เทพสงครามกลับมาโดยมีเจ้าของเรือนร่างสะโอดสะองในชุดทะมัดทะแมงพร้อมออกศึกของหนิงเฟิ่งพระชายาก้าวตามเข้ามาหยุดยืนหน้าแท่นประทับ
“ไท่จื่อ”
เจ้าของเสียงหวานเอ่ยพร้อมย่อตัวลง ใบหน้างามล้ำสงบนิ่งไม่มีลนลานกลัวเกรง ดวงตาคู่งามมองตรงแน่วนิ่งไร้แววหวาดหวั่นหรือรู้สึกผิดทำให้ผู้เห็นนึกขัดใจ
“หนิงเฟิ่ง รู้ความผิดหรือไม่”
คิ้วเรียวสวยกระตุกเล็กน้อยกับเสียงเข้มที่ดูเหมือนจะตัดสินนางไปแล้ว
“ข้ามีเหตุจำเป็นไม่อาจร่วมทัพ ขอไท่จื่อประทานอภัย”
หนิงเฟิ่งคุกเข่าลงพร้อมขอในสิ่งที่คิดว่านางทำผิด
“อภัย? กิจอันใดสำคัญกว่าการสู้ศึกใหญ่ปกป้องมวลมนุษย์กับทุกดินแดนจากเผ่าพันธุ์ปิศาจ”
ยิ่งฟังคำขอของชายาตนไท่จื่อเจิ้งหานก็ยิ่งไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้มีกิจอันใด เพียงแต่ข้าไม่อาจร่วมทัพได้”
“หนิงเฟิ่ง!”
นอกจากไม่สำนึกแล้วชายายังใช้คำบิดเบือนหนีความผิดในสายตาไท่จื่อ
“หรือเจ้าเห็นว่าตนไม่ผิด มีกิจกับไม่อาจร่วมทัพต่างกันอย่างไร นั่นถือเป็นความผิดด้วยกันทั้งสิ้น อย่าใช้ความเป็นชายาของข้าลบเลือนความผิดของเจ้า ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวข้ายิ่งไม่อาจละเลย”
พระชายาเหมือนจะเอ่ยบางอย่างทว่าทหารยามด้านหน้าเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เรียนไทจื่อ ท่านเทพวิหคสือเฟิ่งกับเจ้าบาดาลขอเข้าพบขอรับ”
“เข้ามา”
แม้ไท่จื่อไม่อยากไต่สวนให้เป็นเรื่องใหญ่จนข่าวแพร่ออกไป หากก็เลี่ยงเจ้าบาดาลกับเทพวิหคไม่ได้ ในเมื่อทั้งสองถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“เจ้า...”
เจ้าบาดาลเข้ามาก็มุ่งไปยังร่างของพระชายาทันใด แต่เทพวิหคยื่นมือมาขวางเอาไว้ เทพทั้งสองเขม่นกันด้วยสายตานับแต่มาขอเข้าพบด้านนอกที่ประทับ หลังได้ข่าวว่าเทพสงครามพาพระชายามาถึงแล้ว ทว่าต่างคนต่างเป้าหมาย ด้านเทพวิหคสือเฟิ่งต้องการปกป้องหลานสาวแต่เจ้าบาดาลต้องการเอาผิด
“ต่อหน้าไท่จื่อ ท่านกล้าแตะต้องพระชายาหรือ”
เจ้าบาดาลซีเหว่ยจ้องเทพวิหคด้วยสายตากรุ่นโกรธแล้วเหลือบไปยังพระชายาอย่างอาฆาตแค้น หากก็ต้องระงับโทสะของตน เพราะไม่เพียงไท่จื่อที่มองมานิ่งทว่าแววตาดุดัน เทพสงครามเองก็ขยับเข้ามาใกล้บ่งบอกว่าหากเขาทำอะไรก็พร้อมจัดการ นั่นทำให้เจ้าบาดาลรีบคุกเข่าลงเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย
“ขอไท่จื่อเมตตา ข้าใจร้อนด้วยความเสียใจ แต่ข้ามีซีเหวินเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เวลานี้มาจากไปด้วยฝีมือพระชายา ไท่จื่อโปรดให้ความเป็นธรรมกับซีเหวินด้วยเถิด”
“เจ้าบาดาลวางใจเถิด ข้าไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังจะไต่ส่วนชายาของข้าเรื่องบุตรชายของท่านเช่นกัน”
เอ่ยแล้วไท่จื่อก็หันมายังชายาของตน ขณะที่เจ้าบาดาลยิ้มอย่างพอใจ
“ว่ายังไงหนิงเฟิ่ง เจ้าลงมือสังหารซีเหวินบุตรชายของเจ้าบาดาลจริงหรือไม่”
“เป็นความจริงที่ฆ่าสังหารเขา เพราะ...”
“ในเมื่อพระชายายอมรับ ขอไท่จื่อตัดสินให้ความเป็นธรรมกับบุตรของข้าด้วย”
“ช้าก่อนเจ้าบาดาล ดูเหมือนพระชายายังมีสิ่งที่ต้องพูดต่อ ท่านควรรอฟังความจากพระนางให้จบก่อน”
สือเฟิ่งรีบแทรกขึ้น อย่างไรเสียก็มั่นใจว่าหลานสาวของตนไม่สังหารใครส่งเดช แล้วบอกกับหลานอย่างช่วยเหลือ
“หนิงเฟิ่ง มีสิ่งใดจะพูดรีบพูดให้หมด”
“องค์ชายเผ่าบาดาลไปขอพบข้าที่เผ่าวิหค บอกว่าไท่จื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการพบ ข้าจึงรีบตามมา ไม่คิดเลยว่า...”
เล่ามาได้ครู่หนึ่งหนิงเฟิ่งก็อ้ำอึ้งไม่อยากพูด มองสบตาคู่คมของไท่จื่ออย่างไม่สบายใจ เพราะเขาไม่ได้มีท่าทีอ่อนลงให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นางจึงเอ่ยต่อด้วยความปวดหนึบในใจ
“เขาจะล่วงเกินข้า”
“ล่วงเกินหรือ”
ไท่จื่อพึมพำพร้อมสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วเหลือบมองเจ้าบาดาลตาขุ่นขวางเมื่ออีกฝ่ายรีบแก้ตัว
“เป็นไปไม่ได้ฝ่าบาท ซีเหวินไม่มีนิสัยเจ้าสำราญ เขายังไม่มีชายาด้วยซ้ำ อีกอย่างเขาย่อมรู้ว่าพระชายาของท่านไม่อาจแตะต้องได้”
“เช่นนั้นเขาไปพบพระชายาด้วยเหตุใด ไท่จื่อไม่ได้มีรับสั่งถึงพระชายา หากไม่มีเจตนาไม่ดี จะไปเชิญพระชายาให้เดินทางมาด้วยทำไม”
สือเฟิ่งแย้ง จุดบอดมีให้เห็นชัดเจน เขาจะไม่ยอมให้เจ้าบาดาลเอาผิดหลานสาวตนทั้งที่บุตรชายทำสิ่งเลวร้ายเด็ดขาด
“บังอาจล่วงเกินพระชายา สมควรตาย”
“ไม่จริง บุตรชายข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร เขาไม่มีวันยุ่งกับพระชายา”
“ท่านจะกล่าวหาพระชายาว่าลดตัวลงมายุ่งกับบุตรชายท่านเอง เช่นนั้นหรือ”
“เทพวิหค เจ้าบาดาล ท่านทั้งสองต่างก็เป็นผู้ใหญ่ อย่าเอ่ยโต้กันไปมาเช่นนี้เลย”
เทพสงครามอดไม่ได้ที่จะห้าม ในเมื่อยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนดึงพระชายาไท่จื่อลงมาสู่ความต่ำตม
ไท่จื่อกำมือแน่นกับสิ่งที่ได้ฟังทั้งที่ใบหน้าคมคายราบเรียบ ยิ่งเห็นว่าชายาของตนมองมานิ่ง ทว่าภายในดวงตานั้นมีน้ำเอ่อคลอก็นึกอยากพังวังบาดาลลากเอาคนตายออกมาเผาให้เป็นจุณ
“ไท่จื่อโปรดให้คำเป็นธรรม คนตายแล้วไม่อาจพูด ไม่อาจแก้ต่างได้ ข้าสงสารเหวินเอ๋อร์ของข้ายิ่งนัก”
เจ้าบาดาลเห็นว่าความผิดจะตกอยู่กับเผ่าบาดาลก็ยิ่งพูดให้ตนดูน่าสงสาร
“ข้าพูดความจริง”
หนิงเฟิ่งมองเพียงสวามีของตนขณะยืนยันความบริสุทธิ์ใจ มั่นใจว่าเขาจะเชื่อมั่นใจตัวนาง
“ข้าไม่รู้จักองค์ชายเผ่าบาดาลเป็นการส่วนตัว”
นางย้ำอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าบาดาลต้องการคนแก้ต่างก็ย่อมได้ ตามทหารคนที่รายงานคนนั้นมา”
ไท่จื่อออกคำสั่ง ไม่ต้องการให้เป็นที่ครหาได้ว่าตนลำเอียง ไม่นานทหารคนเดิมก็เข้ามาและถูกสั่งให้เล่าในสิ่งที่รับรู้ให้หมด
“เพราะเร่งรีบเดินทาง องค์ชายเกรงพระชายาจะอ่อนล้าจึงหยุดพักระหว่างชายแดนมนุษย์กับเผ่าบาดาลชั่วครู่ ตอนนั้นข้าจะเอาชาไปให้แล้วเห็นว่าพวกเขายื้อยุดกัน พระชายาบอกว่าจะไม่อยู่ที่นี่ องค์ชายขอให้อยู่ บอกว่ารักพระนางมาก แล้ว...เอ่อ...”
“พูดมา”
เมื่ออึกอักไท่จื่อก็สั่งเสียงเข้ม
“องค์ชายกอดรั้งพระนางไว้ ข้าไม่อาจอยู่ต่อจึงหลบออกมา ห่างเพียงไม่ถึงสามก้าวก็ได้ยินเสียงองค์ชายร้องขึ้น รีบกลับไปก็เห็นว่าถูกสังหารแล้ว ข้ากลัวพระนางจะฆ่าพวกเราทั้งหมดจึงรีบหนีมาก่อน แต่ก็คิดว่าต้องรายงานกับเจ้าบาดาลขอรับ”
คำพูดของทหารผู้น้อยยังดูกำกวม เหมือนจะไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้ทุกคนต่างมีสีหน้าคิดหนัก
หนิงเฟิ่งเม้มปาก ใบหน้างามล้ำไม่มีหวั่นไหว แม้ภายในใจคับแค้นและอับอายยิ่งนัก นางถูกล่วงเกินหมิ่นเกียรติและต้องประกาศต่อหน้าผู้คน ทั้งยังถูกสวามีไต่สวนราวนักโทษอย่างไม่เชื่อใจ สิ่งที่ทหารผู้นี้เอ่ยราวลากนางมาเผากลางลานประหารทั้งเป็นก็ไม่ปาน หากก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนนางไร้ยางอายลักลอบคบหาชายอื่นลับหลังสวามี
ดูสีหน้าที่เครียดขรึมนั่นสิ ทั้งที่นางพยายามสบตาไท่จื่อแต่เขากลับเมินจ้องเพียงทหารผู้นั้นราวไม่อยากมองหน้านางแล้ว
อยากรู้นักว่าใจท่านคิดเห็นเช่นไร เชื่อคนอื่นมากกว่าข้าผู้เป็นภรรยาหรือไม่
==========
หนิงเฟิ่งต้องใจแข็งแค่ไหน ต้องพูดเรื่องตัวเองถูกล่วงเกิน ยืนให้คนอื่นลากมาประจาน ^-^"
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทำให้นางหันมอง แล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ เพราะสองคนผู้มาใหม่พร้อมกับบิดามารดานั้นดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งฝ่ายผู้หญิงยังเดินตรงมาหานางเร็วกว่าคนอื่นและจับมือทันที“ช่างสวยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”อวี้หลันยืนงง ขณะอีกฝ่ายลูบผมนาง“หลันเอ๋อร์ นี่คือท่านย่าของเจ้า”มารดาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา“ท่านย่า”สาวน้อยย่อตัวลงเล็กน้อยแม้จะยังอึ้งแปลกใจ และบิดาก็เอ่ยขึ้นนางจึงต้องหันมองตาม“แล้วนี่ก็ท่านปู่”“ท่านปู่”นางย่อตัวลงอีกครั้ง สบตาคมดูมีอำนาจของผู้เป็นปู่แวบเดียวก็หลบ แล้วก็ต้องยิ้มบางกับท่านย่าที่ประคองสองข้างแก้มตน“ไหนให้ย่าดูชัดๆ สิ เหมือนเจิ้งหานเมื่อยังเด็ก แต่ก็คล้ายหนิงเฟิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตถึงเพียงนี้”“หากพวกท่านมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าข้าโตเร็ว”“หลันเอ๋อร์”หนิงเฟิ่งดุเสียงเบา ทว่าอวี้หลันไม่ได้สลดนัก นางคิดว่านางพูดความจริง ตนนั้นเห็นว่าบิดาเป็นเซียนปลายแถวทำสวน หากก็รักท่านมาก ทั้งเมื่อเห็นญาติฝ่ายมารดามาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังอดคิดไม่ได้ว่าบิดาคงโดดเดี่ยวไร้ญาติ น่าสงสาร แต่นางก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับผู้ใด“จริงนี่เจ้าคะ ข้าคิดว่
“แล้วนี่จะเรียกว่าท่านปรนนิบัติได้อย่างไร”นางนึกหมั่นไส้คนที่ถูกตำหนิแล้วยังยิ้มกลับมาตรงหน้านัก“อย่างนี้ไงเล่า”มือหนาข้างหนึ่งวางกระชับสะโพกผาย ส่วนอีกข้างทาบเหนือทรวงอวบขาวแล้วฟอนเฟ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังสลับไปมาขณะที่สะโพกแกร่งด้านล่างก็ขยับเร้าร่างหญิงสาวจนในที่สุดหนิงเฟิ่งก็ต้องเคลื่อนไหวสะโพกตนตามอีกฝ่าย“อืม ไม่นะ นี่ข้าปรนนิบัติท่าน”มือเกาะบ่าหนาเป็นหลักขณะเอ่ยแย้ง“แล้วอย่างนี้เล่า”คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเปลี่ยนมาไล้วนเหนือสัดส่วนบอบบางด้านหน้าเร็วรี่จนหญิงสาวต้องกัดฟันครางยาวในลำคอ ซุกซบใบหน้าลงกับซอกคอแกร่งเพราะอ่อนไหวเสียดสยิวจนไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ร่างงามเกร็งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนไฟลุกท่วมตัวกระทั่งกระตุกอย่างรุนแรง เอนกายเข้าหาร่างแกร่ง และแขนกำยำก็โอบกอดนางไว้ ขณะที่สะโพกหนาเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกำลังเริ่มต้น หากหนิงเฟิ่งก็รู้ว่าเขาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้“พอใจหรือยังชายาที่รักของข้า”นางกัดฟันไม่ยอมตอบหากกลับนั่งตั้งหลักอย่างมุ่งมั่น โยกไหวสะโพกสวนกลับชายหนุ่ม เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว เห็นว่าชายหนุ่มเองก็ขบกรามแน่นเช่นกันนางก็นึกพอใจ ในเมื่อถูกเล่นง
“องค์ชายเจิ้งหานมาขอพบเจ้าค่ะ”อิงอิงกระซิบบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำเล็กหนิงเฟิ่งขมวดคิ้ว นึกแปลกใจด้วยปกติแล้วเจิ้งหานจะไม่เข้ามาในตำหนักหากไม่มีกิจจำเป็น ทั้งยังในเวลาส่วนตัวเช่นนี้ทว่าวันนี้เขามาร่วมโต๊ะกับเทพธิดาบุปผาที่ต้อนรับไท่จื่อสวรรค์ในตำหนัก ส่วนหนิงเฟิงกับลูกอยู่ที่ตำหนักเล็กของตน เพราะเห็นว่าเป็นการใหญ่เกินไป นางไม่อยากให้อวี้หลันคิดว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น อยากให้ลูกเป็นเทพเซียนน้อยผู้หนึ่งในดินแดนบุปผาเท่านั้น“เวลาเช่นนี้น่ะหรือ”เวลาที่นางอาบน้ำอยู่...อีกฝ่ายคงเพิ่งแยกจากไท่จื่อจิ่นลี่แล้วมายังตำหนักเล็กนี้“อิงอิงจะไปทูลว่าองค์หญิงยังไม่สะดวก”อิงอิงเอ่ยอย่างรู้ใจ ทว่าเสียงเข้มดังขึ้นห่างออกไป“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”เจิ้งหานเชิญตนเองเข้ามา ทำเอาอิงอิงหน้าเสีย ตำหนักเล็กของหนิงเฟิ่งนั้นมีเพียงอิงอิง เพราะนางต้องการเพียงเท่านี้ และถือว่าตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยเทพธิดาบุปผาจึงไม่ต้องการมีคนมาคอยห้อมล้อมเช่นตอนที่อยู่เผ่าวิหค หรือแม้แต่บนสวรรค์ นางต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองแม้มีม่านกั้นหากหนิงเฟิ่งก็รู้สึกขนลุกและวูบวาบตามผิวกายเพียงได้ยินเสียงเข้มของเจิ้งห
ไท่จื่อจิ่นลี่เพิ่งเคยมายังดินแดนบุปผาครั้งแรก ความงดงามชื่นตาชื่นใจจากพันธุ์ไม้ดอกไม้ให้ความรู้สึกสดชื่นในทันทีที่เหยียบย่างเข้ามา“ท่านมาพบผู้ใด โปรดแจ้งนาม”ผู้ที่เฝ้าประตูทางเข้าดูค่อนข้างมีอายุ หากก็ไม่ถึงกับดุเข้มจนน่ากลัว“ข้ามาพบเจิ้งหาน บอกเขาว่าจิ่นลี่มาเยี่ยมเยือน”ครั้งนี้เขาลงไปแก้ปัญหาน้ำหลากท่วมบ้านเรือนมนุษย์กับหวังหย่ง และผ่านดินแดนบุปผาจึงอยากเยี่ยมพี่ชายที่ไม่พบหน้ากันมาถึงพันสองร้อยปี“ชื่อท่านช่างคุ้นยิ่งนัก”หวังหย่งขยับจะพูด ทว่าจิ่นลี่เหลือบมองห้ามปรามจึงเงียบไป“เชิญตามข้ามาทางนี้”อีกฝ่ายไม่ซักไซ้สงสัย ทั้งยังนำทางโดยง่าย จิ่นลี่ก็ยิ้มบางแล้วเดินตามไปโดยมีหวังหย่งผู้ที่มีหน้าที่ช่วยราชกิจไท่จื่อแบบใช้กำลังตามติดไม่ห่าง ส่วนจางหย่งนั้นเป็นผู้ดูแลงานด้านงบประมาณและฎีกาเมื่อมาถึงหน้ากระท่อมเนินเขาที่มีไร่ดอกไม้ล้อมรอบจิ่นลี่ก็รู้สึกไม่ดียิ่งนัก พี่ชายตนต้องลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่อยู่หลับนอนก็เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ หากมารดามาเห็นคงปวดใจ ยิ่งบิดาคงยิ่งกรุ่นโกรธผู้นำทางไปแล้วจิ่นลี่กำลังคิดว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ก็มีเสียงหวานใสของผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ห่างนัก“พ
“ยอดดวงใจของข้า เจ้าเจ็บปวดกับสิ่งที่ข้าทำ ไม่ยกโทษให้ไปอีกแสนปีก็ย่อมได้ ตามแต่ใจเจ้าต้องการ แต่ความรักของข้าก็ยังเป็นเจ้า หัวใจของข้าอยู่ที่เจ้าเสมอหนิงเฟิ่ง”บอกแล้วปากได้รูปก็จูบลงบนหน้าผากสวยราวตอกย้ำคำพูดตน เขาไม่ต้องการขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้อีกแล้ว นับจากได้ยินว่าตนสั่งลงทัณฑ์สายฟ้าจนเกือบสูญเสียลูกน้อยและหนิงเฟิ่งพยายามเพียงไรเพื่อให้อวี้หลันมีชีวิตอยู่ เจิ้งหานก็ปวดร้าวในอก เขาเกือบฆ่าลูกของตนไปแล้ว หากไม่เพราะหนิงเฟิ่งคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหรือได้อุ้มลูกน้อย“ข้าไม่รู้”เสียงหวานพร่าเอ่ยเบาหวิว“แต่ข้ารู้เพียงว่า มีท่านอยู่ใกล้ ข้ากับลูกจะปลอดภัย”ใบหน้างดงามนองน้ำตาเงยขึ้น เจิ้งหานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เขาก้มลงทาบทับปากได้รูปบนหน้าผากสวย เปลือกตาทั้งสองข้าง และข้างแก้มที่ชื้นด้วยน้ำตา ก่อนจะไล่มายังริมฝีปากอิ่ม จูบซับบางเบาแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้น มือช้อนใต้ศีรษะเล็กเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแหงนเงยรับเขาปลายลิ้นอุ่นเริ่มเคลื่อนไล้ก่อนจะรุกล้ำภายในปากนุ่มเพราะอีกฝ่ายเปิดหนทาง หนิงเฟิ่งจูบตอบคลอเคลียกับชายหนุ่มอย่างยินยอม สองแขนเรียวเค
หนิงเฟิ่งลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จำเหตุการณ์สุดท้ายได้จึงรีบผวาลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนอนอยู่ในอ้อมกอดระหว่างกลางร่างตนกับเจ้าของร่างสูงสง่า ทั้งยังหายใจขึ้นลงผะแผ่วเป็นปกติก็ถอนหายใจ เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ค่อนข้างซีดแล้วก็แตะหลังมือบนหน้าผากกว้างอีกฝ่ายตัวอุ่นแต่ดูเหมือนคนป่วยทำให้นางขมวดคิ้ว ทว่ามาคิดดูแล้วคงเพราะเจิ้งหานใช้พลังเพื่อช่วยนางกับลูก เห็นอย่างนี้แล้วนางจะพาอวี้หลันกลับไปเลยก็คงไม่ได้ร่างอ้อนแอ้นลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยไปวางบนเตียงด้านใน ส่วนร่างสูงของเจิ้งหานนางร่ายเวทย์เคลื่อนย้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งเขากับลูกและตนเอง ห่มผ้าให้ทั้งคู่อย่างเรียบร้อยก่อนจะออกไปด้านนอกหนิงเฟิ่งไปยังบ่อน้ำทิพย์และนำน้ำกลับมาให้เจิ้งหานดื่ม นางพยายามค่อยๆ ประคองอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำทิพย์จนสำเร็จ เช็ดปากและห่มผ้าให้เช่นเดิม ทว่าพอจะลุกขึ้นกลับถูกจับข้อมือไว้“นี่ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”นางหันไปมองพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม“เพิ่งรู้สึกตัวก่อนที่เจ้าจะเข้ามานี่แหละ พอได้ยินเสียงก็เลยหลับตาลงต่อ”“ท่านหลอกข้า”หนิงเฟิ่งพยายามดึงมือออกจากอีกฝ่ายให้ได้“เปล่าเลย แค่หลับตา