นายแพทย์จิรายุ พลพิพัฒกุลวานิช (ชื่อเล่นวายุ) อายุสามสิบปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายบึกบึนสมชายชาตรี ศัลยแพทย์หนุ่มทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ครอบครัวของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ความจริงแล้ววายุอยากเป็นสถาปนิก แต่ก็ขัดบิดามารดาไม่ได้เพราะเขาเป็นลูกชายคนรอง เมื่อบุพการีอยากให้เป็นหมอ ชายหนุ่มจึงก้มหน้าก้มตาทำตามความฝันของบิดามารดาอย่างหน้าชื่นอกตรม ในขณะที่พี่ชายได้ทำงานตามอาชีพที่ใฝ่ฝัน พายุถูกตามใจทุกอย่าง แต่พอหันกลับมามองที่เขา แม้แต่เรื่องหัวใจก็ไม่สามารถเลือกเองได้ หมอหนุ่มกำลังจะถูกคลุมถุงชนมีหรือที่เขาจะยอม เมื่อหัวใจของเขาเต็มไปด้วยเธอคนนั้น ผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเวลาเข้าใกล้เธอ และไม่เคยมีใครทำให้เขาหวั่นไหวได้เหมือนเธอ
View Moreบ้านหลังเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึงไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอด ตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า จนกระทั่งมาถึงรุ่นบิดามารดา และในเวลานี้มันก็ได้ตกเป็นของนางสาวฝนสุดาและนางสาวขวัญดาว สองพี่น้องที่แสนจะอาภัพ เมื่อทั้งคู่ไม่เหลือใคร บิดามารดาได้จากไปหลายปีแล้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ดาวตื่นหรือยังวันนี้พี่มีไฟลต์บินเช้านะ ต้องรีบไปแล้ว" ฝนสุดาลากกระเป๋าเดินทาง มายืนเคาะประตูห้องน้องสาว เพื่อบอกลา ซึ่งเธอได้ทำเป็นประจำเวลาที่ต้องออกเดินทาง
"คราวนี้พี่ฝนจะไปกี่วันค่ะ" ขวัญดาวลุกจากเตียงเดินงัวเงีย เพื่อมาเปิดประตูให้กับพี่สาวแล้วถามออกไป ขณะที่เธอยังคงเอามือขึ้นมาขยี้ตาที่กำลังปรือขึ้น เพื่อให้ปรับแสงที่แยงมา
"คราวนี้พี่บินนานหน่อย ประมาณสิบกว่าวันถึงจะได้กลับ อย่าลืมให้น้ำอิงมานอนด้วย แล้วล็อกประตูบ้านให้ดีเข้าใจไหม" ฝนสุดารั้งน้องสาวเข้ามากอด พร้อมทั้งบอกให้เธอพาเพื่อนสนิทมานอนด้วย
"โอเคค่ะ พี่รีบไปเถอะเดี๋ยวตกเครื่อง ใครมารับ ให้ดาวไปส่งไหม" ขวัญดาวเองก็ห่วงใยพี่สาวไม่น้อยเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ที่เธอได้เรียนในคณะที่ใฝ่ฝัน ก็เพราะพี่สาวคนนี้ ที่ยอมเหนื่อยบินกี่ไฟลต์ก็ไม่เคยบ่น
"ดาวเตรียมตัวไปเรียนเถอะ พี่นั่งแท็กซี่ไปได้ ลุงเจ้าประจำที่เคยโทรให้มารับสงสัยแกมารอหน้าบ้านแล้ว พี่ไปนะ"
"โชคดีนะคะ ขอกอดหน่อย" ขวัญดาวโผเข้าไปซบอกอุ่นของพี่สาว เพราะคราวนี้ฝนสุดาไปหลายวัน ทั้งที่พี่สาวก็มักจะไปแบบนี้เป็นประจำแต่ทุกครั้งก็ทำให้ขวัญดาวรู้สึกใจหายไม่ได้
"ดูแลตัวเองด้วยพี่ไปแล้วนะ"
"บ๊าย บายค่ะพี่"
เมื่อสองพี่น้องร่ำลากันเสร็จ ฝนสุดาก็เดินออกไปทันที ซึ่งมีรถแท็กซี่จอดรออยู่หน้าบ้าน เมื่อเธอขึ้นมาบนรถ หญิงสาวๆ ได้นั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย บ่อยครั้งเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับงานที่ทำ แม้ว่าจะเป็นอาชีพในฝัน แต่บางครั้งฝนสุดาก็อดคิดไม่ได้ว่า เธออยากจะเป็นนางฟ้าจริงๆ หรือเปล่า
"โอ๊ย... ทำไมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่ท้องแบบนี้อีกแล้วนะ" ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือกุมลงไปที่ท้องน้อย ในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นได้ฉายแววความเจ็บปวดออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะพยายามกินยา แต่มันยังคงเจ็บอยู่ไม่หายสักที แต่ก็พอทนได้
