เสียงผ่าไม้ดังสนั่นลั่นเขาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหญิงสาวได้เริ่มงานของตนเองแล้ว ชายหนุ่มจึงพาเด็กน้อยไปยังด้านหลังที่เป็นแปลงปลูกผัก กลายเป็นว่าพวกเขาสลับบทบาทหน้าที่ในบ้านได้ทันทีหลังเห็นพละกำลังของกันและกัน
“ดีที่บนเขายังพอมีผักป่าให้เราเก็บ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้แล้วล่ะ ว่าจะกินอยู่กันยังไง” เฉินเฟิงลากพืชผักที่ไปหามากองไว้ตรงลานโล่งที่ถางจนเตียน
“เดี๋ยวน้องดลช่วยพี่โกยดินมากองรวมกันตรงนี้นะครับ” เริ่มจากปลูกหัวมันสำปะหลังให้รอดก่อน จากนั้นก็เป็นเผือกและต้นหอม อย่างหลังนี่เขาน่าจะเป็นคนนำขึ้นมา จำได้ว่าเคยหยิบเมล็ดผักโปรยไว้หวังให้มันขึ้นเองตามธรรมชาติ ดูเหมือนจะเหลือผู้ชนะแค่เพียงชนิดเดียวนั่นก็คือต้นหอม
อย่างนี้จะเรียกผักป่าได้อีกเหรอ?
“ผมไม่ชอบต้นหอมเลยอะ” น้องดลเบะปากเมื่อเห็นพี่ชายกำลังขุดหลุมปลูกต้นอะไรบางอย่างอีกมุมหนึ่ง พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็คือต้นหอมที่เด็กชายชอบเขี่ยไว้ข้างจาน
“เวลานี้เลือกกินไม่ได้หรอก อีกหน่อยอาหารกระป๋องในบ้านก็จะหมดลง” ชายหนุ่มพูดสอนทั้งมือยังคงขุดปลูกไปเรื่อยจนเสร็จ
“จะไม่มีรถขายกับข้าวผ่านหน้าบ้านแล้วเหรอครับ”
“ถ้ามีก็ดีสิ”
“แล้วผักพวกนี้จะกินได้เมื่อไหร่เหรอครับ” เด็กชายดลมองดูกองดินที่ด้านในมีต้นมันสำปะหลัง ต้นเผือก และต้นหอมของพี่ชาย
“นั่นสินะ” กว่าจะได้กินคงเป็นเดือน
อยากให้โตเร็ว ๆ กว่านี้จัง
พรึ่บ!
ต้นหอมที่เคยเหี่ยวแห้งเพราะถูกถอนออกมาจากจุดที่มันเกิดพลันชูใบขึ้นจนสุดราวกับกำลังฟื้นคืนชีวิต ตรงลำต้นก็ปรากฏหน่อสีม่วงเข้ม
“หัวหอม!” เฉิงเฟิงดึงต้นหอมที่เพิ่งลงดินไม่ถึงนาทีขึ้นมาดูอย่างไม่เชื่อสายตา ใบด้านบนยังเขียวและส่วนรากก็มีหัวหอมลูกอวบอยู่
“พี่เฟิง ๆ ลองกับเผือกด้วยสิ” เด็กชายดลรู้สึกอัศจรรย์ใจมากและอยากจะเห็นอีกสักครั้ง ชายหนุ่มเองอยากรู้เหมือนกัน รีบพาตัวเองไปยังต้นเผือกที่ถูกถอนมาจากริมน้ำตกทันที ความสูงเดิมของมันเพียงแค่หัวเข่า
เจ้ากระต่ายขาวรวบรวมสมาธิหลับตาลงนึกถึงการกระทำเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าตนได้ทำอะไรลงไปบ้าง เขาวางมือเอาไว้ที่ใบต้นหอม จากนั้นก็คิดว่าอยากให้มันโตขึ้น
จงโตขึ้น
พรึ่บ!
ต้นเผือกที่เดิมมีความสูงแค่เข่ากลับค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเอวของชายหนุ่มในเวลาไม่กี่วินาที
“สุดยอด!!” เด็กชายดลตะโกนร้องลั่น นี่มัน! นี่มัน!
เวทมนตร์!
ไม่สิ!! พลังพิเศษ!
เขาเองก็มีพลังพิเศษเฉกเช่นเดียวกับดาริณี!!
“พี่เฟิงเหมือนตัวการ์ตูนที่ดลอ่านเลย! ใช้พลังไม้ได้ด้วย!!” เด็กชายร้องบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย
“พี่ว่าเหมือนพลังพฤกษามากกว่านะ” ดูครอบคลุมแถมไม่เหมือนพวกตัวละครสายฮีโร่มากนัก
“จริงด้วย พี่ทำให้มันโตนี่นา พลังไม้ต้องควบคุมไม้ใช้โจมตี” เด็กชายพยักหน้าเห็นด้วย เขายังอ่อนหัดนัก
“ควบคุม... โจมตี” นัยน์ตาแดงสว่างวาบ
“พี่เฟิง ๆ ผมขอลองขุดเผือกเลยได้ไหมครับ” ต้นใหญ่ขนาดนี้ ต้องให้หัวเผือกใหญ่มากแน่ ๆ
“อะ อืม ดลขุดเลยครับ” เฉินเฟิงปล่อยให้เด็กชายเป็นคนดึงทึ้งต้นเผือกต้นนั้นด้วยตัวเอง ส่วนเขาก็ไปทดสอบกับต้นมันสำปะหลังต่อ
ต้นมันสำปะหลังที่ถูกตัดเป็นท่อนเสียบดินไว้ก็พลันสูงใหญ่เลยหัวชายหนุ่มไปเกือบเมตร
“อู้หูวว สูงมากเลยพี่” สูงกว่าต้นมันสำปะหลังในไร่ของพ่อเขาอีก
เฉินเฟิงมองฝ่ามือตนเองอย่างเลื่อนลอย พลางนึกถึงเจ้าพวกที่มาบุกบ้าน
คนพวกนั้นมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเหมือนเขาและก็มีพลังทางกายภาพ แต่บางคนก็ดูเหมือนจะไม่มี
ถ้าหากว่าเขาสามารถใช้พลังนี้โจมตีอีกฝ่ายได้ละก็…
แต่... ก่อนหน้านั้นก็ต้องรู้ลิมิตในการใช้ก่อน เขาไม่เชื่อหรอกว่าพลังจะสามารถใช้ได้แบบไม่มีหมดสิ้น คนธรรมดาวิ่งยังเหนื่อย แต่พลังที่ไม่รู้จักนี้ ถ้าไม่ใช้ให้คล่องเขาคงพลาดท่าเข้าสักวัน
คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ทดสอบกับต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ อีกหลายครั้งจนทำให้บริเวณนี้เหมือนป่าดงดิบขนาดย่อม มีทั้งต้นไม้สูงหลายคนโอบและพืชตระกูลเฟิร์นที่สูงเลยหัวมนุษย์โดยมีเด็กชายดลตามเก็บผลผลิตที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้อย่างขะมักเขม้น
ลองใช้พลังอีกหลายต่อหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายเขาใช้กับต้นไม้สักต้นหนึ่งให้เปลี่ยนไป จากเดิมที่ใหญ่ประมาณท่อนขาผู้ชายก็ขยายแผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วอาณาบริเวณ ลำต้นเองก็ต้องให้ผู้ชายกว่าสามถึงสี่คนโอบถึงจะได้รอบ เฉินเฟิงชื่นชมภาพสวยงามไม่รับรู้ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เริ่มมาเยือนทีละนิด ความตื่นเต้นมากล้นทำให้หัวใจเต้นตึกตักจนลืมสิ่งที่ต้องการจะพิสูจน์ เจ้ากระต่ายมองภาพตระการตานี้ด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เหมือนกับว่าเขาห่างไกลจากสามัญสำนึกที่เข้าใจมาตลอดชีวิต 25 ปีมากขึ้นทุกที เขายังเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้อยู่จริง ๆ น่ะหรือ?
“อึก” แต่ยังไม่ทันคิดอะไรอีก ทั้งสมองและร่างกายต่างรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีใครใช้ค้อนทุบศีรษะ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปตั้งแต่ท้ายทอยมาถึงขมับ และทัศนวิสัยเองก็ถูกบีบให้แคบลงจนกระทั่งมืดสนิท
ตุบ
“พี่เฟิง!!” เด็กชายดลที่มัวแต่สนใจกับหัวเผือกที่ตนขุดขึ้นมาได้หันไปมองพี่ชายที่ล้มไปกับพื้น กรอบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งไปออกกำลังกายหนักมา พยายามปลุกก็แล้ว ตะโกนเรียกก็แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
“พี่เฟิงเป็นลมครับแม่!”
ดังนั้นก่อนพามาร่วมภารกิจด้วย คุณหมอหนุ่มทั้งเคี่ยวและเข็นสามเด็กแสบมาหนักมาก ทั้งยังมีบททดสอบสุดท้ายให้ได้ทำ หากไม่ผ่านต้องกลับไปอยู่กับเพื่อนที่ทำงานซัพพอร์ตอยู่ในหลุมหลบภัยแต่โดยดี“กลับมาแล้วคร้าบบ~” เด็กชายดลที่รู้ตัวเองดีว่าพลังใกล้จะหมดรีบกลับมายังฐานบัญชาการลับนอกค่าย ใบหน้าเล็กมีเหงื่อผุดซึมเป็นหย่อมๆ พร้อมกับอาการหอบเพราะออกซิเจนในอากาศมีน้อย“เตรียมกลับไปที่ฐานเลย แผนต่อไปจะเริ่มแล้ว” นิโคลัสสั่งเสียงขรึม ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “วันนี้ทำได้ดีมาก” เอ่ยชมเด็กแสบที่ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่“พวกพี่ก็สู้ๆ นะครับ” เด็กชายดลแม้จะเหนื่อยหอบก็ยังชูกำปั้นส่งรอยยิ้มทะเล้นไปให้“อย่าแพ้เขานะคะ” พลอยใสให้กำลังใจอีกคน“ระวังพวกลิงไว้ด้วยนะครับ มันเจ้าเล่ห์กว่าเสือโคร่งอีก” และคำเตือนจากปอนด์เป็นคนสุดท้าย“ได้ พวกเราจะระวัง” เมื่อเป็นคำเตือนจากผู้มีพลังพิเศษมองเห็นนิมิตได้ ชายหนุ่มย่อมไม่มองข้าม ถ่ายทอดคำเตือนนี้ผ่านช่องทางสื่อสารให้กับทีมต่อไปทันที“กองกำลังพิเศษทีมที่หนึ่งออกปฏิบัติการได้ ฆ่าได้ฆ่าเลย” พร้อมกับเริ่มดำเนินแผนขั้นต่อไปกับกองทัพสัตว์กลายพันธุ์ที่ยังมีสติเหลืออยู่[ รับท
นัยน์ตาสีแดงกวาดมองกองทัพสัตว์กลายพันธุ์ที่นอนหลับไม่ได้สติไปประมาณ 2 ใน 3 จำนวนเท่านี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ทำให้เป็นการคัดกรองไปในตัว ยิ่งสัตว์ตัวไหนที่มีปฏิกิริยาเร็วกับกลิ่นที่เขาปล่อยออกไป นั่นหมายความว่าพวกมันมีความแข็งแกร่งและสติปัญญามาก ทีมต่อๆ ไปที่เข้ามารับช่วงต่อต้องพึงระวังไว้ห้ามประมาทเด็ดขาด“เรียบร้อยหรือยังครับพี่นิค” เฉินเฟิงกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสาร สายตาก็เหลือบไปมองผู้มีพลังพิเศษธาตุลมอีกคนที่เหลืออยู่ หากชายคนนี้ถอยร่นกลับไปอีกคน ทีมที่สองก็ต้องเตรียมเข้ามารับช่วงต่อ[ ใกล้แล้ว ]“เตือนเจ้าพวกตัวแสบด้วยนะครับว่าอย่าประมาท” คิ้วขาวขมวดกันเป็นปม คราแรกที่ได้รู้แผนการนี้ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร[ อืม พี่ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาหรอก ] คุณหมอหมีเหลือบสายตาไปมองทีมสองของตนในครั้งนี้ แล้วก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นครูประจำชั้นที่พาเด็กในชั้นเรียนออกมาทัศนศึกษาคุยกันอีกสองสามประโยค เจ้ากระต่ายก็วางสายแล้วหันมาจดจ่อกับการใช้พลังเช่นเดิม และอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาผู้ช่วยคนสุดท้ายก็ใช้พลังหมดถัง“ถอยกลับไปพักเลยครับ” เฉินเฟิงสั่งพลางเร่งฝีเท้าลงไปยังด้านล่างของคอนโด เตรียมไปสมทบก
...“เป็นบาเรียที่ใหญ่มาก ถ้าไม่ได้พลังของคุณคงมีการสูญเสียทหารเกิดขึ้นแล้วแน่ๆ” นายพลอธิชื่นชมความสามารถของอดีตหญิงชราที่นั่งจิบชาอยู่ในห้องเดียวกัน“ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่รีบกำจัดพวกมันให้หมด พลังก็จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ” ครูเมตตาวางถ้วยชาเลิศรสลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้าแต่ถึงจะชั่วคราวก็กินเวลามากกว่า 24 ชั่วโมง และหากกินคริสตัลลงไปอีกเม็ดก็บวกเพิ่มไปอีกหนึ่งวัน มีเวลามากพอให้ทหารตั้งตัวและตอบโต้ศึกครั้งนี้เป็นศึกชี้ชะตาตัดสินความเป็นความตายของมนุษยชาติ นายพลอธิจึงยื่นข้อเสนอให้สมาพันธ์ผู้รอดชีวิตมาจับมือร่วมกันต่อสู้กับค่ายพันธมิตรเป็นการชั่วคราว เหล่าเด็กน้อยและชาวบ้านล้วนถูกพามาหลบภัยอยู่ในค่ายเหมือนกันหมดแม้แต่คุณยายร้านขายของชำที่เดินเหินไม่สะดวก ทางค่ายก็มีบริการนำรถบรรทุกไปจอดถึงหน้าประตูหมู่บ้าน ก่อนจะเร่งขนย้ายคนเข้ามาหลบภัย ส่วนใครที่มีพลังพิเศษหรือต่อสู้กับซอมบี้ได้ก็ยินดีให้เข้าร่วมกองทัพเป็นกองกำลังอาสาชั่วคราว เมื่อจบศึกก็จะมีของตอบแทนมอบให้เป็นรายบุคคล“อีกอย่าง... นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ให้มานั่งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายก็ใช่เวลา ต้องร่วมมือร่วมใจกันถึงจะถูก” หญิงสาวเดินออกไป
“พยายามเข้านะครับ” เฉินเฟิงที่เดินรั้งท้ายชูกำปั้นให้ความหมายสู้ๆ กับทหารที่ตนเดินผ่าน ในมือมีกระถางต้นกระดังงาออกดอกสีส้มสดใสอยู่หนึ่งดอก แต่เมื่อกระต่ายหนุ่มเดินออกไป ภายในห้องกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ชนิดนั้น ร่างกายที่เคยเครียดเกร็งจากการเห็นทัพของศัตรูก็คลายตัวลงอย่างน่าอัศจรรย์“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” แน่นอนว่าทหารที่เคยผ่านสนามรบมาบ้างย่อมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ปกติ“เป็นพลังพิเศษธาตุพฤกษาหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งมีพลังพิเศษธาตุน้ำเริ่มคาดเดา“สุดยอดไปเลย ไม่เคยเห็นมีใครทำแบบนี้ได้มาก่อน” ส่วนมากคนที่มีพลังธาตุนี้จะเลือกทำงานในโรงเพาะเลี้ยงพืช มีส่วนน้อยที่ออกไปใช้พลังนี้ในการต่อสู้นอกกำแพง“เอ้าๆ อย่ามัวแต่คุยกัน ผ่อนคลายแล้วก็เตรียมประจำที่ สงครามจะเริ่มแล้ว” หัวหน้าหน่วยรีบตะโกนเรียกสติลูกน้องในสังกัดให้กลับมามีสมาธิอีกครั้ง ก่อนที่ในเวลาต่อมาป้อมปราการแห่งนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนคละคลุ้งผสมไปกับกลิ่นหอมหวานของดอกกระดังงาไปอีกหลายชั่วโมง[ ฮัลโหล เทสต์ๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ]ลำโพงกระจายเสียงถูกเรียกใช้อีกครั้งหลังจากถูกใช้เปิดสัญญาณเตือนภัยเพียงอย่างเดียว น้อยครั้งมา
