LOGIN
บทนำ
สายลมของต้นฤดูหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระยะ แสงเทียนมงคลในห้องหอตำหนัก ‘เฟิ่งหนิง’ ของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดนเทียนสุ่ยกำลังโยกไหวโอนเอนไปมาตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง จนบังเกิดแสงและเงาวูบวาบราวกับเปลวเทียนนั้นกำลังเริงระบำอยู่ก็มิปาน ยามจื่อแล้ว งานเลี้ยงด้านนอกยังคงแว่วเสียงร้องรำทำเพลง และเสียงสรวลเสเฮฮามาให้ผู้เป็นเจ้าสาวซึ่งอยู่ภายในห้องหอได้ยินอยู่เป็นระยะ ถึงอากาศจะหนาวเหน็บ แต่สุรามากมายดื่มได้ไม่จำกัดนั่นก็คงทำให้ทุกคนคลายหนาวไปได้ ดูท่างานเลี้ยงนี้คงยังอีกยาวไกล ท้องฟ้าไม่กระจ่างคงไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่
ภายในห้องหอขณะนี้นั้นมีสาวน้อยผู้สวมชุดเจ้าสาวอย่างเต็มพิธีการของราชวงศ์จ้าว ผู้เป็นใหญ่อยู่เหนือผู้คนทั้งเทียนสุ่ยกำลังทอดสายตามองตรงไปยังโต๊ะอาหารมงคลสำหรับคู่บ่าวสาวที่อยู่กลางห้องผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงแสบตาเจิดจ้าอย่างยิ่ง นางมองอาหารน่ากินเหล่านั้นที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องมันเลยแม้เพียงครึ่งคำด้วยสายตาละห้อย เพราะ ‘เจ้าบ่าว’ นั้นจนป่านนี้แม้แต่เงาก็ยังไม่ปรากฏกายให้ได้เห็น ขณะนั้นเองสายลมด้านนอกเริ่มพัดกรรโชกรุนแรงขึ้นอีกหลายส่วน คาดว่าอีกไม่นานหิมะแรกของต้นฤดูหนาวก็คงจะตกลงมาแล้วเป็นแน่ เด็กสาวหิวจนตาลาย หิวจนแสบท้อง แต่บุรุษผู้เป็นสวามีไม่มา นางก็มิอาจแตะต้องอาหารโอชะบนโต๊ะนั้นไปได้
หากแต่เลยยามจื่อมาราวหนึ่งก้านธูปกลับยังไร้เงาของคนผู้นั้น 'จ้าวเหลียงอี้' นั่นคือนามของบุรุษผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ่าว และนับจากนี้ก็เขาก็คือสวามีของนางอย่างถูกต้องครบทั้งธรรมเนียมและพิธีการ แม้แต่กฎหมายของราชวงศ์แห่งเทียนสุ่ย นางกับเขาก็ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่นยากจะแยกจากกัน ต่อให้อยากแยกจากกันแทบตายก็ตาม
‘หานซางจื่อ’ ผู้มีนามรองว่า ‘เฉียนเกอ’ นั่งรอเจ้าบ่าวมากว่าสองชั่วยาม ผู้เป็นซู่จิ้งอ๋องนั้นกลับยังคงทอดทิ้งให้นางอยู่เฝ้าห้องหอรอเขาอยู่เพียงเดียวดายในราตรีที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่อื่นๆ นั้นสมควรหวงแหนช่วงเวลาดีนี้ดังทองคำพันชั่ง แต่จะเอาอันใดหนักหนากับคู่ของนาง เพราะระหว่างนางกับซู่จิ้งอ๋องผู้นั้นแรกเริ่มก็ล้วนฝืนใจด้วยกันทั้งสิ้น ที่แต่งงานก็เพราะถูกบีบบังคับทั้งนางเองและเขา ดังนั้นหากราตรีเข้าหอนี้นางต้องอดทนนั่งรอเขาจนก้นเป็นเหน็บชาจะแปลกอันใดเล่า? ...
“ถิงเฟย ขอน้ำนมแพะให้ข้าสักถ้วยเถิด ข้ารู้สึกหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว”
เมื่อหิวก็ต้องกิน จะให้นางหิ้วท้องรอคอยบุรุษใจคออำมหิตผู้นั้นเห็นทีจะเป็นการอกตัญญูกับท่านแม่ที่สู้อุตส่าห์อุ้มท้องตนเองมาสิบเดือนแล้วยังต้องคลอดนางออกมาอย่างยากลำบาก พร้อมกับเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่มาถึงสิบเจ็ดหนาวไม่ขาดไม่เกินในวันนี้เกินไปแล้ว นางเป็นเด็กกตัญญู ดังนั้นข้าวนั้นไม่อาจกินได้ แต่น้ำนมแพะสักหนึ่งถ้วยคงไม่ฝืนธรรมเนียมจนเกินไปเป็นแน่ นางทนหิ้วกระเพาะรอสวามีไม่ไหวอีกแล้ว ช่างหัวจ้าวเหลียงอี้ไปเถิด นางหิวจนสามารถกินไก่ได้ทั้งตัวแล้วขณะนี้
“เหตุใดจนป่านนี้ซู่จิ้งอ๋องจึงยังไม่มาอีกนะ เลยยามจื่อแล้วแท้ๆ หากเลยฤกษ์งามยามดีของราตรีเข้าหอไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”
สาวใช้คนสนิทที่ถูกส่งให้ติดตามคุณหนูสามของสกุลหานมาเป็น
‘ซู่จิ้งหวางเฟย’หรือพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดน ‘เทียนสุ่ย’ พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก เพราะเพียงผู้เป็นนายของตนแต่งเข้ามาวันแรกก็ถูกผู้เป็นสวามีปฏิบัติเช่นนี้มิใช่สิ่งดีเลย หากเลยฤกษ์งามยามดีกำเนิดสายเลือดมังกรจะทำอย่างไร อนาคตของตำแหน่งพระชายาซู่จิ้งอ๋องดูแล้วมืดมนยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามราตรีในขณะนี้ไปแล้วเจ็ดส่วนในความคิดของเด็กสาวนามว่า ‘ถิงเฟย’ ในยามนี้“ไม่รีบ ไม่รีบ เรื่องนี้ข้าไม่รีบร้อนสักนิดเลยถิงเฟย กว่าจะเลยฤกษ์งามยามดีเวลาเข้าหออันเป็นมงคลเหมาะแก่การให้กำเนิดทายาทสกุลจ้าวก็อีกราวหนึ่งชั่วยาม ซู่จิ้งอ๋องไม่รีบร้อน ข้าก็ไม่รีบร้อนอันใดเช่นกัน เจ้าเองก็อย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลยนะ เอานมมาเถอะข้าหิวจนตาลายหมดแล้ว”
น้ำเสียงหวานกังวานไพเราะกล่าวเนิบนาบและแผ่วเบา ฟังราวกับเสียงของกระดิ่งลมกระทบกันผสานกันกับจังหวะที่เอ่ยไม่หนักและไม่เบา ฟังเช่นไรก็ชวนให้จิตใจสงบ หากแต่ถิงเฟยกลับสงบใจไม่ลงจริงๆ เพราะหากเลยฤกษ์งามยามดีสำหรับพิธีร่วมหอคราวนี้ ฝ่ายมารดาสามีคงยากจะญาติดีกับนายหญิงของนางเป็นแน่
ก๊อก!
