผมจะซื้อของที่บ้านคุณเป็นรอบสุดท้าย ถ้าความหวังดีอยากอุดหนุนเพื่อนถึงจะรู้ว่าคุณขายแพงกว่าเจ้าอื่นสองเท่า มันทำให้คุณสำคัญตัวผิดเราก็คงดีลธุรกิจกันต่อไม่ได้ คุณส่งของเสร็จแล้วอย่ามาที่นี่อีกเพราะลูกผมไม่ชอบคุณ”
ชายหนุ่มตะโกนเรียกคนงานเสียงดัง “สิงห์โว้ย มึงมาเช็กของทีสิกูจะเข้าฟาร์ม”
เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกมารวดเร็วทันใจเพราะคอยสังเกตสถานการณ์อยู่แล้ว และหิรัญก็หันหลังเดินย่ำลงจากเรือนโดยไม่หันมามองเบญจาอีก
เย็นวันนั้นกัทลีกลับมาถึงบ้านพร้อมกับน้องบัว ที่เธอไปรับหลังเลิกงาน เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็ได้รับข้อความจากหิรัญ
“น้องบัวสบายดีไหมครับวันนี้ คุณแม่ช่วยบอกน้องหน่อยได้ไหมว่าพ่อคิดถึง”
เธออ่านข้อความนั้นแล้วนิ่งอยู่นาน ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ ตามจริง ช่วงนี้น้องบัวยังไม่พร้อมจะคุยเรื่องพ่อ เธอลองถามเด็กน้อยก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นแทน
“ลูกสบายดีค่ะ แต่ตอนนี้แกยังไม่อยากคุยกับคุณ”
เมื่อใจเย็นลงและได้คุยกันในตอนกลางวัน ได้รู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้น้องบัวรู้สึกไม่ดี เธอจึงคุยกับเขาได้เป็นปกติและยังใจกว้างมากพอที่จะไม่โกรธหิรัญ
สิ่งที่เบญจาทำไม่ดีกับลูกเขาเองก็ไม่ได้รู้เห็นด้วย แต่เธออยากให้ชายหนุ่มเข้าใจว่า ความรักนั้นต้องพิสูจน์ ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นการกระทำที่จะบอกแทนคำพูดได้ดีที่สุดและสิ่งนี้ต้องใช้เวลา
และแม้สิ่งที่เบญจาพูดเป็นคำโกหก แต่ความเสียใจของน้องบัวนั้นคือเรื่องจริง ดังนั้นการที่จะทำให้ลูกกลับไปเชื่อใจอีกครั้ง มันต้องเริ่มจากความอดทนมากพอที่จะรอให้เวลาเป็นผู้จัดการเรื่องราวให้ดีขึ้นเองได้ในที่สุด
ในตอนกลางดึกวันนั้นหิรัญนอนไม่หลับ เขาลุกขึ้นมาทำป้ายไม้เล็กๆ เขียนคำว่า “บัวชมพู” แล้วปักไว้หน้าต้นเมล่อนของน้องบัวชายหนุ่มมองมันนิ่งๆ และคิดเพียงว่า
“หนูอาจยังไม่หายโกรธพ่อ แต่พ่อรอได้นะลูก”
เช้าวันต่อมาน้องบัวออกจากบ้าน เด็กหญิงมองไปรอบๆ เหมือนมองหาใครสักคน กัทลีสังเกตเห็นเธอจึงถามลูก
“หนูหาอะไรเหรอคะ หรือว่ารอพ่อ”
น้องบัวสั่นหน้าจนผมกระจาย เธอรีบปฏิเสธ “เปล่าค่ะแม่ หนูโกรธพ่ออยู่จะมองหาพ่อทำไม”
กัทลีอมยิ้ม เธอเปิดโทรศัพท์ “แม่มีอะไรให้หนูดูด้วยล่ะ”
หญิงสาวส่งหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพป้ายไม้เขียนชื่อบัวชมพู ปักไว้ที่หน้าต้นเมล่อนต้นหนึ่งให้เด็กหญิงดู น้องบัวมองแล้วเผลอยิ้ม
“ชื่อหนูค่ะแม่”
“ใช่ค่ะชื่อหนู พ่อเขาทำให้เขาทาสีป้ายเองเลยนะ สีชมพูสวยไหมลูก” กัทลีเล่าเรื่อยๆ น้ำเสียงอ่อนโยนน้องบัวพยักหน้า
“สวยค่ะแม่”
“ถ้าหนูอยากเห็นเดี๋ยววันหยุดแม่พาไปดูไหมคะ” เธอถามต่อแต่เด็กหญิงทำท่าลังเล
“ยังไม่รู้เลยค่ะแม่”
กัทลีอมยิ้ม เธอไม่มีเหตุผลจะเร่งอะไรลูก “ไม่เป็นไร งั้นวันนี้เราไปโรงเรียนกันเถอะแม่ไปส่งค่ะ”
สองแม่ลูกขึ้นรถยนต์ กัทลีใช้เวลาขับรถไม่นานก็ถึงที่หมายเธอจอดรถชิดริมรั้วของโรงเรียนสามภาษาชื่อดัง หญิงสาวจูงมือลูกเดินไปตามทางเดินเล็กๆ เพื่อเข้าโรงเรียน
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงประตูรั้ว น้องบัวชะงักเมื่อเห็นคนที่มายืนรอหน้าประตู
“คุณพ่อ” เด็กหญิงเรียกอย่างลืมตัวว่าโกรธอยู่
หิรัญยิ้มให้ลูก ในมือเขามีขนมที่ย่าจันทร์หอมทำมาฝากให้หลานสาว มันคือขนมเมอแรงอบหวานน้อยที่เด็กหญิงชอบ
“คุณย่าฝากขนมมาให้หนู อันนี้หนูชอบใช่ไหมคะ” เขาชูถุงในมือให้เธอเห็น น้องบัวพยักหน้าเร็วๆ
“ชอบค่ะ” เธอรับถุงขนมจากมือพ่อ “พ่อขาหนูอยากไปดูป้ายที่ต้นเมล่อนด้วยค่ะ”
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั