ได้เทพสงครามช่วยพลังปราณในกายไท่จื่อเจิ้งหานจึงฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน แม้ยังบอบช้ำภายในหากก็ไม่ทำให้สาหัส และต้องการเดินทางกลับสวรรค์ชั้นฟ้าทันที
“ข้าต้องกลับไปทูลรายงานการศึกกับพระบิดา”
เมื่อถูกเจ้าบาดาลขอให้พักผ่อนต่อไท่จื่อก็ปฏิเสธ แม้หมอจากวังบาดาลจะบอกว่าควรพักสักสองสามชั่วยามก็ตาม
“ท่านเทพ...”
ซีเหว่ยเจ้าบาดาลหันไปทางเทพสงครามที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก ทว่าอีกฝ่ายกลับตีหน้านิ่งขรึมขณะเอ่ยคำที่ทำเอาผู้ขอให้ช่วยหน้าชา
“ข้ามีหน้าที่ทำตามประสงค์ของไท่จื่อ”
“อย่างไรข้ากับเทพสงครามก็ต้องรีบนำทัพกลับ ขอบใจท่านเจ้าบาดาลมากที่ช่วยเหลือ รวมทั้งธิดาของท่านด้วย ไม่คิดเลยว่านางจะถึงขั้นยอมเสี่ยงตายเช่นนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ไท่จื่อเจิ้งหานถามไถ่ด้วยความห่วงใย แม้ขัดใจปะปนขายหน้าอยู่บ้างที่ผู้หญิงต้องมาปกป้องโอรสสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นตน ทว่าการเสียสละของธิดาเจ้าบาดาลจนตัวเองต้องบาดเจ็บก็น่านับถือและมองข้ามไม่ได้
“พระเมตตาของไท่จื่อข้าและบุตรสาวซาบซึ้งยิ่งนัก ซานซานยังอาการหนัก แต่ไม่ถึงกับชีวิต ตอนนี้รอเพียงนางฟื้น”
“ศึกครั้งนี้ลำบากท่านเจ้าบาดาลกับธิดานัก ข้าทูลเรื่องการศึกแล้วพระบิดาต้องประทานความดีความชอบเกียรติยศยิ่งใหญ่กับเผ่าบาดาลเป็นแน่”
การที่ไท่จื่อไม่ได้เอ่ยถึงเผ่าวิหคทำให้สือเฟิ่งที่มาเยี่ยมพร้อมเจ้าบาดาลคิ้วกระตุกเล็กน้อย หากก็ไม่แสดงท่าทางอะไร
“พวกท่านทั้งสองเตรียมตัวเถิด จะได้เดินทางกันเลย”
“มีรายงาน”
เสียงประกาศจากทหารยามทำให้เจ้าบาดาลไม่ชอบใจนัก
“บังอาจ ใครส่งเจ้ามาที่นี่ ไม่รู้กาลเทศะ ไท่จื่อกำลังพักผ่อนมารบกวนได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไร ให้เข้ามา”
ไท่จื่อเจิ้งหวนอนุญาต ประตูจึงเปิดออก ทหารผู้มาใหม่ดูลุกลี้ลุกลนและร้อนใจยิ่งนัก
“ว่าไง มีอะไรก็รายงานมา”
เจ้าบาดาลออกคำสั่งกับคนของตน
“เอ่อ...”
“มัวอ้ำอึ้งอะไร เจ้ารบกวนเวลาของไท่จื่อแล้วยังบังอาจชักช้าเสียเวลาอีกหรือ”
เมื่อถูกเจ้าเหนือชีวิตของตนตำหนิ จากที่อึกอักทหารก็โพล่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“องค์ชาย...องค์ชายถูกสังหารขอรับ”
“อะไรนะ เจ้าหมายถึง...”
“องค์ชายซีเหวินขอรับ”
“เหวินเอ๋อร์”
เจ้าบาดาลถึงกับผงะถอยหลัง หน้าซีดพลางส่ายไปมา
“ไม่จริง จะเป็นไปได้ยังไง เหวินเอ๋อร์...ใคร...ใครฆ่าเหวินเอ๋อร์ มันเป็นใคร!”
เพียงชั่วแวบเจ้าบาดาลก็ประชิดถึงตัวทหารของตน คว้าคอเสื้อตวาดลั่นด้วยความเสียใจและเคียดแค้น
“เอ่อ...”
“ข้าจะไปเอาชีวิตมัน บอกมา!”
“พระชายาองค์ไท่จื่อ พระนางหนิงเฟิ่งขอรับ”
ทหารละล่ำละลักบอก
คำบอกนั้นทำให้ร่างสูงสง่าของไท่จื่อเจิ้งหานถึงกับลุกพรวดขึ้น สือเฟิ่งเองก็อึ้งนิ่งงันไป
“บังอาจ! ใส่ร้ายพระชายา ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ”
แม้แต่เทพสงครามยังเอ่ยเสียงเข้มด้วยเห็นว่าช่างเหลวไหลสิ้นดี
“ท่านเทพโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยพูดจริงขอรับ พระชายาสังหารองค์ชายหลังจากรู้ว่าองค์ไท่จื่อปลอดภัย พระนางไม่ต้องการมาอยู่กับองค์ชายอีกแล้ว พวกเขามีปากเสียงกัน...อึก”
“หุบปากเจ้าซะ!”
ปลายกระบี่ในมือเทพสงครามจี้ที่คอคนพูดอย่างทันท่วงทีพร้อมกัดฟันเข่นเขี้ยว ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเขาขยับตัวเมื่อไร
“จิ่นลี่”
เสียงเข้มของไท่จื่อห้ามผู้เป็นน้องอีกฝ่ายจึงหยุดมือไว้ พี่ชายพยักหน้าซ้ำเทพสงครามจึงจำต้องปล่อยมืออย่างหงุดหงิด หากก็ยังไม่ยอมถอยห่างจากทหารยศน้อย
“พระชายาอยู่ไหนเจ้ารู้หรือไม่”
“ขอรับ”
“เทพสงคราม ไปนำตัวหนิงเฟิ่งมาไต่สวนหาความจริง”
เทพจิ่นลี่จำต้องรับคำและตามทหารของเผ่าบาดาลไปทั้งที่อยากฆ่ามันให้ตายคามือนัก กล้าใส่ร้ายป้ายสีพระชายาของโอรสสวรรค์ได้อย่างไร
แม้ใบหน้าคมคายที่มีความงามล้ำกว่าบุรุษใดของไท่จื่อเจิ้งหานจะเรียบเฉย ทว่าภายในใจกลับไม่นิ่งเลยแม้แต่น้อย
==========
เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไท่จื่อเชื่อหรือไม่? แต่เห็นชัดว่าจิ่นลี่ไม่เชื่อ ^-^
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา