ログインบทที่ 1
แม่นมจางผู้เคร่งครัดและดุดันที่หลายวันมานี้ถิงเฟยหวาดกลัวยิ่งนัก พลันกลับต้องพ่ายแพ้ถอยทัพกลับไปหาเฝิงกุ้ยเฟยผู้เป็นนายเพียงถูกซู่จิ้งอ๋องกล่าวเพียงสี่คำเพียงเท่านั้น บุรุษนามจ้าวเหลียงอี้ช่างน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงจะหวาดกลัวเพียงใด เด็กสาวกลับยังยืนหยัดไม่ทิ้งผู้เป็นนายหญิงของนางไปที่ใด
“เจ้าเองก็ออกไปด้านนอกก่อนสักครู่ เปิ่นหวางมี ‘ธุระ’ จะคุยกับพระชายาของเปิ่นหวางสักครู่เท่านั้น”
แน่นอนว่าคราวนี้ถิงเฟยไม่รอให้จ้าวเหลียงอี้พูดซ้ำ นางเร่งออกไปทันทีเมื่อเขาจบประโยคเหล่านั้น เนื่องจากนางคิดว่าการออกไปจะเป็นผลดีกับผู้เป็นนายของตนเองมากกว่าที่นางจะดื้อดึงอยู่ต่อไปนั่นเอง ฝ่ายของหานซางจื่อนั้นทำเพียงนั่งเก็บมือและเท้าอย่างสงบ มิได้หวั่นไหวอันใดกับทุกฝีเท้าที่จ้าวเหลียงอี้สืบเข้ามาใกล้ตนเองเลยแม้แต่น้อย
“พอดีว่าเมื่อครู่มู่สือเพิ่งมาแจ้งกับเปิ่นหวางว่า ม้าพันธุ์เหงื่อโลหิตของเปิ่นหวางมันเจ็บท้อง คาดว่าคงใกล้จะคลอดเต็มทน ดังนั้นราตรีนี้ห้องหอเจ้าก็ครอบครองไปแต่เพียงผู้เดียวเถิด เปิ่นหวางไม่สะดวกจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าหรอกพระชายาหาน”
ถึงจะเตรียมใจมาแล้วเป็นอย่างดี แต่หานซางจื่อก็มิคาดว่า ‘ข้ออ้าง’ ที่จ้าวเหลียงอี้ใช้เพื่อจะไม่ร่วมหอกับตนเองจะเป็น ‘ม้ากำลังจะตกลูก’ เช่นนี้ สาวน้อยเผลอตัวยกมือขึ้นจับผ้าคลุมหน้าเปิดออกแล้วมองจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อ แต่เพราะเช่นนั้นหานซางจื่อจึงทันจะได้เห็นว่า ประตูห้องหอปิดไม่สนิท และหน้าห้องนั้นมีเท้าอยู่หลายคู่นอกจากถิงเฟยคนสนิทซึ่งติดตามมาจากสกุลหานของตน ก็คาดว่าคงมีคนของซู่จิ้งอ๋องอยู่ด้วยหลายชีวิตเป็นแน่
…บัดซบ!…
‘บุรุษผู้นี้ช่างอำมหิตเกินไปแล้ว ไม่ไหว้หน้าสกุลหานของข้าเลย’ หานซางจื่อพึมพำอยู่เพียงในใจแล้วพยายามควบคุมอารมณ์ไม่พึงใจลงไปโดยเร็ว เพราะถูกฝึกมาทั้งชีวิตจนสำเร็จแล้วเตรียมขยับเรียวปากบอกให้จ้าวเหลียงอี้ช่วยทำพิธีต่างๆ ให้ครบเสียแล้ว เขาจะไปที่ใดก็ไปเถิด นางย่อมไม่คิดจะรั้งเขาเอาไว้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะในใจเสมอมาก็หาได้รู้สึกอันใดกับเขาผู้นี้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม
“เร่งร้อนเช่นไรซู่จิ้งอ๋องก็ช่วยรักษาธรรมเนียม รอให้เลยฤกษ์เข้าหอผ่านไปก่อนจะได้หรือไม่เพคะ”
ขอเพียงเขารั้งอยู่จนเลยฤกษ์เข้าหอไปแล้ว พรุ่งนี้ถึงพิธียกน้ำชาให้กับเฝิงกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาสวามีของนางก็ไม่ถึงกับนับว่ายุ่งยาก และยังจะนับได้ว่ารักษาหน้าตาของคนสกุลหานของนางได้อีกด้วย
“เอาละ เปิ่นหวางกำลังรีบ เช่นนั้นที่เหลือเจ้าจัดการเองไปก็แล้วกัน ฝนใกล้จะตกเต็มทนแล้ว หากช้าไปจะไม่ทันเปิ่นหวางไม่อยากพลาดโอกาสได้เห็นม้าคลอดอย่างปลอดภัย
“……”
กล่าวจบแล้วจ้าวเหลียงอี้ก็เดินจากไปโดยปล่อยให้ ‘เจ้าสาว’ เช่นหานซางจื่อได้แต่นั่งเป็นบื้อเป็นใบ้อยู่บนเตียงแม้นแต่ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ‘เขา’ ผู้นั้นก็ไม่คิดจะมีน้ำใจมา ‘ปลด’ มันให้นางสักนิด ช่างใจดำอำมหิตเกินไปจริงๆจ้าวเหลียงอี้นะจ้าวเหลียงอี้
“คุณหนู! เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ?!”
ถิงเฟยวิ่งเข้ามาอย่างลืมรักษากิริยาที่ถูกฝึกอบรมสั่งสอนจากฮูหยินรองมาทั้งชีวิตสิบหกหนาวของนางในจวนสกุลหานไปจนสิ้น เมื่อจ้าวเหลียงอี้ไม่ถึงครึ่งเค่อกลับทิ้งเจ้าสาวผู้เป็นนายของตนเองไว้ลำพังในห้องหอเช่นนี้ มันเป็นเรื่องไม่ดีเลยไม่ใช่หรือไร?!
“เอะอะโวยวายไปไย สงบกิริยามารยาทเอาไว้ ที่แห่งนี้คือตำหนักซู่จิ้งอ๋องหาใช่สกุลหาน ท่านแม่ของข้ากำชับเจ้ามาแล้วกำชับเจ้ามาอีก เจ้าลืมสิ้นแล้วหรือถิงเฟย”
ขณะเอ่ยเตือนสติสาวใช้ใกล้ชิด มือเรียวเล็กของหานซางจื่อก็ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกจากศีรษะช้าๆ ไปพลาง นางแกะผ้าที่มารดานั้นตั้งใจปักให้ด้วยกิริยาทะนุถนอมอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่สนใจว่าบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามีนั้นจะสนใจหรือไม่
“ไปสั่งคนเตรียมน้ำให้ข้าอาบเถิด และก็เลิกแตกตื่นได้แล้ว จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็จงรับมือด้วยสติจึงนับว่าพอจะต้านและผ่านทุกสิ่งไปได้ จงจำไว้นะถิงเฟย”
ถิงเฟยมีเป็นหมื่นเป็นล้านคำที่นางอยากจะพูดอยากจะเอ่ย แต่คงเป็นเพราะ ‘คุณหนูสาม’ ของตนกลับมีแต่สีหน้าสงบเยือกเย็น กิริยาก็ยังสง่างามสมฐานะพระชายาของซู่จิ้งอ๋อง จนเด็กสาวไม่กล้าแตกตื่นอีกเลย ในอดีตเด็กสาวก็นับถือคุณหนูสามของตนเองมาโดยตลอด มิคาดพออีกฝ่ายได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาของซู่จิ้งอ๋องแล้วจะยิ่งสุขุมเยือกเย็นเพิ่มขึ้นไปอีกหลายส่วน
“เจ้าค่ะ”
หานซางจื่อทอดสายตามองตามแผ่นหลังบอบบางของสาวใช้รุ่นน้องที่อายุอ่อนกว่านางเพียงแค่หนึ่งหนาวด้วยแววตายากจะหยั่งถึงความรู้สึกให้ผู้อื่นจับผิดได้ นับจากจำความได้นางก็ได้รับการสั่งสอนมาเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่อายุของนางกับถิงเฟยแม้วัยต่างกันเพียงหนึ่งหนาว แต่นางกลับเติบโตกว่าสาวใช้ข้างกายอยู่หลายหนาว ดังนั้นทุกวันนี้นางมีแค่เพียงเก็บซ่อนทุกอารมณ์เอาไว้ภายในอกคนเดียวเท่านั้น จะเจ็บ จะปวด จะทุกข์ หรือสุข นางมีเพียงรู้แจ้งด้วยตนเอง
“พระชายาซู่จิ้งอ๋องเพคะ น้ำเตรียมเสร็จแล้วเพคะ”
นางกำนัลวัยเดียวกับถิงเฟยนามว่า ‘หงเจี๋ย’ เข้ามารายงานหลังจากที่หานซางจื่อให้ถิงเฟยออกไปแจ้งกับคนของตำหนักซู่จิ้งอ๋องว่า ตนเองต้องการจะอาบน้ำ จากนั้นถิงเฟยกับนางกำนัลนาม ‘ซูผิง’ จึงย้อนกลับมาช่วยผู้เป็นนายหญิงของตนเองปลดเครื่องหัวและเครื่องประดับกับอาภรณ์ชั้นนอกเสร็จสิ้นพอดี
“อาหารเหล่านี้เย็นหมดแล้ว ให้คนยกไปอุ่นให้เปิ่นหวางเฟยด้วยนะ พออาบน้ำเสร็จจึงค่อยยกมาอีกครั้งก็แล้วกัน”
หานซางจื่อสั่งการหงเจี๋ยแล้วจึงเดินตามซูผิงไปยังห้องอาบน้ำโดยมีถิงเฟยเดินตามรั้งท้าย หญิงสาวหยุดชะงักไปเล็กน้อยกับห้องอาบน้ำอันหรูหรา แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปลายเท้าเรียวเล็กก้าวลงไปสัมผัสน้ำอุ่นกำลังดีในถังไม้ใหญ่ขนาดยักษ์แล้วพึงใจไม่น้อย
เนื่องจากความอุ่นของน้ำอยู่ในระดับกำลังดี แถมยังมีกลิ่นหอมของดอกหลันฮวาสีขาวพิสุทธิ์กับดอกกุ้ยฮวานั้นยิ่งทำให้สาวน้อยที่ไม่อาจเฉลิมฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดวัยสิบเจ็ดหนาวบริบูรณ์ แต่กลับต้องมาแต่งงานกับบุรุษที่เขาไม่รักไม่ต้องการวุ่นวายอยู่ตั้งเช้าจรดค่ำ จวบจนจากค่ำจะถึงยามวันใหม่อีกแล้ว นางจึงปวดเมื่อยไปหมด เมื่อได้แช่น้ำอุ่นเช่นนี้ย่อมผ่อนคลายไม่น้อย หานซางจื่อปล่อยให้ซูผิงกับถิงเฟยช่วยปลดเสื้อคลุมแล้วจึงก้าวลงทรุดกายลงนั่งแช่น้ำในถังไม้ขนาดยักษ์อย่างสบายใจ
“พระชายาหานต้องการสระผมหรือไม่เพคะ”
ซูผิงถามด้วยกิริยาระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางนั้นต้องรับใช้สตรีสูงศักดิ์ ปกติแล้วนางรับใช้อยู่ในตำหนักของเฝิงกุ้ยเฟยมาโดยตลอดนับจากเข้าวัง วันนี้จึงนับว่าซูผิงได้เริ่มต้นรับใช้ ‘นายหญิง’ คนใหม่แล้วไม่อาจทราบได้ว่า นิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร จะดีหรือร้ายนางล้วนไม่กระจ่างทั้งสิ้น
“ก็ดี”
กล่าวแล้วหานซางจื่อจึงพิงแผ่นหลังบอบบางของตนเองกับขอบถังอาบน้ำ ปล่อยศีรษะให้ซูผิงได้จัดการสระผมให้ส่วนถิงเฟยนั้นช่วยขัดถูผิวขาวสะอาดราวกับหยกมันแพะไป นางหลับตานึกไปถึงเมื่อสามเดือนก่อนที่ตนเองยังเป็นคุณหนูสาม แต่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหนานไค่กั๋วกง ญาติฝ่ายมารดาของซ่งฮองเฮาเช่น ‘หานซางเจี้ยน’ ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเทียนสุ่ย
ดังนั้นต่อให้นางเกิดจากฮูหยินรอง แต่ก็ยังสามารถแต่งงานเป็นพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋องได้โดยไร้ข้อโต้แย้ง ต่อให้เฝิงกุ้ยเฟยและตัวของซู่จิ้งอ๋องนั้นจะไม่พึงใจเพียงใดก็ตาม…
บทที่ 20หน้าจวนหนานไค่กั๋วกงวันนี้คึกคักอย่างยิ่ง เพราะสามวันก่อนพวกชาวบ้านใกล้เคียงไร้วาสนาจะได้ชื่นชมรูปโฉมของคุณหนูสามที่แต่งออกไปเป็นพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋อง หรือซู่จิ้งหวางเฟยของเทียนสุ่ยที่ฮ่องเต้เป็นผู้เลือกด้วยตนเองเพราะนางถูกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกับอาภรณ์เต็มพิธีการปกปิดเอาไว้ วันนี้ได้ข่าวว่านางจะกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม พอรถม้าของหานซางจื่อเลี้ยวพ้นหัวโค้งถนนจึงพบกับภาพชาวบ้านเนืองแน่น“ชาวบ้านพวกนี้เขาไม่มีการมีงานทำกันหรือไรนะถิงเฟย?”“เรื่องปกติ นายหญิงอย่าได้คิดมาก เรื่องของผู้อื่นล้วนน่าสนใจเสมอ”“อ๋อ”หานซางจื่อรับคำเพียงเท่านั้นก็เงียบไปรอจนรถม้าหยุดนิ่งก็ก้าวลงไปหาบิดากับมารดาเลี้ยง และพี่ชายคนโตเช่นหานเจาจง กับสะใภ้ใหญ่ รวมถึงเหล่าอนุภรรยาทั้งสี่ของเขาด้วยกิริยาสง่างาม“นางโฉมงามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงถูกซู่จิ้งอ๋องหมางเมิน?”“นั่นน่ะสิ หรือนางมีโรคร้าย”เสียงของท่านป้าสองคนกระซิบกระซาบกัน แต่เพราะหานซางจื่อนั้นมีวรยุทธ์สูงกว่าคนปกติ ให้เบาและไกลกว่านี้นางก็ได้ยิน ทว่านางกลับไม่ใส่ใจ อยากนินทาก็ทำไปนางไม่เดือดร้อน“ซางจื่อคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ พี่ใหญ่ สะใภ้ใหญ่”“ลุกขึ้
บทที่ 19แต่มิคาดว่าเพียงเขาสัมผัสถูกฝ่ามือของสาวน้อยผู้เป็นพระชายาเท่านั้นกลับต้องทั้งตกใจ ทั้งสงสัย และมีความแปลกใจผสานอยู่หลายส่วน เพราะว่าฝ่ามือของหานซางจื่อนั้นกลับหยาบกระด้างกว่าฝ่ามือของบุรุษเช่นเขาเสียอีกพอจับมากางออกจึงเห็นชัดเจนว่า มีตุ่มไตที่เป็นรอยด้านมากเพียงใด ฝ่ามือของนางกำนัลที่อยู่หน่วยซักล้างอาภรณ์ในราชวังถ้าเขาจำไม่ผิดยังไม่น่าจะหยาบกระด้างเท่านี้“หลินเปียว?”คนเดียวที่เขาเคยสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหยาบกระด้างใกล้เคียงกับฝ่ามือของหางซางจื่อที่นึกออกก็คือองครักษ์เงานามหลินเปียวเท่านั้น เพราะแม้แต่มู่สือเองหรือกงเหวินก็ยังไม่มีฝ่ามือหยาบกระด้างเช่นที่หานซางจื่อมีเลยสักนิด นามขององครักษ์เช่นหลินเปียวผู้เดียวที่เขาคุ้นเคยจึงหลุดออกมาจากปากของเขาราวกับละเมอ“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”จ้าวเหลียงอี้จับมือเล็กพลิกไปมาด้วยกิริยากังขาไร้ความกระจ่างดวงตาเลื่อนลอย เพราะกำลังใช้ความคิดแต่ไม่นานเขาก็ตรวจชีพจรของนางดูตามที่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าที่แท้นางหลับจริงหรือเสแสร้ง สุดท้ายก็กระจ่างว่า นางหลับสนิทจริงๆ“!!?”ตุ๊บ!“!!!”และเพราะเขาตรวจชีพจรของนางจึงพบว่าที่ข้อมือของนางมีรอยกรีดที่ไม
บทที่ 18หานซางจื่อถึงกับเผลอใจสบถอยู่ในหัวอก แต่พอได้สติก็รู้สึกผิดจนแทบอย่างจะกัดลิ้นตนเองเสียนัก เกิดมาถึงป่านนี้นางไม่เคยหยาบคายได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ภายในใจนางก็ไม่เคยด่าทอไปถึงบิดามารดรของผู้อื่นมาก่อน อาจมีบ้างที่เผลออุทานสบถในใจยามตกใจ แต่ไม่เคยสบถเพราะควบคุมอารมณ์โกรธมิได้เช่นนี้“ลำบากอี้เกอจริงๆ ต่อไปขอหม่อมฉันเรียกท่านว่า ‘พี่อี้’ เถิดนะเพคะ คำว่าท่านพี่นั้นหม่อมฉันรู้สึกว่ามัน...ประหลาดยิ่งนัก ไม่อาจเรียกได้อย่างราบรื่นเพคะ”‘ช่างบัดซบยิ่งนัก วันนี้ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกรงว่าจะต้องถูกบุรุษนามเหลียงอี้ผู้นี้พรากไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?’ หานซางจื่อรู้สึกว่าตนเองอยากหลับสักตื่น แต่มิอาจทำได้ต้องมาถูกจ้าวเหลียงอี้ทรมานไม่สิ้นสุด บุรุษผู้นี้ช่างเป็นดาวมรณะ เป็นตัวเภทภัยของนางจริงๆ“เอาอย่างนั้นหรือ?”“เพคะ”จ้าวเหลียงอี้ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องเหล่านี้ เพราะที่เขามาก็เพียงต้องการจะมาดูอาการป่วยของนางให้กระจ่างเท่านั้น เพราะมีบางสิ่งผิดปกติไปนับตั้งแต่นางดื่มน้ำชาถ้วยนั้นแทนเขาได้ไม่นาน อาการของหานซางจื่อก็เปลี่ยนไปในเวลาราวหนึ่งก้านธูป หากน้ำชาถ้วยนั้นไม่มีปัญหาเหตุใดอาการของนางจึงทร
บทที่ 17ผ่านไปอีกสองชั่วยามหานซางจื่อจึงค่อยคืนสติกลับมา กระนั้นอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก แต่การเดินลมปราณขับเลือดพิษออกมาบางส่วนนั้นก็นับว่าได้ผลพอสมควร แต่ผลกระทบก็คือการเสียเลือดไปมากทำให้นางอ่อนล้าและง่วงงุนมากกว่าปกติตลอดเวลา“สยงต้าเกอส่งยามาให้แล้วพร้อมกับตำราแก้พิษของกระเรียนแดงมาแล้วแต่ก็ยังติดปัญหาที่ส่วนหนึ่งคือยาบำรุงเลือดเสียแปดส่วน ที่แห่งนี้หากจะต้มยาจะเกิดผลร้ายหรือไม่ดังนั้นถิงเฟยไม่กล้าตัดสินใจจึงรอให้นายหญิงตื่นขึ้นมาก่อนแล้วถามให้แน่ชัดเจ้าค่ะ”เรื่องเชื่อฟังนายหญิงนับว่าถิงเฟยเองก็ไม่น้อยหน้าสาวใช้สกุลอื่น ดังนั้นเรื่องสำคัญเด็กสาวจึงไม่กล้าตัดสินใจเองเด็ดขาด โดยเฉพาะภายในตำหนักซู่จิ้งอ๋องและสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ ถิงเฟยยิ่งต้องรอฟังคำสั่งเพียงเท่านั้น“เรื่องนี้เจ้าให้ซูผิงหรือหงเจี๋ยจัดการได้เลย เพราะเมื่อช่วงยามอู่ที่ข้าและซู่จิ้งอ๋องกลับมาด้วยกันได้บอกแก่เขาไปแล้วว่า ข้าไม่สบายตัว มีปัญหาสุขภาพของสตรี เรื่องต้มยาบำรุงเลือดนี้จึงนับว่าไม่ผิดปกติอันใด อย่างดีก็อ้างว่ารอบเดือนของข้ามามากเกินไป”หานซางจื่อเอ่ยเสียงแผ่วพลังกำลังภายในของนางบัดนี้สูญสิ้นไปไม่น้อย
บทที่ 16ตลอดเส้นทางจนถึงรถม้าคราวนี้หานซางจื่อเดินได้เนิบช้ายิ่งนัก จนจ้าวเหลียงอี้ต้องรั้งฝีเท้ารอนางอยู่หลายครั้งพอขึ้นรถม้าได้สาวน้อยก็ปิดตาหลับทันที ใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแต่ผิวกายของนางกลับซีดเซียวจนมีสีเริ่มออกม่วงใกล้ดำคล้ำทว่าพอนางไม่ปริปากบอกว่าตนเองเป็นอันใดออกไป ชายหนุ่มก็ไม่ติดใจสอบถามเช่นกัน เพราะคิดว่านางเย่อหยิ่งนักก็ปล่อยนางป่วยไปก็แล้วกัน คนเช่นเขามีสตรีเอาอกเอาใจมาทั้งชีวิต จะให้ลดตัวไปเอาใจสตรีก่อนสังหารเขาเสียยังจะง่ายกว่า ฝ่ายหานซางจื่อนั้นกระจ่างแล้วว่าพิษที่ซ่งฮองเฮาตั้งใจมอบให้กับจ้าวเหลียงอี้คือพิษกระเรียนแดงก็เมื่อเดินทางออกจากวังหลวงได้ครึ่งทางแล้วซึ่งพิษนี้จะไม่กำเริบเร็วและหนักถึงเพียงนี้ หากว่านางไม่เคยถูกพิษน้ำค้างเหมันต์มาก่อน พิษเย็นและพิษร้อนมารวมอยู่ในร่างของคนผู้เดียว หากว่าพอเหมาะก็ไม่เกิดอันใด แต่นางรับมามากทั้งสองที่ควบคุมจนไปถึงตำหนักซู่จิ้งอ๋องนางไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า ตนเองจะสามารถควบคุมพิษนี้ไม่ให้แสดงให้จ้าวเหลียงอี้รู้แจ้งได้หรือไม่วรยุทธ์ขั้นเก้านี้มิอาจสะกดพิษทั้งสองไม่ให้ปะทะกันได้นานนัก“เจ้ากำลังไม่สบายหรือไม่ซางซาง”สุดท้
บทที่ 15กว่าถานจีเซียงจะคิดได้ว่า ตนเองผิดไปเสียแล้วก็เมื่อเห็นสายตาไม่พึงใจและกรุ่นโกรธของจ้าวหลงเฉินนั่นแหละมือไม้เรียวงามอย่างสตรีสูงศักดิ์พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ใบหน้าก็ซีดเผือดยิ่งกว่าหานซางจื่อเสียอีก เห็นแล้วทำเอาพระชายาหานให้นึกระอาสตรีโง่เขลาเช่นไท่จื่อเฟยถานอยู่ในใจเสียมิได้“พอดีว่าหม่อมฉันหน้ามืดระหว่างเดินผ่านศาลาที่ไท่จื่อเฟยนั่งพักอยู่ ไท่จื่อเฟยเมตตาจึงให้นางกำนัลข้างกายมาเชิญให้หม่อมฉันกับซู่จิ้งอ๋องแวะมานั่งพักเพคะไท่จื่อ”แน่นอนว่าหานซางจื่อเตรียมการมาก่อนแล้วจึงเอ่ยวาจาได้ไหลลื่นอย่างยิ่งไร้ข้อพิรุธให้คนขี้ระแวงเช่นจ้าวหลงเฉินได้กังขา“ต้องขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่เมตตาหม่อมฉันยิ่งนัก”กล่าวแล้วก็หันไปโค้งกายให้กับถานจีเซียงทั้งที่ยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวเหลียงอี้ด้วยกิริยาอ่อนหวานยิ่งนัก ซึ่งขณะนั้นเจ้าของอ้อมแขนก็ไปสะดุดกับสายตาของจ้าวลู่ฉือที่ทอดมองมายังร่างในอ้อมแขนของตนเองเข้าพอดี ต่อให้เขาเป็นคนอ่อนด้อยในเรื่องสตรี แต่สายตาของบุรุษด้วยกันย่อมกระจ่างต่อสายตาของพี่ชายลำดับที่ห้าในทันใด“จริงหรือเซียงเอ๋อร์”จ้าวหลงเฉินถามถานจีเซียงด้วยใบหน้านิ่ง สายตาจับผิดจนพ







