อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย
รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่
อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว
“แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…”
บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารดาก็รีบพูดขัดเสียก่อน ความใจอ่อนของบุตรสาวนี้ บางครั้งดีบางครั้งไม่ดี “คิดถึงตนมากกว่าคนอื่น” รู้สึกว่าตั้งแต่เล็กจนโต กับอวี่เทียนเหมยนั้น ตนได้ย้ำเตือนในข้อนี้บ่อยครั้งเหลือเกิน
อวี่เทียนเหมยส่ายหน้า ชี้แจงในมุมของตนเอง “ก้อนหินหนึ่งก้อนตกลงไปในบ่อน้ำ น้ำกระเพื่อมทั้งบ่อ”
พอได้ฟังวาจาบุตรสาว อวี่ฮูหยินถอนหายใจ ไร้คำใดจะโต้เถียงด้วยว่าล้วนแล้วแต่เป็นข้อเท็จจริง
“ยืนยันหรือไม่ว่าไม่ยกเลิก” อวี่เสียนถาม เพื่อความแน่ใจครั้งสุดท้าย หากบุตรสาวจะเดินต่อไปข้างหน้า คนเป็นบิดาย่อมต้องสนับสนุน ต่อให้ยากเพียงใด ก็จะทำต่อไปจนบรรลุผล เพื่อคนตระกูลอวี่ทุกคน
“เจ้าค่ะ” ใบหน้างดงามผุดผ่องยังมีคราบน้ำตาให้สังเกตเห็น แต่กลับไม่มีความลังเลใจปรากฏ อวี่เทียนเหมยหนักแน่นทั้งแววตา และท่าทาง เข้มแข็งมากเสียจนวางใจ ราชครูอวี่และอวี่ฮูหยินสบตากัน พยักหน้ารับรู้ เคารพการตัดสินใจ
“รู้หรือไม่ ว่าบิดามารดาห่วงใยเจ้า” อวี่ฮูหยินบอกบุตรสาว
“รู้ดีเจ้าค่ะว่าท่านพ่อท่านแม่รักลูกมาก” อวี่เทียนเหมยพยักหน้ารับคำ ความรักอันยิ่งใหญ่ ใต้หล้านี้...หากจะมีใครรักนางมากเสียยิ่งกว่าตัวของนางเอง ก็คือท่านพ่อท่านแม่
เสียงสะอื้นไห้ดังมาจากด้านหลัง ไม่ใช่เสียงของคนทั้งสามที่สนทนากัน แต่เป็นซูผิงที่ร้องไห้ การมีอารมณ์ร่วมกับทุกสถานการณ์รอบตัวของซูผิงนี้ เรียกรอยยิ้มจากเจ้านายทุกคนได้ไม่น้อยเลย
“เด็กโง่” อวี่ฮูหยินตำหนิซูผิง ทั้งที่ตนเองนั้นหากขยับศีรษะมากหน่อย น้ำตาคงร่วงหล่นลงมาเป็นสายฝน
ส่วนสาวใช้อีกคน เจียถิงนั้นขอบตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอ เช็ดน้ำตาให้ตนเองแล้วก็รีบยื่นผ้าเช็ดอีกผืนให้สหายพร้อมกับสายตาตำหนิ ท่าทีของสาวใช้ทั้งสองที่เห็น ทำให้อวี่เทียนเหมยหัวเราะออกมาเล็กน้อย
พอได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรสาว ความหนักใจเบาลงไปมากกว่าครึ่ง บิดามารดาพยักหน้าให้กัน อวี่เสียนกระแอมไอหนึ่งที พูดถึงธุระต่อไป “ไทเฮาเรียกเจ้าเข้าเฝ้า ตรัสว่าเจ้าหายป่วยเมื่อใดให้เข้าวัง”
อวี่เทียนเหมยสรุปได้ข้อสรุปในใจทันทีที่ได้ยิน จริงแท้ดังคำคนโบราณว่า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ใต้หล้านี้ไร้ซึ่งกำแพงที่สายลมไม่อาจลอดผ่าน[1]
ไม่มีความลับใดในวังหลวงถูกเก็บงำไว้ได้ทั้งสิ้น
ไม่ใช่ว่าตอนนี้เรื่องราวของนาง กับคำกล่าวที่ว่า “ยินยอม ไม่ยินดี” นั้นเป็นอัสนีบาตก้องหู[2]ผู้คนทั่วแคว้นแล้วหรอกหรือ!