ก๊อก!“ซู่จิ้งอ๋องใกล้จะมาถึงแล้ว ขอให้พระชายาซู่จิ้งอ๋องได้โปรดสำรวมกิริยาให้ดีด้วยเพคะ”
เสียงของแม่นมจางคนสนิทของเฝิงกุ้ยเฟย พระมารดาแท้ๆ ของซู่จิ้งอ๋องส่งเสียงกำชับเข้ามาย้ำเตือนผู้เป็นเจ้าสาว ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาในหูของหานซางจื่อทุกขณะ เรียวปากงามจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มไร้ความหมายออกมาหนึ่งสาย ฝ่ายถิงเฟยเองกลับร้อนรนเร่งตรงเข้ามาจัดแจงตรวจดูความเรียบร้อยของคุณหนูสามของตนเองอีกรอบทั้งที่ทุกสิ่งก็ไร้ข้อตำหนิอยู่แล้วโดยแท้
“ไม่ต้องร้อนรนไป สงบใจหน่อยถิงเฟย ร้อนรนไปจะเสียกิริยาแล้วไม่งาม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าท่านแม่ของข้ากำชับเจ้าอยู่บ่อยครั้งก่อนงานแต่งงานนี้หรอกหรือเด็กดี”
ถิงเฟยนั้นบางครั้งนางก็อยากกรีดร้องให้กับความใจเย็นของผู้เป็นนายของตนเองยิ่งนัก แต่สิบเอ็ดหนาวที่นางติดตามรับใช้คุณหนูสามมาล้วนย่อมทราบดี ต่อให้ท้องฟ้าถล่มหรือปฐพีลุกไหม้ หานซางจื่อผู้นี้ก็ยังคงรักษากิริยาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นไม่หลุดจนควบคุมไม่ได้ออกไปแม้เพียงธุลีเดียว แล้วแค่เพียงต้องเผชิญหน้ากับพระสวามีย่อมมิอาจสั่นสะเทือนใบหน้าของหานซางจื่อ จนบังเกิดการเปลี่ยนสีได้เป็นแน่ แต่สำหรับเด็กสาวเช่นนางมิอาจทำได้เช่นผู้เป็นนายนี่นา
“เอาละ พวกเราส่งน้องหกเพียงเท่านี้ก็แล้วกันพี่ใหญ่ พี่ห้าขอให้ราตรีนี้ของน้องหกกับน้องสะใภ้หกมีความสุขมากล้นนะ แล้วก็ขอให้พวกเจ้าเร่งมีหลานให้เฝิงกุ้ยเฟยได้ชื่นใจโดยเร็ว”
เสียงทุ่มที่หานซางจื่อพอจะจดจำได้ว่าคือผู้ใดลอยมาเข้าหู แววตาคู่งามสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ซึ่งมันน้อยมาก จนหากมีผู้ใดสักคนผ่านมาเห็นก็คงจับสังเกตไม่ได้เด็ดขาด เพราะผู้เป็นเจ้าของนั้นควบคุมมันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
“ลำบากเว่ยเหยียนอ๋องและองค์ไท่จื่อให้ต้องใส่ใจอี้เอ๋อร์แล้ว”
เสียงของบุรุษผู้เป็นสวามีของนางกล่าวโต้ตอบฟังดูนุ่มนวลและนอบน้อมอย่างยิ่ง แต่ผู้ใดเล่าจะรู้แจ้งไปกว่าตัวผู้กล่าวออกไปว่า ที่แท้จริงแล้วเขารู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ และแน่นอนหานซางจื่อเองนางก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ผู้ใดสนใจเขากันเล่า
“ระหว่างพี่น้องเหตุใดน้องหกต้องกล่าวเกรงใจกันถึงเพียงนี้เล่า ฮ่า อ่า ฮ่า ใช่หรือไม่น้องห้า คืนนี้พวกเราล้วนเป็นคนกันเอง อย่าได้มากพิธีจะดีกว่านะน้องหก มาๆ ดื่มสุราอีกหน่อยค่อยเข้าหอก็ยังไม่สาย”
เสียงบุรุษอีกผู้ที่ค่อนข้างไปทางเมามายดังลอยมาเข้าหูของผู้เป็นเจ้าสาวอีกครั้ง คาดเดาได้ว่าบัดนี้หน้าห้องหอคงรวมตัวบุตรชายทั้งสามของฮ่องเต้แห่งเทียนสุ่ยแล้วเป็นแน่ นั่นก็คือไท่จื่อ ‘จ้าวหลงเฉิน’ และยังคงมี เว่ยเหยียนอ๋อง ‘จ้าวลู่ฉือ’ พี่ชายทั้งสองของจ้าวเหลียงอี้ ไม่นับรวมพี่สาวและน้องสาวของพวกเขาที่ไม่ได้สิทธิ์มาส่งเจ้าบ่าวเช่นพี่น้องผู้เป็นบุรุษ ซึ่งหานซางจื่อนั้นก็พอจะรู้มาบ้างว่า พวกเขาพี่ชายน้องชายทั้งสามนี้ออกจะมีความรักลึกซึ้งระหว่างพี่น้องชวนขวัญผวามากเชียวละ
“เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอเชิญไท่จื่อและเว่ยเหยียนอ๋องกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ ซู่จิ้งอ๋องเองคงต้องเข้าหอแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเหมาะสมกับการร่วมหอเอาได้ ขอทั้งสองท่านช่วยเข้าใจความลำบากใจนี้ของบ่าวด้วยนะเพคะ หากดึกไปกว่านี้คงจะเลยฤกษ์มงคลอันยอดเยี่ยมไปจริงๆ แล้ว”
เสียงนี้แน่นอนว่าจะต้องเป็นแม่นมจางผู้เคร่งครัดทุกพิธีการไม่ผิดไป ซึ่งหานซางจื่อรู้สึกขอบคุณสตรีสูงวัยผู้นั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักนางมา เพราะนี่เกือบปลายยามจื่อแล้ว นางทั้งเหนื่อย ทั้งหิว และง่วงนอนอย่างยิ่ง อยากเร่งให้จบสิ้นทุกพิธีการไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วเข้านอนเต็มทน ส่วนกิจกรรมหลังเข้าหอ นางยิ่งกว่าแน่ใจว่าจ้าวเหลียงอี้จะไม่มีวัน ‘ยุ่งเกี่ยว’ หรือ ‘เกินเลย’ กับตนเองเป็นแน่
“ได้สิ ในเมื่อแม่นมจางกล่าวถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้ากับน้องห้าก็ส่งเจ้าเท่านี้ก็แล้วกันนะน้องหก”
แอ๊ด…
พอสิ้นเสียงบอกลาพอเป็นพิธีของพี่น้องทั้งสามแล้วไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามาเข้ามาด้วยฝีมือของแม่นมจางที่คอยควบคุมทุกพิธีการให้สำเร็จไปด้วยดี ไม่สิ สำหรับสตรีสูงวัยผู้นั้นคงมีแต่คำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ อยู่สิ่งเดียวใจชีวิตเท่านั้นกระมัง
“แม่นมจางเร่งกลับไปดูแลเสด็จแม่เถิด ทางนี้ไม่มีอันใดแล้ว ที่เหลือเปิ่นหวางจัดการต่อเองได้ ท่านอย่าได้ว้าวุ่นไปเลย”
เสียงของซู่จิ้งอ๋องเอ่ยกับคนของพระมารดาของเขาเสียงราบเรียบยิ่งนัก หากแต่ ‘หานถิงเฟย’ กลับรู้สึกว่าไอ้กิริยาเอ่ยด้วยถ้อยคำราบเรียบเช่นนี้มันกลับน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่าเอ่ยวาจาดุดัน จนสาวใช้ตัวน้อยถึงกับเหงื่อกาฬพลันแตกซ่าน
ซึ่งน่าแปลกที่หานซางจื่อนั้นกลับรับรู้ได้ถึงอาการหวาดกลัวนั้นของคนสนิท นางจึงเอื้อมมือมากุมมือของสาวใช้คล้ายจะปลอบขวัญกันอยู่ในคราวเดียวกัน หวังไม่ให้อีกฝ่ายนั้นตื่นกลัวบุรุษผู้นั้นจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อนทุกสิ่งจะจบสิ้น
“แต่ว่า…”
“แม่นมจางเชิญ!”
“เพคะ!”
บทที่ 20หน้าจวนหนานไค่กั๋วกงวันนี้คึกคักอย่างยิ่ง เพราะสามวันก่อนพวกชาวบ้านใกล้เคียงไร้วาสนาจะได้ชื่นชมรูปโฉมของคุณหนูสามที่แต่งออกไปเป็นพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋อง หรือซู่จิ้งหวางเฟยของเทียนสุ่ยที่ฮ่องเต้เป็นผู้เลือกด้วยตนเองเพราะนางถูกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกับอาภรณ์เต็มพิธีการปกปิดเอาไว้ วันนี้ได้ข่าวว่านางจะกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม พอรถม้าของหานซางจื่อเลี้ยวพ้นหัวโค้งถนนจึงพบกับภาพชาวบ้านเนืองแน่น“ชาวบ้านพวกนี้เขาไม่มีการมีงานทำกันหรือไรนะถิงเฟย?”“เรื่องปกติ นายหญิงอย่าได้คิดมาก เรื่องของผู้อื่นล้วนน่าสนใจเสมอ”“อ๋อ”หานซางจื่อรับคำเพียงเท่านั้นก็เงียบไปรอจนรถม้าหยุดนิ่งก็ก้าวลงไปหาบิดากับมารดาเลี้ยง และพี่ชายคนโตเช่นหานเจาจง กับสะใภ้ใหญ่ รวมถึงเหล่าอนุภรรยาทั้งสี่ของเขาด้วยกิริยาสง่างาม“นางโฉมงามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงถูกซู่จิ้งอ๋องหมางเมิน?”“นั่นน่ะสิ หรือนางมีโรคร้าย”เสียงของท่านป้าสองคนกระซิบกระซาบกัน แต่เพราะหานซางจื่อนั้นมีวรยุทธ์สูงกว่าคนปกติ ให้เบาและไกลกว่านี้นางก็ได้ยิน ทว่านางกลับไม่ใส่ใจ อยากนินทาก็ทำไปนางไม่เดือดร้อน“ซางจื่อคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ พี่ใหญ่ สะใภ้ใหญ่”“ลุกขึ้
บทที่ 19แต่มิคาดว่าเพียงเขาสัมผัสถูกฝ่ามือของสาวน้อยผู้เป็นพระชายาเท่านั้นกลับต้องทั้งตกใจ ทั้งสงสัย และมีความแปลกใจผสานอยู่หลายส่วน เพราะว่าฝ่ามือของหานซางจื่อนั้นกลับหยาบกระด้างกว่าฝ่ามือของบุรุษเช่นเขาเสียอีกพอจับมากางออกจึงเห็นชัดเจนว่า มีตุ่มไตที่เป็นรอยด้านมากเพียงใด ฝ่ามือของนางกำนัลที่อยู่หน่วยซักล้างอาภรณ์ในราชวังถ้าเขาจำไม่ผิดยังไม่น่าจะหยาบกระด้างเท่านี้“หลินเปียว?”คนเดียวที่เขาเคยสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหยาบกระด้างใกล้เคียงกับฝ่ามือของหางซางจื่อที่นึกออกก็คือองครักษ์เงานามหลินเปียวเท่านั้น เพราะแม้แต่มู่สือเองหรือกงเหวินก็ยังไม่มีฝ่ามือหยาบกระด้างเช่นที่หานซางจื่อมีเลยสักนิด นามขององครักษ์เช่นหลินเปียวผู้เดียวที่เขาคุ้นเคยจึงหลุดออกมาจากปากของเขาราวกับละเมอ“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”จ้าวเหลียงอี้จับมือเล็กพลิกไปมาด้วยกิริยากังขาไร้ความกระจ่างดวงตาเลื่อนลอย เพราะกำลังใช้ความคิดแต่ไม่นานเขาก็ตรวจชีพจรของนางดูตามที่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าที่แท้นางหลับจริงหรือเสแสร้ง สุดท้ายก็กระจ่างว่า นางหลับสนิทจริงๆ“!!?”ตุ๊บ!“!!!”และเพราะเขาตรวจชีพจรของนางจึงพบว่าที่ข้อมือของนางมีรอยกรีดที่ไม
บทที่ 18หานซางจื่อถึงกับเผลอใจสบถอยู่ในหัวอก แต่พอได้สติก็รู้สึกผิดจนแทบอย่างจะกัดลิ้นตนเองเสียนัก เกิดมาถึงป่านนี้นางไม่เคยหยาบคายได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ภายในใจนางก็ไม่เคยด่าทอไปถึงบิดามารดรของผู้อื่นมาก่อน อาจมีบ้างที่เผลออุทานสบถในใจยามตกใจ แต่ไม่เคยสบถเพราะควบคุมอารมณ์โกรธมิได้เช่นนี้“ลำบากอี้เกอจริงๆ ต่อไปขอหม่อมฉันเรียกท่านว่า ‘พี่อี้’ เถิดนะเพคะ คำว่าท่านพี่นั้นหม่อมฉันรู้สึกว่ามัน...ประหลาดยิ่งนัก ไม่อาจเรียกได้อย่างราบรื่นเพคะ”‘ช่างบัดซบยิ่งนัก วันนี้ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกรงว่าจะต้องถูกบุรุษนามเหลียงอี้ผู้นี้พรากไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?’ หานซางจื่อรู้สึกว่าตนเองอยากหลับสักตื่น แต่มิอาจทำได้ต้องมาถูกจ้าวเหลียงอี้ทรมานไม่สิ้นสุด บุรุษผู้นี้ช่างเป็นดาวมรณะ เป็นตัวเภทภัยของนางจริงๆ“เอาอย่างนั้นหรือ?”“เพคะ”จ้าวเหลียงอี้ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องเหล่านี้ เพราะที่เขามาก็เพียงต้องการจะมาดูอาการป่วยของนางให้กระจ่างเท่านั้น เพราะมีบางสิ่งผิดปกติไปนับตั้งแต่นางดื่มน้ำชาถ้วยนั้นแทนเขาได้ไม่นาน อาการของหานซางจื่อก็เปลี่ยนไปในเวลาราวหนึ่งก้านธูป หากน้ำชาถ้วยนั้นไม่มีปัญหาเหตุใดอาการของนางจึงทร
บทที่ 17ผ่านไปอีกสองชั่วยามหานซางจื่อจึงค่อยคืนสติกลับมา กระนั้นอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก แต่การเดินลมปราณขับเลือดพิษออกมาบางส่วนนั้นก็นับว่าได้ผลพอสมควร แต่ผลกระทบก็คือการเสียเลือดไปมากทำให้นางอ่อนล้าและง่วงงุนมากกว่าปกติตลอดเวลา“สยงต้าเกอส่งยามาให้แล้วพร้อมกับตำราแก้พิษของกระเรียนแดงมาแล้วแต่ก็ยังติดปัญหาที่ส่วนหนึ่งคือยาบำรุงเลือดเสียแปดส่วน ที่แห่งนี้หากจะต้มยาจะเกิดผลร้ายหรือไม่ดังนั้นถิงเฟยไม่กล้าตัดสินใจจึงรอให้นายหญิงตื่นขึ้นมาก่อนแล้วถามให้แน่ชัดเจ้าค่ะ”เรื่องเชื่อฟังนายหญิงนับว่าถิงเฟยเองก็ไม่น้อยหน้าสาวใช้สกุลอื่น ดังนั้นเรื่องสำคัญเด็กสาวจึงไม่กล้าตัดสินใจเองเด็ดขาด โดยเฉพาะภายในตำหนักซู่จิ้งอ๋องและสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ ถิงเฟยยิ่งต้องรอฟังคำสั่งเพียงเท่านั้น“เรื่องนี้เจ้าให้ซูผิงหรือหงเจี๋ยจัดการได้เลย เพราะเมื่อช่วงยามอู่ที่ข้าและซู่จิ้งอ๋องกลับมาด้วยกันได้บอกแก่เขาไปแล้วว่า ข้าไม่สบายตัว มีปัญหาสุขภาพของสตรี เรื่องต้มยาบำรุงเลือดนี้จึงนับว่าไม่ผิดปกติอันใด อย่างดีก็อ้างว่ารอบเดือนของข้ามามากเกินไป”หานซางจื่อเอ่ยเสียงแผ่วพลังกำลังภายในของนางบัดนี้สูญสิ้นไปไม่น้อย
บทที่ 16ตลอดเส้นทางจนถึงรถม้าคราวนี้หานซางจื่อเดินได้เนิบช้ายิ่งนัก จนจ้าวเหลียงอี้ต้องรั้งฝีเท้ารอนางอยู่หลายครั้งพอขึ้นรถม้าได้สาวน้อยก็ปิดตาหลับทันที ใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแต่ผิวกายของนางกลับซีดเซียวจนมีสีเริ่มออกม่วงใกล้ดำคล้ำทว่าพอนางไม่ปริปากบอกว่าตนเองเป็นอันใดออกไป ชายหนุ่มก็ไม่ติดใจสอบถามเช่นกัน เพราะคิดว่านางเย่อหยิ่งนักก็ปล่อยนางป่วยไปก็แล้วกัน คนเช่นเขามีสตรีเอาอกเอาใจมาทั้งชีวิต จะให้ลดตัวไปเอาใจสตรีก่อนสังหารเขาเสียยังจะง่ายกว่า ฝ่ายหานซางจื่อนั้นกระจ่างแล้วว่าพิษที่ซ่งฮองเฮาตั้งใจมอบให้กับจ้าวเหลียงอี้คือพิษกระเรียนแดงก็เมื่อเดินทางออกจากวังหลวงได้ครึ่งทางแล้วซึ่งพิษนี้จะไม่กำเริบเร็วและหนักถึงเพียงนี้ หากว่านางไม่เคยถูกพิษน้ำค้างเหมันต์มาก่อน พิษเย็นและพิษร้อนมารวมอยู่ในร่างของคนผู้เดียว หากว่าพอเหมาะก็ไม่เกิดอันใด แต่นางรับมามากทั้งสองที่ควบคุมจนไปถึงตำหนักซู่จิ้งอ๋องนางไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า ตนเองจะสามารถควบคุมพิษนี้ไม่ให้แสดงให้จ้าวเหลียงอี้รู้แจ้งได้หรือไม่วรยุทธ์ขั้นเก้านี้มิอาจสะกดพิษทั้งสองไม่ให้ปะทะกันได้นานนัก“เจ้ากำลังไม่สบายหรือไม่ซางซาง”สุดท้
บทที่ 15กว่าถานจีเซียงจะคิดได้ว่า ตนเองผิดไปเสียแล้วก็เมื่อเห็นสายตาไม่พึงใจและกรุ่นโกรธของจ้าวหลงเฉินนั่นแหละมือไม้เรียวงามอย่างสตรีสูงศักดิ์พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ใบหน้าก็ซีดเผือดยิ่งกว่าหานซางจื่อเสียอีก เห็นแล้วทำเอาพระชายาหานให้นึกระอาสตรีโง่เขลาเช่นไท่จื่อเฟยถานอยู่ในใจเสียมิได้“พอดีว่าหม่อมฉันหน้ามืดระหว่างเดินผ่านศาลาที่ไท่จื่อเฟยนั่งพักอยู่ ไท่จื่อเฟยเมตตาจึงให้นางกำนัลข้างกายมาเชิญให้หม่อมฉันกับซู่จิ้งอ๋องแวะมานั่งพักเพคะไท่จื่อ”แน่นอนว่าหานซางจื่อเตรียมการมาก่อนแล้วจึงเอ่ยวาจาได้ไหลลื่นอย่างยิ่งไร้ข้อพิรุธให้คนขี้ระแวงเช่นจ้าวหลงเฉินได้กังขา“ต้องขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่เมตตาหม่อมฉันยิ่งนัก”กล่าวแล้วก็หันไปโค้งกายให้กับถานจีเซียงทั้งที่ยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวเหลียงอี้ด้วยกิริยาอ่อนหวานยิ่งนัก ซึ่งขณะนั้นเจ้าของอ้อมแขนก็ไปสะดุดกับสายตาของจ้าวลู่ฉือที่ทอดมองมายังร่างในอ้อมแขนของตนเองเข้าพอดี ต่อให้เขาเป็นคนอ่อนด้อยในเรื่องสตรี แต่สายตาของบุรุษด้วยกันย่อมกระจ่างต่อสายตาของพี่ชายลำดับที่ห้าในทันใด“จริงหรือเซียงเอ๋อร์”จ้าวหลงเฉินถามถานจีเซียงด้วยใบหน้านิ่ง สายตาจับผิดจนพ