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลุงเห็นหนูเอามือกุมที่ท้องนานแล้ว บินไหวไหมล่ะ ไปหาหมอก่อนไหม" ลุงคนขับแท็กซี่ที่คุ้นเคยกันดี ได้เอ่ยถามฝนสุดาออกมาด้วยความห่วงใย เพราะเขาเห็นเธอเป็นเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง
"ขอบคุณมากนะคะลุง ฝนไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ปวดท้องน้อยนิดหน่อย กินยาเดี๋ยวก็หาย" ฝนสุดาฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับตอบคำถามลุงแท็กซี่ออกไป ซึ่งในเวลานี้หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่า จะทนกับความรู้สึกเจ็บแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะถ้าหากเธอเป็นอะไรไป น้องสาวจะอยู่ได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ฝนสุดากำลังเป็นกังวล มากกว่าห่วงตัวเองซะอีก
เมื่อรถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดภายในสนามบิน ฝนสุดาได้จ่ายเงินให้กับคุณลุงขับแท็กซี่ เมื่อ หญิงสาวได้ลงจากรถเธอลากกระเป๋าเดินทาง เข้าไปภายในอาคารสนามบิน พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บจี๊ด ตรงบริเวณท้องน้อยอีกตามเคย แต่เธอก็พยายามไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าทานยาลงไปเดี๋ยวก็หายเหมือนกับทุกครั้งที่เป็น
เมื่อถึงเวลาต้องขึ้นไปสำรวจความเรียบร้อย ซึ่งเหล่าบรรดาแอร์โฮสเตสและสจ๊วต สิ่งที่ต้องทำและคำนึงถึง อันดับแรกคือความปลอดภัยทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ทั้งตรวจหาวัตถุระเบิด เช็กวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องดับเพลิงและอะไรอีกจิปาถะ
"อุ้ย...อืม" ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอนั้นกลับดูเจ็บปวด
"เป็นอะไรหรือเปล่าฝน ปวดท้องอีกแล้วใช่ไหม มิราบอกหลายครั้งแล้วว่าให้ไปหาหมอยังไม่ไปอีกเหรอ" เพื่อนสนิทของหญิงสาวถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเธอเห็นฝนสุดาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนกับว่าเธอกำลังเจ็บปวด
"ฝนตั้งใจว่ากลับจากบินเที่ยวนี้ จะไปพบหมอแล้วแหละ แต่ตอนนี้ยังไหว มันรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น" หญิงสาวพูดพร้อมกับยิ้มร่าให้กับมิรา เพราะเธอกลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจ
"บินได้ใช่ไหม ถ้าไม่ไหวก็บอก เรายังมีเวลาเหลืออีกสามสิบนาที"
"อืม... มิราไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเราไหว แค่นี้สบายมาก"
"แน่ใจ" น้ำเสียงของมิราที่ถามเพื่อนออกไปเหมือนเธอไม่อยากจะเชื่อ ในสิ่งที่ฝนสุดาพูดออกมา
"อื้ม...ฝนไหว" ฝนสุดาฉีกยิ้มร่าให้กับเพื่อนเพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไหวจริงๆ
~เที่ยวบิน~
การประกาศบนเครื่องบินดังขึ้น เพื่อให้ผู้โดยสารได้ทราบถึงระยะเวลาในการบิน รวมถึงรายละเอียดต่างๆ เมื่อได้เวลาบิน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะฝนสุดา เธอมีหน้าที่ดูแลและคอยบริการ ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ซึ่งชั้นนี้ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว เพราะผู้โดยสารแต่ละคนนั้น ค่อนข้างมีฐานะ ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจ คุณหมอ เหล่าบรรดาคนไฮโซทั้งหลาย พูดง่ายๆ ก็คือคนธรรมดาฐานะปานกลางอย่างเรา แทบจะไม่มีปัญญาได้นั่ง เพราะตั๋วค่าโดยสารนั้นค่อนข้างแพงหกหลักขึ้นเลยทีเดียว
"ผู้โดยสารรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยด้วยนะคะ คุณคะ..." น้ำเสียงหวานของฝนสุดาดังขึ้น แต่ทว่าหมอหนุ่มกลับนั่งเหม่อคิดอะไรไปไกล เมื่อเขานั้นจำใจต้องออกเดินทางไปรับใครบางคนมาที่บ้าน ตามคำสั่งของมารดา
"คุณคะ"
"เอ่อ...อ้อ ขอโทษครับ" หมอหนุ่มหันหน้ามาสบตากับฝนสุดาพอดี เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนสะดุดตาเท่าเธอมาก่อน อาจจะมีผู้หญิงหลายคนที่สวยเซ็กซี่มากกว่าเธอหลายเท่า แต่เขากลับ ไม่รู้สึกสะดุดตาเท่ากับหญิงสาวในเวลานี้
"รัดเข็มขัดด้วยค่ะ" ฝนสุดาพูดพร้อมกับฉีกยิ้มให้กับชายตรงหน้า รอยยิ้มของเธอกลับทำให้เขารู้สึกประทับใจมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงน้อยคนที่จะทำให้เขารู้สึกพิเศษแบบนี้
"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มกล่าวกลับไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เพราะเขาแทบจะไม่เคยยิ้มให้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ชีวิตที่อยู่ภายใต้กรอบ และขอบเขตที่ไม่เคยมีความเป็นส่วนตัว จึงทำให้เขานั้นกลายเป็นผู้ชายเย็นชาไปโดยปริยาย
งานด้านบริการ รวมถึงการสอดส่องดูแลและสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสาร ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ใครหลายคนต่างก็คิดว่าการเป็นแอร์โฮสเตสและสจ๊วตนั้นสุขสบาย แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นงานที่เสี่ยงและอันตราย หลายครั้งที่ฝนสุดาอยากจะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่เธอก็ยังคงรักในอาชีพนี้อยู่มาก จึงอยากจะทำอีกสักพัก จึงค่อยตัดสินใจทำอะไรที่มันเป็นหลักเป็นแหล่ง พอที่จะทำให้เธอมีรายได้ ซึ่งไม่ต้องลำบากในช่วงบั้นปลายของชีวิต เพราะเธอไม่เคยคิดที่จะมีผู้ชายมาเลี้ยงดู
"คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ" ฝนสุดาเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งปกติไม่ว่าผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสหรือธรรมดาเธอก็บริการด้วยหัวใจ หญิงสาวให้ความสนใจผู้โดยสารทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
"ผมขอเป็นแชมเปญแล้วกัน" หมอหนุ่มยังคงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แต่เขากลับแอบชำเลืองมองไปที่ใบหน้างามด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ
"โอ๊ย..." ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ท้องน้องอีกครั้ง "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า" หมอหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เมื่อเขาเห็นหญิงสาวฉายแววความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้า
"ดิฉันไม่เป็นไรค่ะขอบคุณนะคะ ได้แล้วค่ะ ขอให้แฮปปี้กับการเดินทางครั้งนี้นะคะ" หญิงสาวเสิร์ฟแชมเปญคู่กับกานาเป เธอไม่ได้สนใจในรูปลักของหมอหนุ่มเลยสักนิด นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าหญิงสาวคุ้นชินกับการบริการชายหนุ่มรูปงาม หรือไม่ก็มีหัวใจที่ชินชา เมื่อเธอนั้นไม่เคยคิดอยากจะรักใคร เพราะไม่อยากพาใจไปเจ็บ เนื่องจากเห็นเพื่อนรักอย่างมิราเจ็บเจียนตาย จากการที่โดนผู้ชายอย่างกัปตันหนุ่มทรยศความรักที่มีให้กันมาเกือบสิบปี สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกผู้หญิงคนใหม่ ปล่อยให้มิราร้องไห้ฟูมฟายเกือบบ้าตายอย่างไม่ไยดี
“ถ้าผมมีลูกมีเมียอยู่แล้ว พ่อกับแม่ยังจะยัดเยียดนุชวราให้กับผมอยู่อีกไหมครับ” หมอหนุ่มถามออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ จนบิดามารดาไม่สามารถเดาความคิดของเขาออก ซึ่งคนทั้งคู่คิดว่าลูกชายเพียงแค่อยากรู้คำตอบเท่านั้น “พ่อกับแม่ไม่ใช่คนใจร้าย ที่จะพรากลูกพรากเมียใครหรอกนะ ถ้าหมอมีลูกมีเมียอยู่แล้ว พ่อกับแม่ก็จะไม่บังคับให้ลูกต้องหมั้น หรือแต่งงานกับนุชวราหรอก แต่ลูกชายของแม่โสดไม่มีใคร แล้วทำไมจะแต่งงานกับหนูนุชไม่ได้ หรือว่าลูกชอบไม้ป่าเดียวกัน แม่ไม่ยอมแน่” ผู้เป็นมารดาเริ่มคิดไปต่างๆ นานา เมื่อลูกชายมีท่าทางที่อิดออด ไม่อยากจะแต่งงานกับสาวสวยที่เพอร์เฟกต์อย่างนุชวรา “ผมไม่มีใครหรอกครับแม่ แต่ขอเวลาอีกสามเดือนได้ไหมครับ ผมไม่เคยขออะไรจากแม่เลย ถ้าหากว่าผมจะต้องหมั้นหรือแต่งงานกับนุชวราจริงๆ ขอให้ผมได้ใช้ชีวิตในแบบของผม เพียงแค่สามเดือนจะได้ไหมครับแม่”
“เอวาขอร้องได้ไหมคะ ระหว่างที่เราคบกันและคุณยังการันตีในความสัมพันธ์ของเราให้ใครต่อใครได้ทราบ ก็ให้เกียรติเอวาบ้างหน่อยเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า เมื่อเธอนั้นได้กลายเป็นเพียงแค่แฟนในนาม แต่เรื่องบนเตียงกลับเล่นจริงไม่ใช้สแตนด์อิน “รอให้หมอวายุหมั้นและแต่งงานกับนุชวราเมื่อไหร่ ผมจะปล่อยคุณไปให้เป็นอิสระ” เขาช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว แม้ว่าเงื่อนไขและผลประโยชน์ที่เอวาได้รับนั้น จะเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่หญิงสาวก็ปรารถนาอยากใช้ชีวิตร่วมกับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงมากกว่า “คุณพายุ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีคุณไม่คิดที่จะมีใจให้เอวาบ้างเลยหรือไง” คราวนี้หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พัดพ้อ เมื่อเขาให้ความสำคัญในตำแหน่งแฟน เพียงแค่ต้องการให้หล่อนเป็นไม้กันหมาให้เขาเท่านั้น แม้แต่บิดามารดาของชายหนุ่ม ก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนโต จึงถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่หมอวายุนั้นถูกบังคับ ให้ทำตามความประสงค์ของบุพการี ทั้งการเรียนและเรื่องของหัวใน ท้ายที่สุดเขาต้องเรียนแพทย์ ทั้งที่
ผับใจกลางเมือง มิรากำลังนั่งดื่มอยู่กับเบส สายตาของเธอได้เหลือบไปเห็นหญิงสาว ที่มีรูปร่างคุ้นตา แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่ขวัญดาวหรือเปล่า เนื่องจากโต๊ะโซนวีไอพี ซึ่งถัดออกไปจากเธอพอสมควร หญิงสาวกำลังนั่งดื่มอยู่กับคาสโนว่าตัวพ่ออย่างพายุ นักธุรกิจหนุ่มที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่เขายังคงเป็นคุณชายเจ้าสำราญไม่เลิกรา“ถ้าผมจะกลับมาคบกับคุณอีกจะได้ไหม มิรา” น้ำเสียงของกัปตันหนุ่มฟังดูน่าหลงใหล แต่มิรากลับรู้สึกไม่ไหว ถ้าหากเธอจะต้องมานั่งร้องไห้ เมื่อเขาบอกเลิก และที่เธอยอมออกมาดื่มเป็นเพื่อนแฟนเก่าก็แค่ต้องการปลอบโยน ที่เขานั้นได้เสียบิดาไป ในขณะที่แฟนใหม่ขอยุติความสัมพันธ์ ซึ่งมิราไม่มีวันจะกลับไปเป็นแฟนกับเขาอีกเป็นเด็ดขาด “เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้ว อย่าพยายามทำให้ทุกอย่างกลับมาที่เดิม เมื่อใจสองดวงได้เปลี่ยนไปแล้ว มิราจะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีให้กับเบสเสมอนะ” คำพูดของอดีตคนรัก ทำให้กัปตันหนุ่มซาบซึ้งใจ เขาไม่น่าทิ้งเธอไปทั้งที่คบกันมาเป็นสิบปี
ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือลงอย่างช้าๆ เมื่อเธอกำลังจินตนาการว่าตัวเองนั้น กำลังเป็นนางเอกในซีรี่ย์ ที่มีหมอหนุ่มหน้าตาดี เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยทำให้เธอตั้งครรภ์ ก่อนที่หญิงสาวจะไม่มีมดลูก “คุณ... คุณฝนสุดา หลับอีกแล้วเหรอ” เสียงทุ้มของหมอหนุ่มที่ดังข้างใบหูของเธอ จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ “เอ่อ... ขะ ขอโทษค่ะ” ฝนสุดารีบดีดตัวลุกขึ้นยืน พร้อมกับใบหน้าที่เหลอหลา ก่อนจะกล่าวขอโทษเขาออกมาด้วยคำพูดที่ติดอ่าง พร้อมกับรีบก้มหน้าลงต่ำ เพื่อหลบสายตาคมของหมอหนุ่ม เมื่อเธอเดาความรู้สึกของเขาไม่ออก การวางสีหน้าที่เรียบเฉยตลอดเวลา พร้อมกับเก๊กท่าวางมาดเข้ม บวกกับบุคลิกของหมอหนุ่มดูหล่อเท่สมาร์ต แต่ทว่าบางทีก็ดูลึกลับจนน่าค้นหา ส่งผลให้หัวใจดวงน้อยของฝนสุดาอดที่จะหวั่นไหว ให้กับหมอวายุไม่ได้ “ผมเพิ่งบอกคุณไปไม่กี่นาที จะลุกจะเดินต้องระวัง ไม่อย่างนั้นคุณมีสิทธิ์แท้งแน่ ถ้าย้ายตั
ภายในห้องนอนที่ตกแต่งเอาไว้ในสไตล์นอร์ดิก แลดูโล่ง โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก แต่ดูอบอุ่นเรียบหรูดูแพง ซึ่งมีโทนขาว เทาเป็นหลัก ทั้งผ้าปูและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งภายใน ผนังของห้องใช้สีพาสเทลอ่อนๆ บ่งบอกให้รู้ถึงรสนิยมของคนอาศัยที่มีใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญหมอวายุเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ แต่คนรอบข้างมักจะนำพาความวุ่นวาย เข้ามาภายในชีวิตของเขาไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเรื่องการหมั้นระหว่างเขากับนุชวรา คนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซซ์ ค่อยๆ พลิกกายบิดตัวหาวออกมา เมื่อเธอรู้สึกสบายตัวที่นอนอยู่บนเตียงนุ่ม บวกกับที่นอนไม่หลับมาทั้งคืน เนื่องจากตื่นเต้นกับการมาตามนัด เพื่อรับฟังรายละเอียดในขั้นตอนของการทำร่างกายให้พร้อม สำหรับการตั้งครรภ์ นั่นจึงทำให้หญิงสาวหลับยาวไปหลายชั่วโมง "อืม..." ฝนสุดาครางออกมาจากในลำคอ พร้อมกับบิดขี้เกียจอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อเธอไม่อยากลุกออกจากเตียงนุ่มนี่เลยสักนิด จากนั้นหญิงสาวจึงค่อยๆ พลิกกายกลับมานอนหงาย เธอปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะพบว่าเพดานของห้องนอน แปลกไปจากที่คุ้นเคย แน่นอนเพราะนี่มันไม
หลายวันผ่านไป หลังจากที่นายแพทย์หนุ่มหนุ่มพยายามเลื่อนนัดนุชวรามาหลายครั้ง ในวันนี้เธอจึงจำเป็นที่จะต้องบุกไปหาเขาที่โรงพยาบาล จนทำให้หมอหนุ่มจำใจต้องออกมารับประทานมื้อเย็นกับหญิงสาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าเขานั้นจะรู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องออกไปรับประทานมื้อเย็น ภายใต้แสงเทียน หล่อนคงอยากสร้างความประทับใจให้กับเดตแรกระหว่างเธอกับหมอวายุ "พี่หมอค่ะ ทำไมต้องทำหน้าเหมือนกับว่า กำลังลำบากใจที่ออกมาทานข้าวกับนุช" นุชวราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เมื่อหล่อนพยายามเข้าใกล้ แต่หมอวายุกลับมีท่าทีถอยห่างออกไป ทั้งที่เขาก็ไม่มีใครทำไมไม่รับปากตกลงหมั้นกับเธอสักที "พอดีว่าช่วงนี้ผมมีเรื่องเครียดนิดหน่อย การเป็นหมอต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งคนไข้ได้ฝากชีวิตไว้กับแพทย์ที่รักษา ผมจึงอยากทุ่มเทชีวิตนี้ให้กับวงการแพทย์ ถ้านุชเจอใครที่ถูกใจ ก็รีบคว้าเอาไว้อย่าฝากความหวังไว้ที่ผมเลยนะครับ" ใบหน้าอันหล่อเหลาของหมอหนุ่ม ดูเรียบเฉยไร้วี่แววของการมีใจ บางครั้งนุชวราก็อยากเอ่ย
Comments