“ใหญ่จะไปไหนลูก” นางเกตุวดีรีบถามเมื่อเห็นบุตรชายลงจากชั้นบน แต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอกทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด
“เอ่อ..ผมมีธุระจะต้องไปจัดการครับแม่” ธาดายังไม่อยากบอกปัญหาที่พบในตอนนี้กับบิดามารดาเพราะเขาเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่
“ธุระด่วนไหม ลูกไม่มีนัดเรื่องงานไม่ใช่เหรอ พ่อแม่มีเรื่องอยากคุยด้วยอยู่คุยกันก่อนได้ไหม”
สายตาขอร้องกึ่งบังคับทำให้ธาดาต้องเปลี่ยนใจจากการออกไปตามหาหัวขโมยเป็นการอยู่คุยกับบิดามารดาก่อน
คุณเธียรนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ตรงหน้าชายสูงวัยมีรูปภาพเซ็ทเดียวกับที่ชายหนุ่มมีนั่นคือภาพของพิชชาและลูกๆ ของเธอ
“หมอกิตเขาบอกพ่อหมดแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ลูกจะไม่ปรึกษาพ่อแม่ก่อนเหรอ” คุณเธียรถามลูกชาย
“ผมตั้งใจว่าจะไปคุยกับผู้หญิงคนนี้ก่อนครับแล้วค่อยมาเรียนพ่อกับแม่”
สีหน้าคุณเกตุวดีค่อนข้างคิดหนักเมื่อฟังบุตรชายพูด
“ลูกจะไปคุยอะไรกับเขา เท่าที่แม่รู้มาทางนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่รู้ว่าสเปิร์มที่เขาได้ไปไม่ใช่สเปิร์มบริจาค”
“หมอกิตบอกแม่อย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช่ บ้านเรากับเขารู้จักกันมานานเขาไม่ใช่คนปกป้องลูกน้องโดยที่ไม่มีเหตุสมควร”
“แล้วเขาตอบได้ไหมละครับ ว่าทำไมลูกน้องเขาถึงเอาสเปิร์มของผมไปผสมให้ผู้หญิงคนนั้น”
“ใหญ่..พ่อว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ หมออนันต์เองก็ฝากสเปิร์มที่นั่นเหมือนกัน เขาน่าจะตั้งใจหยิบของตัวเองไปใช้มากกว่าเพราะงานนี้เขาทำส่วนตัว หนูพิชชาไม่ได้เข้าระบบคนไข้ของโรงพยาบาล”
“พ่อจะบอกว่าเขาตั้งใจหยิบของตัวเองไปใช้แต่หยิบผิดมาเอาของผมไปเนี่ยนะ” ธาดาเสียงสูงแต่เธียรพยักหน้า
“ใช่ ช่องเก็บของแกกับของหมออยู่ติดกัน รหัสติดกันมันก็เป็นไปได้นี่ที่จะมีเรื่องผิดพลาด”
“แต่ความผิดพลาดของเขามันส่งผลตามมาขนาดไหน พ่อก็เห็นนี่ครับ พ่ออาจจะเห็นแก่หมอกิตเลยไม่อยากเอาเรื่องโรงพยาบาล แต่จะให้ผมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ผมทำไม่ได้ยังไงตัวต้นเหตุก็ต้องรับผิดชอบ”
“แล้วใหญ่จะให้ทางนั้นรับผิดชอบยังไง เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วไอ้ลูกอ็อดของลูกก็กลายเป็นเด็กตาดำๆ สองคนนี่จะยัดกลับเข้าท้องแม่เขาก็ไม่ได้แล้วนะ”
ธาดามีท่าทางฮึดฮัดแต่ฌานแอบยิ้มเมื่อได้ยินคุณเกตุวดีพูดคำว่า “ลูกอ็อด” แทนการเรียกว่าสเปิร์ม แถมยังบอกว่าจะให้ยัดเด็กแฝดสองคนกลับเข้าท้องพิชชาก็คงไม่ได้อีกซึ่งเขาก็เห็นด้วย
“แล้วแม่คิดว่าจะแก้ไขยังไงดีที่สุดครับ” ลูกชายถามเสียงเรียบ
“ใหญ่ไม่ต้องจัดการอะไรเลยก็ได้ลูก เรื่องหลานพ่อแม่จัดการเองลูกลืมเรื่องนี้ไปเลยก็ได้นะ” คุณเกตุวดีพูดหน้าตาเฉยแต่ลูกชายทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“แม่ครับ นั่นน่ะลูกผมที่เกิดมาจากสเปิร์มของผม ถือเป็นทรัพย์สินของผมที่ผมต้องเอาคืนมา ไม่งั้นในวันหน้าผู้หญิงคนนั้นเกิดพาเด็กสองคนนั่นมาเรียกร้องค่าเลี้ยงดูหรือทรัพย์สินอะไรเราจะทำยังไง” ธาดาพูดในด้านที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก่อน
“ก็ไม่เป็นไรนี่ หลานแม่แม่ให้ได้หรือว่าคุณมีปัญหาคะ” นางเกตุวดีหันไปถามสามีที่ปฏิเสธทันทีว่าไม่มีปัญหา
ธาดาส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด เขาเดินออกมาทันทีจากห้องนั้นโดยที่มารดาเรียกไม่ทัน
“ตาใหญ่ กลับมาคุยกับแม่ก่อน”
“ช่างลูกเถอะคุณ ถือว่าเราพูดแล้วว่าเราคิดยังไง”
################
หนึ่งชม.ต่อมา รถยุโรปทรงสปอร์ตสีขาวแล่นมาจอดหน้าบ้านของพิชชา ธาดานั่งที่เบาะหลังมองตัวบ้านอย่างพิจารณา
“หลังนี้เหรอ”
“ครับ หลังนี้ไม่ผิดแน่ผมเคยมาดูแล้วทีนึง” ฌานตอบ
“ดูท่าทางก็มีฐานะดี ทำไมทำตัวเป็นหัวขโมยแบบนั้น”
ธาดาเปิดประตูรถลงไปเขาสั่งให้คนสนิทรอบนรถ ชายหนุ่มเดินไปที่หน้ารั้วยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกดกริ่งหรือไม่แต่เสียงเด็กผู้หญิงที่วิ่งมาที่หน้ารั้วและมีเด็กผู้ชายวันเดียวกันวิ่งตามมา ทำให้เขาละสายตามามองเด็กสองคนนี้นิ่งนาน
“แพรว! เดี๋ยวเขาจะฟ้องแม่นะว่าตัววิ่ง” เสียงเด็กชายตะโกนมา
“พุท ตัวเองเดินช้าอย่ามาว่าเขาวิ่งนะ” เด็กหญิงผมยาวสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาผิวขาวจัดหันไปตอบ
ธาดาตัวชาเขายืนนิ่งด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเคยเห็นรูปเด็กทั้งสองมาแล้วนั้นใช่ แต่การได้มาพบตัวจริงความรู้สึกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เด็กหญิงตัวเล็กเองที่หันมาเห็นเขาก็นิ่งไปด้วยความตกใจเช่นกัน
“คุณลุงมาหาใครเหรอคะ” เด็กหญิงพิชนันท์ถอยหลังไปสองก้าวด้วยสัญชาตญาณระวังภัย
ธาดามองร่างเล็กผ่านประตูรั้ว เขาไม่มีโอกาสใกล้ชิดเด็กมากนักจึงทำตัวไม่ถูก ขณะนั้นเด็กชายอีกคนก็มายืนข้างพี่สาวฝาแฝดด้วยท่าทางไม่กลัวใคร
“คุณลุงมาหาใครครับ” เด็กชายณพิชย์ขยับมายืนด้านหน้าเหมือนจะบังร่างคู่แฝด ธาดามองปฎิกิริยาปกป้องของเด็กชายด้วยความพอใจโดยไม่รู้ตัว
“คุณแม่หนูอยู่ไหมครับ” ชายหนุ่มย่อตัวนั่งบนส้นเท้าคุยกับเด็กๆ ภาพนั้นทำให้ฌานที่เปิดประตูตามลงมา ขยี้ตาด้วยความไม่แน่ใจว่าสายตาเขาเพี้ยนหรือเปล่า
ณพิชย์ยังคงจ้องมองธาดาอย่างไม่ไว้ใจ แต่พิชนันท์ส่งเสียงตอบแทน
“คุณแม่อยู่ค่ะ จะให้บอกว่าใครมาหาคะ” คำถามของเธอทำให้ธาดารู้ว่าเด็กหญิงได้รับการอบรมอย่างดี
พิชชารีบออกมาหลังจากที่หาลูกในบ้านไม่เจอ เธอตรงมาหน้าประตูรั้วที่ธาดาและฌานยืนอยู่ด้านนอก โดยมีลูกฝาแฝดยืนมองชายหนุ่มสองคนอย่างสนใจ
“คุณมาหาใครคะ” เธอมองหน้าธาดาแล้วขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นหน้าเขาอย่างประหลาดแต่นึกไม่ออกว่าคุ้นแบบไหน
“ผมมาหาคุณ คุณพิชชา” ธาดาตอบมองเธอสลับกับเด็กทั้งสองคน
“มาหาฉัน” หญิงสาวชี้นิ้วเข้าหาตนเอง
“ผมชื่อธาดา เสขสุรักษ์ ทนายของผมส่งจดหมายเตือนมาถึงคุณแล้วแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ผมเลยต้องมาเอง”
อ้อ.. คนนี้เองเจ้านายของทนายความคนที่ส่งหนังสือถึงเธอ แต่พิชชาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามีเรื่องอะไร
“ลูกเข้าบ้านไปก่อนค่ะ แพรวพุท” เธอก้มลงบอกเด็กทั้งสองคน คู่แฝดทำท่าอิดออดแต่เมื่อมารดาย้ำอีกครั้งจึงพากันเดินเข้าบ้านไป
“ฉันไม่เคยเอาอะไรของคุณมา ถ้าคุณคิดว่าฉันขโมยของอะไรของคุณ คุณน่าจะเข้าใจผิด” พิชชาแน่ใจว่าชีวิตของเธอไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แล้วเธอจะไปขโมยของเขามาได้ยังไง
“เมื่อห้าปีก่อนหมออนันต์ขโมยของของผมมาให้คุณ” ธาดาพูด หญิงสาวคิดตามเธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยรับของมีค่าอะไรจากอนันต์เลย
“ไม่จริง ฉันไม่เคยรับอะไรจากเขา” เธอยืนยันเสียงแข็ง เริ่มคิดว่าธาดาเป็นคนโรคจิตหรือจงใจหาเรื่องเธอ
“เมื่อห้าปีก่อน อนันต์ขโมยสเปิร์มของผมมาผสมเทียมให้คุณ และหลักฐานก็คือลูกคุณทั้งสองคนนั่นไงคุณยังจะปฏิเสธอีกเหรอว่าไม่ใช่” ธาดาพูดช้าๆ ชัดๆ
เธอก้าวลงอ่างนั่งลงกับพื้นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เอนศีรษะพิงขอบอ่างที่บุด้วยเบาะอ่อนนุ่ม ธาดาตามลงมาขัดแขนให้เธอจนทั่วสองข้าง“ต่อไปอันนี้พราวทำเองนะ แล้วล้างออกได้เลยผมจะไปรอข้างนอก” ธาดาทำท่าจะลุกขึ้นแต่เธอเรียกไว้“เดี๋ยวค่ะคุณใหญ่ ขัดหลังให้พราวด้วย พราวทำเองไม่ถึง” หญิงสาวนั่งหันหลังให้เขาเธอปลดปมผ้าขนหนูลงจนเห็นแผ่นหลังเรียบเนียน“จะดีเหรอพราว ผมว่าผิวด้านหลังก็ดีอยู่แล้วนะ ไม่ต้องขัดก็ได้มั้ง” ชายหนุ่มเริ่มคอแห้งกลืนน้ำลายลำบาก“ไม่ได้ค่ะ ทำแล้วก็ทำให้หมด” เธอยืนยัน เขาจึงต้องเริ่มลงเกลือไปทั่วแผ่นหลังเปลือย ธาดาพยายามไม่มองไปทางด้านหน้า ที่ถึงจะมีผ้าขนหนูปิดไว้แต่มันก็ยังล่อตาล่อใจชายหนุ่มแบบเขาเหลือเกิน เขาแข็งใจลงเกลือจนทั่วแล้วรีบลุกออกจากอ่างอย่างรวดเร็ว“พราวล้างตัวได้เลย เสร็จแล้วเรียกผม”ธาดาเดินเร็วๆ ออกมานอกห้อง เขาถอนใจอย่างโล่งอกเจตนาเขาแค่อยากทำความสนิทสนมกับเธอ ยังไม่ได้คิดจะทำเรื่องก้าวล่วงมากกว่านั้น'หรือว่าคืนนี้จะพอแค่นี้ดี' เขาถามตัวเองแต่ขาไม่ขยับออกไปไหน สิบนาทีต่อมาพิชชาส่งเสียงเรียก“คุณใหญ่คะ เรียบร้อยแล้วค่ะเราทำอะไรกันต่อดี” นั่นสิทำอะไรต
พิชชาตามลงมาที่ชั้นล่างตอนนั้นธาดาขนของขึ้นรถหมดแล้ว พิชนันท์และณพิชย์กำลังรอเธอเพื่อจะขึ้นรถท่าทางทั้งคู่ตื่นเต้นมาก“พาเด็กๆ ขึ้นรถเลยก็ได้ค่ะ” เธอรับโทรศัพท์จากพี่สาวไปด้วย สำรวจบ้านไปด้วยว่าลืมอะไรหรือเปล่า พิชชาฟังพิมาลาพูดจากนั้นสีหน้าที่สดชื่นเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยจนธาดาสังเกตุเห็น“เราไม่ไปนะพิม ถ้าพิมอยากไปก็ไปกับพี่อัทแต่เราไม่” เธอพูดแล้วนิ่งฟังปลายสาย สีหน้าพิชชายิ่งนิ่งเฉยมากขึ้น“บอกพวกเขาว่าอย่ามายุ่งกับลูกเรา ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรากับลูกจะเปลี่ยนนามสกุลไปใช้นามสกุลแม่ก็ได้ มันไม่ใช่ปัญหาหรอก”พิชชาคุยต่ออีกสองนาทีเธอจึงวางสาย หญิงสาวสั่งงานแม่บ้านและเดินตามออกมา คู่แฝดขึ้นรถเรียบร้อยส่วนธาดากำลังยืนรอเธออยู่“มีอะไรรึเปล่าพราว” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม“ไม่มีอะไรค่ะ” พิชชาปฏิเสธแต่เธอเห็นความไม่เชื่อบนใบหน้าเขา ธาดาเปิดประตูรถให้เธอขึ้น“เดี๋ยวค่อยไปคุยกันที่บ้านคุณก็ได้ค่ะ”ธาดาพยักหน้าเขาปิดประตูรถก่อนจะอ้อมไปอีกฝั่ง วันนี้ชายหนุ่มขับรถเองเพราะเขาให้เลขาไปทำธุระอื่นก่อนเลิกงานการจราจรติดขัดทำให้กว่าจะถึงบ้านเสขสุรักษ์ก็เกือบค่ำ พิชชาปลุกลูกที่หลับไปพักใหญ่ ในขณะท
ทานอาหารเย็นแล้วธาดาไปส่งพิชชากับลูกแฝดกลับบ้านของเธอ แล้วกลับมาคุยกับบิดามารดาที่บ้าน“ยังไงนะเรา อยู่ๆ ทำไมไปสนิทกับหนูพราวได้” มารดาถามลูกชายทันทีที่เขากลับมาถึงบ้าน“ก็ไม่มีอะไรครับ ผมว่าเขาก็น่ารักดี ปากจัดดี” ธาดายิ้มเมื่อเห็นพ่อแม่ทำหน้าตกใจ เขาหัวเราะก่อนจะกล่าวแก้“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่พราวเป็นคนตรง คิดอะไรก็พูด เลยดูน่าคบหาดี” ถึงไม่มีเรื่องของณพิชย์และพิชนันท์เข้ามา ธาดาคิดว่าเขาก็คงสนใจพิชชาอยู่ดีถ้ามีโอกาสได้พบกันก่อนหน้านี้“ถ้าลูกจริงจังก็ดี”คุณเธียรพูดบ้าง ทั้งที่ชายสูงวัยรู้จักลูกชายตนเองดีว่าธาดาไม่มีนิสัยคบใครไปเรื่อย เรียกว่าที่ผ่านมาเขาไม่คบใครฉันท์คนรักเลยก็ว่าได้ กรณีพิชชาถ้าไม่มีเรื่องหลานเข้ามาธาดาก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักเธอเช่นกัน“ครับพ่อ” ธาดารับคำสั้นๆ“แล้วลูกทำยังไง หนูพราวถึงยอมจะมาค้างบ้านเรา” เรื่องนี้ที่นางสงสัยมาก พิชชาเองดูไม่น่าจะไว้ใจธาดาเร็วขนาดนี้แต่นางก็ต้องยิ่งสงสัยเมื่อลูกชายคนเดียวหัวเราะอีก“พราวเขาคิดว่าผมเป็นเกย์ครับแม่ เขาเลยไม่คิดอะไรถ้าจะมาค้าง” ผู้สูงวัยทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่คุณเกตุวดีจะพูดออกมา“ความจริงก็คงไม่
ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้วทุกคนได้ลงมารับประทานอาหารเช้าที่ศูนย์อาหารและกลับไปเก็บเต๊นท์รวมถึงสัมภาระต่างๆ ขึ้นรถเพื่อออกจากอุทยานแห่งชาติในตอนสายๆ ฌานแนะนำให้ไปเที่ยวสถานที่ใกล้เคียงในระแวกนั้นคือฟาร์มเห็ด สวนผักและไร่สตรอเบอรี่และไร่องุ่นที่คู่แฝดชอบมาก พิชชาซื้อผลผลิตจากไร่ที่ไปเยี่ยมชมไปฝากบิดามารดาของธาดา“ชุดนี้ฉันฝากให้คุณพ่อคุณแม่คุณด้วยนะคะคุณใหญ่” เธอแยกของเป็นสองชุดวางบนรถในตอนที่เขาช่วยเธอยกกลับมาที่รถ“คุณเอาไปให้ท่านเองสิ จะฝากผมทำไม” “ก็กว่าฉันจะไปบ้านคุณก็เสาร์หน้า ผักกับองุ่นจะเน่าก่อน” พิชชาตอบ“บ้านผมไปได้แค่วันเสาร์เหรอ เย็นนี้ไปถึงกรุงเทพฯ แวะบ้านผมก่อนหรือไปพรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าไม่อยากไปเองเดี๋ยวผมไปรับลูกจากโรงเรียนแล้วไปกัน” หญิงสาวนิ่งคิด “คุณไม่ต้องไปรับเด็กๆ ทุกวันก็ได้ค่ะ ฉันเกรงใจ” เด็กอนุบาลเลิกเรียนก่อนบ่ายสาม หากเขาไปรับทุกวันธาดาต้องเสียเวลาทำงานไม่น้อยกว่าวันละสามสี่ชั่วโมง“ลูกถามเรื่องทำไมพ่อแม่ไม่อยู่บ้านเดียวกัน ผมไม่อยากให้เด็กๆ สงสัยอะไรมากกว่านี้” “เด็กๆ ก็ถามไปตามประสาค่ะ เดี๋ยวแกก็ลืมเรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึก
“ไม่ต้องหรอกลูกมันยุ่งไป ผัดมาม่าเอาไว้แม่ไปกินที่บ้านได้” หญิงสาวรีบบอกลูกแต่ณพิชย์ทำหน้าไม่เห็นด้วย“แต่พุทอยากกินด้วยนี่ฮะแม่”“ตกลงใครอยากกิน แม่หรือพุท” ธาดาถามยิ้มๆ เด็กชายก้มหน้าเขินเมื่อถูกจับได้ เขาแอบมองเห็นพิชนันท์ยักคิ้วให้ณพิชย์จึงแลบลิ้นใส่เป็นการตอบแทน“เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้ค่ะคุณใหญ่” พิชชาเดินมาใกล้เตาแก็สน้ำในกากำลังเดือดปุดๆ เธอใช้กรรไกรตัดซองโอวัลตินเทใส่ถ้วย“พุทหยิบถุงขยะมาให้แม่หน่อยครับ” เธอออกคำสั่งกับลูกชาย หญิงสาวต้องการสอนให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบในการมาเที่ยว“ต้องเอาถุงขยะมาใส่ด้วยเหรอแม่ แล้วจะทิ้งที่ไหนคะ” พิชนันท์มองไปรอบๆ เธอไม่เห็นถังขยะเลย“เก็บลงไปทิ้งข้างล่างไงลูก มาเที่ยวแล้วต้องไม่ทิ้งขยะไว้บนนี้โดยเฉพาะพวกถุงพลาสติก” ธาดาเป็นฝ่ายอธิบาย“อ๋อ เดี๋ยวมดขึ้นใช่ไหมคะพ่อ” “ก็ด้วย แต่สำคัญกว่าคือพวกพลาสติกมันไม่ย่อยครับ เราทิ้งไว้ถ้ามีสัตว์ป่ามากินมันก็จะตายเพราะมีพลาสติกในท้อง” คู่แฝดฟังแล้วพยักหน้ารับ ธาดาเทน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูป และถ้วยโอวัลตินจนครบทุกถ้วย เขาเห็นพิมาลาและอัทธกานต์เดินกลับมาพอดีทั้งสองแวะคุยที่หน้าเต็นท์“ทานอะไรไหม
กางเต๊นท์แล้วทั้งหมดไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติ ฌานติดต่อทำเรื่องจองรถไปส่องสัตว์เขาเลือกรอบหนึ่งทุ่มตรงโดยที่จองแบบเหมาคัน ส่วนพิชชาพาเด็กๆ เดินดูนิทรรศการภายในศูนย์ที่แนะนำสัตว์ป่าแต่ละชนิด“เรียบร้อยครับ เราไปเดินเที่ยวกันตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติไหม” ฌานถาม “ไกลไหมคะ เด็กๆ จะเดินไหวไหม” พิมาลา“หนึ่งจุดสองกิโลก็ไม่ไกลมากนะพิม ถ้าพุทแพรวเมื่อยก็อุ้มกลับก็ได้” อัทธกานต์อ่านรายละเอียดของเส้นทางการศึกษาธรรมชาติที่มีจุดเริ่มต้นที่ด้านหลังของศูนย์บริการทั้งหมดเริ่มเดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เป็นทางเดินที่ถูกทำไว้แล้วอย่างดี เดินง่าย วิวสวย จุดถ่ายรูปมีตลอดทาง ณพิชย์และพิชนันท์ต่างตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นระหว่างทาง“หู๊ว.......สวยจังค่ะ” พิชนันท์พูดในระหว่างที่อยู่บนสะพานข้ามลำธาร ธาดาอุ้มสาวน้อยขึ้นมาเพื่อให้ดูวิวได้ถนัด ส่วนณพิชย์เป็นหน้าที่ของฌานเขาให้เด็กชายขี่คอทำให้แฝดน้องสนุกมากกว่าใครพิชชาเดินคู่กับพิมาลาโดยมีอัทธกานต์รั้งท้าย สองสาวเดินไปคุยกันไปเบาๆ“คุณใหญ่เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งรู้ว่ามีลูกเลยนะพราว” พิมาลาสังเกตุเห็นอะไรหลายอย่างที่ชายหนุ