.
‘แผนการดอกท้อ’[3]
อาการป่วยดีขึ้นแล้ว จึงรีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮามาเมื่อเช้านี้ตามรับสั่ง พอถูกถามไถ่ความเป็นไประหว่างที่หายหน้าจนเสร็จสิ้นแล้ว หยางลู่ไทเฮาไม่รอช้า ตรัสเข้าประเด็นทันที อวี่เทียนเหมยได้รับรู้ชื่อแผนการในครั้งนี้
แผนการที่มีทุกฝ่ายร่วมมือสอดประสานขานรับ โดยมีเป้าหมายหลักอยู่เพียงเป้าหมายเดียวคือ หวังว่าทั้งนางและไท่จื่อ จะได้ร่วมกันกราบไหว้ฟ้าดิน ผูกผมเคียงคู่ ส่งอวี่เทียนเหมยบุตรีราชครู ขึ้นสู่ตำแหน่งไท่จื่อเฟย
พอได้ฟังแล้ว อวี่เทียนเหมยหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ปฏิเสธไม่ทัน ได้แต่ก้มหน้าจำยอมรับการเป็นตัวเอกของแผนการ ด้วยใจที่เกรงว่าจากแผนการดอกท้อจะกลายเป็น ‘บุปผามีใจแต่สายน้ำไม่พึงประสงค์’[4] ไปเสียมากกว่า!
ตัวของนางเองนั้น เพื่อให้เพียบพร้อมทุกด้าน จึงต้องทำตัวเป็นสตรีประเภทที่เรียกว่า เข้าห้องโถงก็ได้ ลงครัวก็เป็น[5]
เข้าห้องโถงร่วมงานเลี้ยงนั้นทำเป็นประจำ แต่ลงครัวนั้นทำพอเป็นพิธี คุณหนูในห้องหอ ต่อให้ลงครัวก็มีสาวใช้ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้รอท่า เข้ามาแล้วก็ออกไป นับได้ว่าอวี่เทียนเหมยผู้นี้ ใช้ชีวิตโดยที่ สิบนิ้วไม่เคยต้องน้ำในยามวสันต์[6]
กลับกันนับตั้งแต่เจอหน้าเขา โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ บุรุษผู้นำพาความทุกข์ยากมาให้ แรกเริ่มจากตากฝนจนป่วยไข้ไปหลายวัน ต่อมายังต้องกระทำหลายอย่างเพื่อเอาใจเขา ว่าตามจริงก็เหมือนนางกำลังเดินบนสะพานไม้เดี่ยว[7] ยากลำบากไม่น้อย!
ได้ยินข่าวเล่าลือมาว่า หลังจากเรื่องของนางถูกเล่าขานว่าโดนปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนตบเท้าเข้าเฝ้า เรื่องราวคุณงามความดีของเหล่าบุตรสาวขุนนางชนชั้นสูงมากมายหลายคนถูกพูดถึงอย่างไม่มีที่มาและยังไม่มีใครถาม ราวกับว่าปรารถนาให้รับรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ
ตำหนักฉือหนิงมีสตรีมากหน้าหลายตา ตบเท้ามาเข้าเฝ้าหยางลู่ไทเฮาอย่างไม่ขาดสาย คำถวายพระพรมาพร้อมกับของบรรณาการมากมาย จนแทบไม่มีที่จะเก็บ อวี่เทียนเหมยยังจำพระพักตร์ซีดเชียว บ่งบอกว่าหมดเรี่ยวแรงของไทเฮาได้ยามนางไปเข้าเฝ้า
คนเข้าออกวังหลวงครึกครื้นเป็นปรากฏการณ์ ไม่มีธุระก็ทำให้มีธุระได้ เผื่อว่าจะมีโอกาสเดินผ่านหน้าองค์รัชทายาท พบพระพักตร์จนเกิดเป็นรัก อวี่เทียนเหมยได้ยินแล้วก็นึกค่อนขอดในใจ แห่กันวิ่งตามเป็นพรวนเหมือนเป็ด[8] เป็ดที่อาจเอื้อมอยากเป็นหงส์
คิดไปคิดมาแล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะเป็ดตัวแรกที่เป็นหัวขบวน วิ่งตามพญามัจจุราชก่อนใครเขา คือเป็ดที่ชื่อว่าอวี่เทียนเหมย!
คนล้มอย่าข้าม คนต้าเฉวียนไม่เพียงแค่ข้าม แต่ยังพร้อมจะเหยียบย่ำแทนที่ในทันที!
ความคิดวุ่นวายในหัวไหลไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาคนเพิ่งหายป่วยไข้ คิดไปไกลเพียงใด สุดท้ายก็วนเวียนกลับมาหา คิดถึงบุรุษอยู่เพียงผู้เดียว อวี่เทียนเหมยคนน้ำแกงในหม้อซึ่งเคี่ยวมานานกว่าสามชั่วยาม เน้นย้ำกับตนเองในใจว่า เขามีอิทธิพลกับชีวิตแล้ว อย่าให้เขามีอิทธิพลกับหัวใจ
พ่อครัวจากวังหลวงถูกส่งมาถึงจวน เพื่อมาสอนนางทำอาหารเลิศรสทั้งหลาย เรียนทำอาหารอยู่นานนับเดือน เกรงว่าใบหน้าของนาง เขาคงลืมเลือนไปแล้ว!
ไท่จื่อไม่มีอาหารที่โปรดปรานเป็นพิเศษ อวี่เทียนเหมยบังอาจเสนอตนว่าเข้าใจในเหตุผล พญามัจจุราชใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมาตั้งแต่เด็ก พอดีกับที่อวี่เทียนเหมยมีน้องชายอยู่สนามรบ อวี่หลางซานเคยเล่าให้นางฟังว่า อาหารในค่ายทหารอย่างมากก็มีเพียงแค่เนื้อแห้ง โจ๊ก และแป้งทอดเท่านั้น นานทีล่าสัตว์ได้จึงจะมีเนื้อสดกิน
อวี่เทียนเหมยดีดลูกคิดรางแก้วในใจ[9]แล้ว ในเมื่อไท่จื่อขัดขืน แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ทางใดจะเกิดผลดีต่อตนเองนางก็ควรทำ อยากรู้เช่นกันว่าแผนการดอกท้อจะสำเร็จได้ด้วยดีหรือไม่
ระหว่างรอน้ำแกงได้ที่ อวี่เทียนเหมยเปิดตำราสูตรอาหารอ่านฆ่าเวลา ตำราอาหารเล่มนี้ละเอียดดีมาก พลิกดูจนจบเล่มแล้ว ก็ไม่เห็นสูตรน้ำแกงของยายเมิ่ง![10]
อดประชดประชันไม่ได้ หลายวันมานี้ไม่ได้พักผ่อน น้ำแกงยายเมิ่งเป็นน้ำแกงที่อยากเคี่ยวให้พญามัจจุราชมากที่สุด ดื่มแล้วก็ลืมเลือนทุกอย่างไปเสีย แต่เกรงว่าจะมีเพียงความทรงจำที่หายไป นิสัยยังคงเดิมอยู่ดี!
น้ำแกงเดือดจนรู้สึกร้อน อวี่เทียนเหมยตักน้ำแกงมาชิมหนึ่งช้อน ทันทีที่ชิม ก็รู้สึกชื่มชมตัวเอง รสชาติใช้ได้ อร่อยมากทีเดียว จากนั้นตักน้ำแกงใส่ภาชนะเตรียมไว้ เดินออกไปจากครัว
ดูเอาเถิด...ทุ่มเทเพียงใดไม่รู้ได้ ทุ่มเทมากมายหลายอย่าง จนคร้านนับ รู้แต่ว่ายามนี้ เรือนส่วนตัวของนางที่จวนตระกูลอวี่ ลงทุนทำครัวขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ประกอบอาหารแล้ว!
ขึ้นรถม้ามา กว่าจะเดินทางผ่านด่านตรวจมากมาย จนเดินเท้ามาถึงหน้าตำหนักบูรพา เหงื่อออกเต็มใบหน้า อวี่เทียนเหมยจึงค่อยหยุดเดิน
สาวใช้รู้ใจ รีบนำผ้ามาเช็ดเหงื่อให้ อวี่เทียนเหมยมองไปข้างหน้า อีกไม่ถึงยี่สิบก้าวนางจะถึงเป้าหมาย ‘ข่มใจไว้ อีกแค่นิดเดียว’
เดินต่อไปนับได้ประมาณอีกห้าก้าว ดาบไม่รู้ที่มาก็จ่ออยู่ที่ลำคอแล้ว อวี่เทียนเหมยตัวแข็งทื่อ องครักษ์เงาสวมใส่ชุดสีดำสนิทปกปิดทั้งตัว ไม่เปิดเผยใบหน้ากำลังยืนจ้องตากับนาง ดาบในมือพาดผ่านคองามระหง
สมคำร่ำลือ อันตรายกว่าทุกที่ในวังหลวงเห็นจะเป็นตำหนักบูรพานี่เอง บึงพยัคฆ์ ถ้ำมังกรโดยแท้ นางเข้าออกวังหลวงนับร้อยพันครั้งไม่เคยได้รับการต้อนรับที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นเช่นนี้มาก่อน
บรรยากาศโดยรอบอย่าว่าแต่เสียงนกกระจอก ยุงสักตัวก็คงไม่กล้าบินผ่าน อวี่เทียนเหมยค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลัง กลัวว่าเลือดเนื้อจะปลิวสะบัดร่างกายแหลกเหลว โล่งใจที่ชายชุดดำไม่ตามมา
ถอยแล้วก็ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับกันอยู่นาน เจียถิงตั้งสติได้ก่อนใคร รีบดึงแขนเจ้านายไปด้านหลัง ตนเองออกมายืนบังหน้า ซูผิงเห็นดังนั้นก็รีบทำตาม
“บังอาจ” สาวใช้เสียงสั่นเล็กน้อย ด้วยว่าความกลัวไม่ด้อยน้อยกว่ากันสักเท่าไหร่ ทว่ากลัวเพียงใดก็ไม่ยอมถอยหนี เจียถิงดวงตาแข็งกร้าว บอกไปว่า “รู้หรือไม่ตรงหน้าเจ้าคือใคร ผู้ใดส่งมา”
อวี่เทียนเหมยใจวูบหล่นหาย เกรงว่าทั้งเจียถิงและซูผิงจะเป็นอันตราย นางเป็นนายของสาวใช้ทั้งสอง จะให้คนในปกครองเสี่ยงชีวิตเพื่อตนไม่ได้ อวี่เทียนเหมยแตะไหล่สาวใช้ ส่งสายตาให้ถอยกลับเมื่อสบตากัน เจียถิงและซูผิงส่ายหน้าปฏิเสธ
อวี่เทียนเหมยจึงคลำหาบางสิ่ง ซึ่งห้อยติดตัวไว้อยู่เสมอที่เอว เมื่อเจอแล้วก็เดินออกมาด้านหน้า ยื่นตราในมือให้ชายชุดดำพิจารณาดู เป็นตราประจำตัวของนางที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ตั้งแต่นางยังเล็ก อวี่เทียนเหมยพยายามอย่างมากไม่ให้มือสั่น
ตราประจำตัวนี้ คนได้รับไม่มีฐานะใดอย่างเป็นทางการ มอบให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะอวี่เทียนเหมยต้องเข้ามาเรียนที่วังหลวง วังหลวงมีหลายด่านให้ผ่าน เพื่อให้การเดินทางของเด็กน้อยราบรื่น โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ทำตราประจำตัวนี้ขึ้นมา
เห็นตราพระราชทานมาจากฝ่าบาทแล้ว ดาบจึงถูกเก็บเข้าฝัก สายลมแผ่วเบาปะทะใบหน้า ก่อนชายชุดดำจะหายลับไปจากสายตา สตรีทั้งสามนางล้วนคิดเห็นตรงกัน ไม่มีใครกล้ามองตาม
โหดเหี้ยมน่ากลัวสิ้นดี กระทั่งสตรียังไม่ละเว้น!
เสียงถอนหายใจของซูผิงดังมาจากด้านหลัง น้ำแกงในมือยังอุ่น ทำให้รู้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ อวี่เทียนเหมยแข้งขาอ่อนแรง แต่ยังต้องรักษาท่าที น้ำแกงอุ่นแต่ใจไม่อุ่นแล้ว
ไม่ทันได้พูดคุยหรือทำอะไรเพิ่มเติม ทหารในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา หูของอวี่เทียนเหมยได้ยินเสียงถามมาแต่ไกลว่า “ผู้ใด มีธุระอะไร”
ทึกทักเอาเองว่าเป็นคำอนุญาต อวี่เทียนเหมยจึงค่อยก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ประตูตำหนักบูรพา อดจะนึกสงสัยไม่ได้ว่าทุกคนที่มาเยือนตำหนักแห่งนี้ ต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนางหรือไม่
ตราประจำตัวที่ยังไม่ถูกเก็บ ยื่นส่งให้ทหารในชุดองครักษ์ตรวจสอบดูเรื่องราวเมื่อครู่เป็นบทเรียนชั้นดี อวี่เทียนเหมยตัดสินใจไม่พูดอะไรออกไป เก็บเงียบไว้ไม่ยอมปริปาก จะให้พูดเพื่อประโยชน์อันใด ในเมื่อพวกเขาล้วนแต่เป็นพวกเดียวกันทั้งสิ้น!
“รอสักครู่” ว่าแล้วองครักษ์อีกคนที่อยู่หลังกำแพงก็วิ่งเข้าไปในตำหนัก พวกเขาส่งองครักษ์มารับหน้าเพียงแค่หนึ่งคน ด้านหลังกำแพงนั้นคาดเดาไม่ได้ ไม่รู้จำนวน และถึงรู้ไปก็ไร้ประโยชน์ จะมีกี่คนนางก็ตายอยู่ดี
หัวใจยังไม่กลับมาเต้นในจังหวะเดิมด้วยซ้ำ รวดเร็วทันใจ องครักษ์คนเมื่อครู่วิ่งกลับมา พร้อมชายในชุดดำที่อวี่เทียนเหมยจำได้แม่นยำ ว่าเป็นผู้ติดตามของไท่จื่อ
ท่าทางภายนอกดูเหมือนบัณฑิต ดูเรียบร้อยใจดี ทว่าคงไม่ต้องไปคาดเดาให้เหนื่อยว่าใจดีจริงหรือไม่ เจ้านายเป็นอย่างไรผู้ติดตามเป็นอย่างนั้น ใจของอวี่เทียนเหมยไม่ค่อยสู้ดีดังเดิมแล้วแล้ว มีการก้มหัวเล็กน้อยให้นางเป็นการทักทาย อวี่เทียนเหมยไม่พูดอะไร ชูภาชนะในมือที่ใส่น้ำแกงให้ดู
“ไทเฮารับสั่งให้ข้าต้มน้ำแกงมาถวายไท่จื่อ” เห็นชายชุดดำมองนิ่งอยู่ ไม่ยอมรับไปเสียที อวี่เทียนเหมยก็อธิบายว่าในมือของนางคืออะไร ไม่รอให้เขาได้สงสัย อ้างชื่อไทเฮาเป็นเกราะป้องกันตัวเบื้องต้น
ยังได้รับเพียงแค่ความนิ่งสงบเช่นเดิม ถือว่าเมื่อครู่ที่เคยคิดว่าดูใจดีนั้น เป็นสายลมไปเถิด!
แล้วอยู่ ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว ทหารองครักษ์คนเดิมที่วิ่งไปเรียกชายชุดดำออกมา ไม่มีใครส่งสัญญาณ วิ่งกลับไปทางเดิมอีกครั้ง วิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับมา กระซิบข้างหูผู้ติดตามชุดดำ
“ไท่จื่อรับสั่งไม่อนุญาตให้ท่านเข้าเฝ้า”
“อ้อ” พูดได้เพียงเท่านั้น มือของนางก็ยื่นน้ำแกงให้อีก “ฝากให้ไท่จื่อได้หรือไม่”
น้ำแกงถูกรับไป อวี่เทียนเหมยไร้คำพูด ไม่คิดจะต่อรองอะไรเพิ่มเติม อยากถาม แต่ไม่กล้าถาม วันนี้ก้าวเท้าผิดข้างออกจากจวน วันหน้าค่อยว่ากันใหม่ คนงามเดินหันหลังกลับไปทันที คิดไม่ถึงว่าการมาถวายน้ำแกงของนางจะเสี่ยงชีวิตมากถึงเพียงนี้ เกือบได้วัตถุดิบไปทำน้ำแกงครั้งหน้า
จากน้ำแกงไก่เคี่ยวใส่โสมพันปี กลายเป็นน้ำแกงมนุษย์!
เดินออกมาไกลพอสมควร จนพ้นบริเวณตำหนักบูรพาแล้ว ก้าวเท้าเข้าเขตอุทยานหลวง เดินหาม้านั่งตัวแรกที่เห็น ราวกับว่าวไร้ลมประคองจนร่วงหล่นจากฟ้า อวี่เทียนเหมยทรุดฮวบลงนั่งทันที ก่อนจะสั่นไปทั่วทั้งตัว ตั้งแต่เล็กจนโต เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนเองสัมผัสกับคำว่า ‘ความตาย’ ใกล้ชิดถึงเพียงนี้
เจียถิงและซูผิงมีสภาพไม่ต่างกัน เข้มแข็งอย่างไรก็สั่นไหว นึกหาคำปลอบใจอยู่นานก็คิดไม่ออก นั่งสบตากันไปมาระหว่างนายกับบ่าว ไม่มีเสียง ไร้คำพูด ตระหนกจนไม่สามารถสนทนากันได้
ต่อมาคนชอบพูดอย่างซูผิงตั้งสติได้ก่อนใคร เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “อย่างน้อยไท่จื่อก็ยังจำคุณหนูได้”
อวี่เทียนเหมยกระพริบตา ความกลัวหายไปหลายส่วนแล้ว นางกำลังชั่งใจ คำพูดของสาวใช้ นับว่าเป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของวันนี้ได้หรือไม่
คิดทบทวนแล้ว อวี่เทียนเหมยก็ยังไม่ได้ข้อสรุป คำพูดของซูผิงถือเป็นคำปลอบใจได้หรือไม่ เพราะนางไม่รู้เลยว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่
‘เขาจำนางได้ และเขาไม่ให้เข้าพบ ก็เพราะเขาจำนางได้เช่นกัน!'
[1] ไม่มีความลับในโลก
[2] มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกพูดถึงมากมาย จนดังกระหึ่มไปทั่วเหมือนเสียงฟ้าร้อง
[3] แผนการจัดหาคู่ครอง
[4] การแอบรักข้างเดียว
[5] เก่งทั้งงานนอกบ้าน และงานบ้านงานเรือน
[6] ไม่เคยใช้ชีวิตลำบาก
[7] เส้นทางที่ยากลำบาก และอันตราย
[8] แห่แหนวิ่งไล่ตามสิ่งไม่ดี เป็นขบวนเหมือนเป็ด
[9] คำนวณถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ
[10] น้ำเบญจรส เป็นน้ำแกงในความเชื่อของจีนที่ว่า วิญญาณทุกดวงต้องดื่มก่อนไปปรโลก มีความเชื่อว่า ดื่มแล้วจะลบเลือนความทรงจำในชาตินี้
อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด
ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า
พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส
อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้
เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่
อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที
มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก
การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม
แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