หิรัญชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากลูกสาว เขายิ้มกว้างขึ้นโดยไม่พูดอะไรในทันทีเพราะพูดไม่ออก นอกจากพยักหน้ารับเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้ามองกัทลีด้วยความรู้สึกขอบคุณก่อนจะก้มลงคุยกับลูกสาว
“ได้เลยค่ะลูก วันเสาร์นี้ดีไหม พ่อจะเตรียมที่ไว้ให้หนูไปเดินเล่นด้วยเลย”
“จริงนะคะ หนูอยากไปค่ะพ่อ”
“จริงสิครับ”
กัทลียืนอยู่ข้างๆ ฟังการสนทนาของสองพ่อลูกเงียบๆ โดยที่เธอไม่ได้พูดแทรก ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่หิรัญทำในตอนนี้เขาทำเพื่อใจเล็กๆ ของลูกที่เคยบอบช้ำ
เมื่อส่งลูกเข้าโรงเรียนเสร็จ หญิงสาวกำลังจะเดินกลับไปยังรถ หิรัญเดินตามมาเงียบ ๆ
“ขอบคุณนะกล้วย ที่ช่วยให้โอกาสผมได้ใกล้ลูกอีกครั้ง” เขาเอ่ยเบาๆ
กัทลีไม่ได้ตอบในทันที เธอมองไปยังต้นไม้ข้างทางก่อนจะหันกลับมา
“อย่าเพิ่งขอบคุณค่ะหิน... เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของโอกาส มันคือเรื่องของความรับผิดชอบที่คุณควรทำอยู่แล้ว”
คำพูดของเธอแม้จะราบเรียบแต่ไม่ได้เย็นชา หิรัญพยักหน้ารับเงียบๆ เขารู้แล้วว่าคำว่า "พ่อ" ต้องใช้เวลาสร้างความผูกพัน ไม่ใช่แค่ใช้ความเป็นสายเลือดเดียวกันฉุดรั้งความสัมพันธ์นั้นไว้
เย็นวันศุกร์ หมวกฟางขนาดสำหรับเด็กหนึ่งใบถูกวางเตรียมไว้ที่โต๊ะกลางบ้าน หิรัญจัดของว่าง ผลไม้ และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับต้อนรับลูกสาว เขาติดป้ายกระดาษแข็งไว้ข้างหน้าต่างกระจกที่เขียนด้วยลายมือของเขาเองมีข้อความว่า ‘ยินดีต้อนรับน้องบัวกลับบ้านของเรา’
เราต้องไม่พลาดอะไรอีกแล้ว ชายหนุ่มคิดในใจ
เช้าวันเสาร์
รถยนต์ของกัทลีเลี้ยวเข้ามายังถนนเล็กๆ ภายในฟาร์มเมล่อน
น้องบัวเปิดประตูลงก่อนแม่ เธอวิ่งเข้าไปในโดมเมล่อนหาแผ่นไม้ป้ายชื่อบัวชมพูทันทีโดยไม่ต้องรอใครนำทางหิรัญรีบออกมาต้อนรับทั้งแม่และลูก เขามองตามร่างเล็กที่วิ่งหายเข้าไปในโดมก่อนจะหันมายิ้มให้กัทลีอย่างขอบคุณ ชายหนุ่มเดินตามเด็กหญิงตัวน้อยโดยมีกัทลีเดินตามไปดูลูกด้วย ภาพที่อดีตคู่สามีภรรยาเห็นพร้อมกันก็คือเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าต้นเมล่อน
“พ่อขา ลูกเมล่อนโตขึ้นจริงๆ ด้วยค่ะ” เด็กหญิงตะโกน
“ใช่ครับ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเก็บได้แล้ว พ่อจะเก็บไว้ให้หนูคนเดียวเลย”
น้องบัวเอามือเล็กๆ ของเธอลูบไปตามป้ายชื่อตัวเองไปมาอย่างเบามือทะนุถนอม “หนูชอบป้ายนี้จังค่ะ”
บรรยากาศของฟาร์มวันนั้นอบอุ่นเป็นพิเศษ ทั้งสามคนเดินชมรอบฟาร์มด้วยกัน หิรัญเล่าเรื่องการปลูกเมล่อนแบบไม่ใช้สารเคมีฆ่าแมลงให้ลูกฟัง และเลยไปมองดูคลิป [1]ผีเสื้อยักษ์ใบกระท้อนตอนออกจากดักแด้ เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพได้ในตอนกลางคืน
“หนูอยากเห็นตอนน้องผีเสื้อออกจากดักแด้ค่ะพ่อ”
“งั้นหนูต้องมาค้างที่นี่แล้วค่ะลูก เพราะเขาจะออกจากดักแด้ตอนกลางคืน”
“อ้าว ตอนกลางวันไม่มีเหรอคะ” น้องบัวทำสีหน้าข้องใจ
“เขาเป็นหนอนกลางคืนค่ะลูก จะออกจากดักแด้ตอนกลางคืนเท่านั้น” หิรัญอธิบาย
ชายหนุ่มพาลูกลงจากบ้านไปดูผีเสื้อตัวเต็มวัยที่เกาะกิ่งไม้นิ่งที่ต้นกระท้อน มันเกาะอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ออกจากดักแด้เมื่อคืนจนถึงตอนนี้