“ฟิวส์ขาดแล้วแน่ๆ” โจเซฟมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยซอมบี้มนุษย์นกระดับสองเหมือนคราวก่อน กลิ่นซากศพเน่าเหม็นคละคลุ้งจนต้องย่นจมูกหนี“ก็เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้นะคะ” ดาริณีหักข้อมือเสียงดังพร้อมลุยเต็มที่“อืม อะไรที่ไม่เป็นไปตามแผนมักทำให้คนหลุดจากการควบคุมเสมอ” แม้แต่ตัวโจเซฟเองบางครั้งก็เป็นเช่นกัน ดังนั้นจะทำงานใหญ่สักครั้งจึงต้องมีสติรอบคอบอยู่เสมอ จะได้ไม่พลาดท่าล่วงไปในกับดักของคนอื่น“แต่เล่นขนมาขนาดนี้ก็เกินไปหรือเปล่า” ทีโอมีสีหน้าแขยงเต็มทน มองซอมบี้แน่นขนัดเต็มผืนฟ้า ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์บนพื้นอีก มีตั้งแต่สุนัข แมว หมู หรือพวกสัตว์ป่าอย่างเสือโคร่งและวัวกระทิงเรียกได้ว่ามีสัตว์ป่าคุ้มครองอะไรในประเทศ T ก็ขนมาหมด… ถ้าฆ่าตายไปจะถูกหน่วยงานไหนร้องเรียนไหมเนี่ย“ก็ตรงกับรายงานที่เราได้รับมาล่ะนะ” ว่าบนยานบินลำนั้นมีแต่พวกร่างโคลนที่พร้อมจะกลายเป็นซอมบี้กับสัตว์กลายพันธุ์หลากหลายชนิด แถมดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีสถานที่สำหรับทดลองสัตว์เหล่านี้อยู่เยอะทีเดียวเมื่อครู่ทางฝั่งพันธมิตรแต่ละประเทศก็บอกว่าตนเจอเหตุการณ์ซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์บุกประชิดเมืองเหมือนกัน“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ดูเล
…กินอาหารเสร็จก็ถึงคราวขนเสบียงกลับ เนื่องจากปลาตีนมีขนาดใหญ่ เฉินเฟิงไม่อยากเสียเวลากับตรงนี้มากนักจึงขอให้ทหารทั้งสองผู้ไม่เคยจับมีดทำครัวมาช่วยกันแล่ปลาโดยพยายามไม่หันไปมองว่าแต่ละคนลงมีดกันอย่างไร ไม่อย่างนั้นวิญญาณความเป็นพ่อครัวของเขาต้องร้องไห้เป็นสายเลือดแน่“กลับกันเถอะ ดูเหมือนทางฝั่งหัวหน้าโจจะจัดการเรียบร้อยแล้ว” แต่ในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างเขม้นขะมัก นิโคลัสก็วางมีดแล้วล้างมือในอ่างน้ำ“สำเร็จสินะครับ” เฉินเฟิงยิ้มแก้มปริ“เอ๊ะ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ?” เอหันกลับไปมองคู่รักหมีกระต่าย ในมือของนิโคลัสมีเครื่องมือสื่อสารชนิดไร้สาย“แผนการหลักสำเร็จไปได้ด้วยดีน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”“ครับ? งั้นที่เราออกมาสำรวจปลาตีนเขี้ยวนี่เป็นแผนลวงสินะ” ลูกชายท่านนายพลเข้าใจในทันที“ก็ไม่เชิง ข้อมูลปลาตีนเองก็จำเป็นเหมือนกัน” อย่างน้อยวันนี้ก็ได้รู้เพิ่มด้วยว่าพวกมันยังติดนิสัยล่าเหยื่อเพียงลำพัง โจมตีระยะไกลได้ และอยู่บนบกได้ไม่นานเหมือนปลาบิน“แต่พวกคุณก็มีแผนซ้อนอยู่อีกชั้น” มนุษย์หมาป่ามีสีหน้าเหลือเชื่อ คนกลุ่มนี้มีเรื่องให้ประหลาดใจเสมอ“มันจะเป็นผลดีกับเราหากทั้งสองฝ่ายเ