“แล้วน้องผีเสื้อจะหิวไหมคะพ่อ เราหาอะไรมาให้น้องกินได้ไหม” น้องบัวคิดว่าผีเสื้ออาจจะหิวจนไม่มีแรงบินไปไหน เลยอยู่นิ่งๆ ทำให้คุณพ่อหัวเราะ
“น้องไม่หิวค่ะลูก ผีเสื้อยักษ์จะไม่กินอะไรเลยตั้งแต่กลายเป็นผีเสื้อเพราะเขากินมาเต็มที่ตั้งแต่ตอนที่เป็นหนอน”
“น่าสงสารจังค่ะพ่อ”
“มันเป็นธรรมชาติของเขา เป็นวัฏจักรชีวิตก่อนตายผีเสื้อจะผสมพันธุ์วางไข่แล้วก็วนกลับมาเป็นหนอน เป็นดักแด้ใหม่ไงลูก”
กัทลีนั่งฟังอยู่ห่างๆ มองเห็นแววตาลูกที่สดใสกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน และมากกว่านั้นเธอได้เห็นหิรัญคนเดิมที่จากเธอไปนานถึงแปดปี ความมุ่งมั่นในวันนี้ ความฝันและความหวังที่เขาทุ่มลงไปกับฟาร์มนี่คือเขาคนเดิมที่เป็นคนเดียวกับคนที่เคยจากเธอไปจริงๆ
ตอนเที่ยงหิรัญสั่งแม่ครัวของฟาร์มทำอาหารเพิ่มสำหรับกัทลีและน้องบัว กัทลีจึงใช้เวลาที่พ่อลูกอยู่ด้วยกันไปดูงานในครัวแทน
หญิงสาวเห็นด้วยกับการที่เขาจ้างแม่ครัวมาทำอาหารและทำความสะอาดเพื่อที่เขาและคนงานจะได้ทำงานกันเต็มที่ และมีอาหารกินกันอิ่มและถูกใจมากกว่าซื้อทุกมื้อ ข้อดีที่หิรัญเลี้ยงอาหารเที่ยงคนงานถือเป็นสวัสดิการนั่นก็เป็นการซื้อใจคนทำให้งานเขาไม่สะดุดช่วงบ่ายหลังมื้ออาหารเที่ยง หิรัญชวนลูกทำขนมง่ายๆ อย่างแพนเค้กกล้วยหอมในโรงครัวของฟาร์ม
“นี่ไง ขนมที่ใช้กล้วยทำเหมือนชื่อแม่หนูเลย” เขาพูดหยอก
“แต่หนูชื่อบัวนะคะ ไม่ใช่กล้วย” เด็กหญิงตอบพลางหัวเราะ
“พ่อพูดถึงแม่ไงลูก”
หิรัญหันมายิ้มให้กัทลีที่กำลังล้างผลไม้ เธอไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“คุณแม่ชื่อกัทลี แล้วกัทลีหมายถึงกล้วยอะไรคะแม่ กล้วยน้ำว้าเหรอคะหรือว่ากล้วยหอม” จู่ๆ น้องบัวก็เกิดสงสัยเกี่ยวกับชื่อของมารดาขึ้นมา
กัทลีหัวเราะอย่างเอ็นดูลูกสาว “ไม่ใช่กล้วยพวกนั้นหรอกลูก ชื่อกัทลีของแม่หมายถึงกล้วยกัทลี เป็นกล้วยประดับน่ะ”
เด็กหญิงทำหน้าสงสัย หิรัญจึงเปิดภาพกล้วยกัทลีในระบบอินเทอร์เน็ตให้ลูกดู “สวยจังเลยค่ะ สวยเหมือนแม่เลย”
“พ่อจะหาต้นจริงมาปลูก ถ้าหนูอยากเห็น” หิรัญเอาใจลูกเต็มที่ทำให้น้องบัวรีบพยักหน้า
“หนูรักพ่อจังค่ะ”
‘ตาย กูตายแน่’ หิรัญบอกตัวเอง แค่ลูกบอกรักเขาก็ไปไหนไม่รอดแล้ว ตายอย่างสงบศพสีชมพู
เย็นวันนั้นกัทลีบอกว่าจะต้องกลับก่อนค่ำ น้องบัวรีบขออนุญาตแม่ว่าจะนอนค้างที่ฟาร์ม
“แม่ขา หนูขออยู่กับพ่อคืนนี้ได้ไหมคะ หนูอยากช่วยพ่อดูต้นเมล่อนตอนเช้า”
กัทลีชะงักไปเล็กน้อย เธอมองหิรัญซึ่งไม่ได้ตอบ แต่ส่งสายตาขออนุญาตแทนคำพูด
“จะดูต้นเมล่อน หรือว่าจะรอดูผีเสื้อออกจากดักแด้กันแน่คะลูก” หญิงสาวรู้ทันทำให้น้องบัวรีบยิ้มเข้ามากอดแขนมารดาประจบ
“รอดูผีเสื้อด้วยค่ะ แต่หนูจะดูจากกล้องบนบ้านนะคะแม่ แม่ขา”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน
“ก็ได้จ้ะ แต่หนูต้องสัญญาว่าจะโทรหาแม่ก่อนนอนนะ”
“เย้ ขอบคุณค่ะแม่”
[1] ผีเสื้อยักษ์ใบกระท้อน เป็นผีเสื้อกลางคืนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่มีปีกกว้างขนาดประมาณ 25-30 ซม. ผีเสื้อยักษ์ใบกระท้อนหรือมอธกระท้อนมีชีวิตสั้น ผีเสื้อตัวเต็มวัยจะมีอายุตั้งแต่ออกจากดักแด้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่อผสมพันธุ์แล้วก็จะตายไปโดยที่ตอนเป็นผีเสื้อมันจะไม่กินอาหารอะไรเลย
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั